นิตยสาร WhO?
เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์
แต่งหน้า/ สไตลลิสต์ : บัณฑิต บุญมี
พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา
“ใครคบร้อยก็ให้ร้อย”
อาณาจักรส่วนตัวของ “บิ๊กแป๊ะ” ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ชมสวนสวยที่มีหิ่งห้อยเป็นอาหารตา มีตุ๊กแกเป็นเพื่อนบ้าน…ออกตัวเป็นคนง่ายๆ ไม่เรื่องมาก แต่มีคำจำกัดความในการคบหา “ถ้าใครคบกับผม 100% ผมก็คบ 100% ด้วย ใครคบผม 20 ผมก็ให้กลับไป 20%”
/////////////
ถูกพาดพิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำคลิปวิดีโอการลักลอบเล่นพนันหรือเปิดบ่อนใจกลางกรุงมาแฉกลางสภา การณ์จึงดูเหมือนว่า การเมืองที่ร้อนแรงครั้งนี้ส่งผลกระทบไปยังเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องให้ร้อนรนตามๆ กัน ไม่เว้นแม้แต่ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา หรือ “บิ๊กแป๊ะ” ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.)
ก่อนหน้าที่ พล.ต.ท.จักรทิพย์จะถูกตั้งกรรมการสอบสวนจากจเรตำรวจแห่งชาติ ในกรณีดังกล่าวเพียงไม่กี่วัน WhO? มีโอกาสสัมภาษณ์ ผบช.น. ที่บ้านพักย่านวัชรพล ซึ่งแม้จะเป็นวันหยุด แต่บิ๊กแป๊ะมิวายต้องปฏิบัติภารกิจนอกบ้านอีกหลายอย่าง การสนทนาเรื่องราวต่างๆ ในเคหาสถ์หลังงามจึงถูกจำกัดด้วยเงื่อนเวลา
//ตุ๊กแกคือเพื่อนบ้าน
บ้านบนพื้นที่ 2 ไร่ครึ่ง ร่มรื่นด้วยไม้ยืนต้นและไม้ใบ สนามหญ้าสีเขียวช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับผู้เป็นเจ้าของยามที่ต้องเผชิญกับความเคร่งเครียด หัวหน้าครอบครัวบอกว่า แนวคิดการออกแบบที่ให้กับสถาปนิกคือ เน้นการใช้ไม้และกระจกเป็นหลัก บ้านหลังนี้จึงมีลักษณะโมเดิร์น แต่แฝงความเป็นไทยอยู่นัยที
“บ้านผมเน้นเรื่องของไม้กับกระจก เพราะผมชอบให้มีสนามหญ้า ผมชอบอะไรง่ายๆ ที่สำคัญต้องดูโปร่ง ไม่สลับซับซ้อน บ้านหลังนี้ออกแบบมาให้มีห้องใต้ดินด้วย แต่คิดไปคิดมา ในระยะยาวต้องมีน้ำซึมแน่ๆ เพราะสังเกตบ้านในเมืองไทยหลายหลังแล้ว เจอปัญหาแบบนี้ผมก็เลยตัดออกไป” เกริ่นถึงเคหาสถานที่สร้างมาเกือบ 10 ปี พลางทอดสายตาไปยังสวนด้านนอกที่เขียวขจีไปด้วยต้นไม้รอบบ้าน
เหตุนี้้บ้านซึ่งแวดล้อมด้วยธรรมชาติอันเงียบสงบจึงมักมีหิ่งห้อยส่องแสงวิบวับอยู่ในสวนยามค่ำคืน “แสดงว่าระบบนิเวศน์ของที่นี่ยังดีนะ เพราะนอกจากจะมีหิ่งห้อยบินอยู่เต็มสวนแล้ว บ้านนี้ยังมีตุ๊กแกเยอะมาก (หัวเราะ) ผมถือว่าตุ๊กแกก็เหมือนเพื่อนบ้าน เลี้ยงเขาเอาไว้เป็นเพื่อน” ยิ้มอย่างอารมณ์ดี
//// บ้านคือสถานที่ส่วนตัว
สถานที่พำนักของสมาชิกทั้ง 4 คน ได้แก่ พล.ต.ท.จักรทิพย์และภรรยา (ดร.บุษบา รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี บุตรสาว ดร.สุข พุคยาภรณุุ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศรีปทุม) และลูกชายอีก 2 คน น้องฮัท-ชานันท์ และ น้องแฮนด์-ชัยธัช ถือเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่คนในครอบครัวรับรู้ตรงกันว่าไม่นิยมรับรองแขก
“ก็รู้กันอยู่แล้วว่าบ้านคือวิมานของเรา อยู่ที่ไหนไม่สุขใจเหมือนบ้านเรา (โชว์ลูกคอร้องบทเพลงบ้านเรา) บ้านคือสถานที่ส่วนตัว ไม่ใช่สถานที่รับรองแขก ไม่ใช่สถานที่เอาไว้เฮฮากัน ที่บ้านผมเป็นแบบนี้ ทุกคนจะรู้ว่าข้อจำกัดของบ้านคืออะไร อยากสนุกก็ให้ออกไปสนุกนอกบ้าน บ้านที่เราอยู่ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว”
//พักกายพักใจในสวน
พ่อบ้านนครบาลวัย 52 ปี เล่าถึงวันสบาย (ที่ไม่ค่อยมีบ่อยนัก) ต่อว่า เขามักใช้เวลาไปกับการเดินชมต้นไม้ใบหญ้าในสวนหน้าบ้าน ดังนั้นยามว่างจากการทำงาน สวนแห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับตัวเอง
“ก่อนหน้านี้สวนหน้าบ้านที่ทำมา 7-8 ปี ดูรก มืดๆ ทึมๆ เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งมาช่วยจัดสวนให้ จากนั้นก็ได้คุณโต้ง (กัมพล ตันสัจจา) เจ้าของสวนนงนุชมาปรับภูมิทัศน์ เพื่อให้ดูเป็นสวนที่โล่งขึ้น แรกๆ ผมก็ชอบการจัดสวน ดูแล้วร่มรื่น มีนกบินเล่นในสวนเยอะดี แต่บางครั้งมีฝน มีพายุมาทำให้ต้นไม้บางส่วนล้ม สุดท้ายเลยอยากได้สวนที่โปร่งดีกว่า
เมื่อก่อนผมกลับมาตอนเย็นจะมาเดินเล่นชมสวนทุกวัน แต่ตอนนี้เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เลยไม่ค่อยได้มาเดินสักเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่จะนอนที่ทำงาน (หัวเราะ) ผมมีงานที่ต้องรับผิดชอบสูงมาก จะทิ้งก็ไม่ได้ เป็นงานที่ไม่เป็นเวลา เราอยู่ใกล้ที่ทำงาน ไปไหนมาไหนก็สะดวก 80% ผมจะนอนที่ทำงาน” เอ่ยถึงหน้าที่ในตำแหน่ง ผบช.น. ที่ต้องการความเสียสละอย่างสูง
นอกจากกิจกรรมเดินชมสวนแล้ว หากมีเวลาพอบิ๊กแป๊ะยังชอบนั่งดูปลาคาร์ป โดยให้อาหารปลาคาร์ปตอน 9 โมงเช้ากับ 5 โมงเย็น เรียกว่าดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี “ผมเลี้ยงปลาคาร์ปมาหลายรุ่นแล้ว รุ่นแรกเอามาเลี้ยงไว้ทั้งหมด 99 ตัว ตามเลขที่บ้านเลย (หัวเราะ) ก่อนหน้านี้ก็มีตายไปหมดบ่อทีหนึ่งแล้ว ตอนที่ผมไปอบรมเอฟบีไอ คนขับรถเอายาล้างตะไคร่น้ำใส่ลงไปเยอะ ส่วนสระว่ายน้ำผมก็ชอบมาว่ายตอนเย็นๆ ว่ายไปว่ายกลับวันละ 10 รอบ อายุขนาดนี้แล้ว ออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำดีสุด ถ้าไปวิ่งก็จะทำให้เข่าเสื่อมเร็ว เพราะต้องลงน้ำหนักไปที่เท้ามากเกินไป แต่การว่ายน้ำสามารถออกกำลังกายได้หมดทั้งแขน ขา อก หน้าท้อง”
เพราะสุขภาพที่แข็งแรงและยังมีมัดกล้ามให้เห็น จึงทำให้บิ๊กแป๊ะดูหนุ่มกว่าวัยจนใครๆ ต้องทัก ที่สำคัญไลฟ์สไตล์ในวันหยุดอย่างการขี่มอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์เดวิดสันไปจ่ายตลาดยามเช้า ยิ่งทำให้กิจวัตรของท่าน ผบช.น.มีสีสันเกินใคร และหากถามว่ามีใครนั่งซ้อนท้ายไปด้วยไหม คำตอบที่ว่า “ผมไปหาเอาข้างหน้า” ยิ่งเรียกเสียงฮี้ว…จากผู้ฟัง
นอกเหนือไปกว่านั้น บิ๊กแป๊ะยังชอบดูการแข่งม้าเป็นชีวิตจิตใจ แต่อยู่เมืองไทยเป็นตำรวจ มีกฎห้ามเข้าสนามแข่งม้า เลยต้องหาหนังสือเกี่ยวกับการแข่งม้ามาอ่านแทน “ผมชอบขี่ม้ามาก แต่ไม่กล้าขี่คน (หัวเราะ)” หยอดมุกจนผู้ร่วมวงสนทนาหัวเราะครืนใหญ่อีกรอบ
//ภาพวาดสีน้ำมันหลักล้าน
อารมณ์สุนทรีย์ของหนุ่มใหญ่ในเครื่องแบบยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อสังเกตผนังภายในบ้าน ที่ตกแต่งด้วยผลงานจิตกรรมของศิลปินชื่อดังแทบทุกมุม แต่ละภาพมีมูลค่าสูงถึง 7 หลักเลยทีเดียว
“ผมเป็นคนชอบภาพวาดอยู่แล้ว (ยิ้ม) ส่วนใหญ่เป็นพระสาทิศลักษณ์ของพระบรมวงศานุวงศ์ เป็นฝีมือของ อ.จำรัส เกียรติก้อง วาดตั้งแต่ปี 2507 ได้จากพรรคพวกกันเอง แต่ละภาพแพงมาก (ลากเสียง) แล้วเป็นผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น จริงๆ ผมเป็นคนรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว พระสาทิศลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ เป็นผลงานของ พิริยะ ไกรฤกษ์ ซึ่งวาดกันสดๆ ตรงนั้นเลย บางครั้งยามว่างผมก็จะเดินไปดูภาพวาดแบบนี้ตามแกเลอรีต่างๆ” ดวงตาฉายประกายแห่งความสุข ยามถ่ายทอดที่มาของภาพวาดที่สะสม
นอกจากนี้บริเวณทางขึ้นบันไดยังมีหมวกอเมริกันฟุตบอลของทีมต่างๆ วางเรียงรายเป็นระเบียบ จนอดถามไถ่ถึงที่มาไม่ได้ “ผมชอบหมวกอเมริกันฟุตบอลมาก เพราะตอนที่อยู่สหรัฐอเมริกา ผมชอบดูอเมริกันฟุตบอล หมวกที่โชว์อยู่ตามบันไดก็ซื้อมาจากอเมริกา ซึ่งเป็นตัวแทนของทีมต่างๆ ที่ชื่นชอบ” กล่าวใบหน้าเปื้อนยิ้ม พร้อมกระซิบถึงการชอบฟังเพลงเก่า อาทิ ชรินทร์ นันทนากร และบทเพลงพระราชนิพนธ์ เป็นต้น
เจ้าของบ้านพาสำรวจอาณาจักรที่ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณชนได้สักพัก ก็เดินนำมายังมุมโปรดที่เจ้าตัวยิ้มรับอย่างอารมณ์ดีว่าคือห้องครัว เพราะเป็นมุมที่ได้นั่งดื่มชา ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือพิมพ์ และรับประทานอาหาร พร้อมนอนอ่านหนังสือโปรดหลากหลายเล่ม
“หลายคนจะมีมุมโปรดเป็นของตัวเอง ของผมก็มีเหมือนกัน โดยมุมโปรดของผมเป็นห้องครัว เพราะทุกอย่างจบลงที่นั่น ส่วนห้องรับแขกก็เอาไว้รับรองแขก แต่นานๆ ทีถึงจะได้ใช้สักครั้ง ปกติบ้านผมไม่ค่อยมีใครได้มา เพราะเราเอาไว้ใช้พักผ่อน ไม่ใช่เป็นที่รับแขก เราต้องการให้บ้านหลังนี้เป็นที่ส่วนตัวจริงๆ ที่บ้านจะไม่มีการจัดงานอะไรเลย วันเกิดของผมไม่เคยจัดเลย นอกจากไปทำบุญที่วัด ส่วนลูกนานๆ จะจัดกันครั้งหนึ่ง ครอบครัวผมเป็นครอบครัวที่ปกติ แต่ไม่รู้จะผิดปกติก็รึเปล่านะ (หัวเราะ)”
นอกจากนี้วันหยุดเสาร์-อาทิตย์บิ๊กแป๊ะยังชอบทำก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา ซึ่งถือเป็นอาหารจานโปรดที่ทำให้สมาชิกครอบครัวได้ลองลิ้มชิมรส “เช้าวันหยุดตื่นมา ผมกับภรรยาจะทำก๋วยเตี๋ยว ที่ผมชอบและถนัดมาก ทำให้ลูกๆ กิน คนงานที่บ้านก็ได้กินด้วยกัน ตอนอยู่เมืองนอกผมก็ทำอาหารง่าย ๆ เพราะมีเวลาจำกัด ต้องรีบไปเรียนหนังสือ ผมชอบทำข้าวมันไก่ เป็นเมนูที่รู้กันว่าทำไม่ยาก ผมเรียนรู้เอง ก็แค่ซื้อไก่มาต้ม แล้วก็นำน้ำต้มไก่มาหุงข้าว เราก็จะได้ข้าวมันออกมา เพื่อนๆ ได้ชิมแล้วต่างก็บอกว่าโอเค” พ่อครัวหัวป่าห์เผยเมนูโปรดที่คนรอบข้างมีโอกาสได้ชิมเสมอ
//น.1 ผู้มากด้วยฉายา??
เส้นทางชีวิตของเด็กชายจาก ต.อ่่างศิลา จ.ชลบุรี ก้าวสู่แวดวงสีกากีด้วยความฝันอยากเป็นตำรวจ เขาเล่าว่า หลังจบจากโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ก็ไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร แต่เนื่องจากรักสนุก และเพื่อนๆ พาไปตีสนุกเกอร์ที่สยาม จึงผิดหวังกับผลการสอบ
“สมัยนั้นติดเพื่อนมาก เลยสอบเข้าเตรียมทหารไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่ก็บ่น ความเป็นวัยรุ่นมันมีความคึกคะนอง ไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่ตอนเรียนก็มีความใฝ่ฝันอยากเป็นตำรวจ เลยสอบเข้านักเรียนนายร้อยตำรวจได้ จริงๆ ผมก็เอนทรานซ์เข้าจุฬาฯ ได้นะ (ยิ้ม) แต่สอบนายร้อยตำรวจได้ก่อน เลยเลือกที่จะเป็นตำรวจ”
จนในที่สุดเขาเรียนจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 36 (นรต.36) จากนั้นจึงเรียนต่อปริญญาโท สาขาบริหารรัฐกิจ Kentucky State University จากประเทศสหรัฐอเมริกา ศึกษาเพิ่มเติมหลักสูตร การสอบสวนเหตุระเบิด (ATF-ILEA) และหลักสูตร FBI National Academy,Quantico,VA,USA., ประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วกลับมาเริ่มต้นรับราชการในตำแหน่งนายเวรผู้บังคับการ ประจำกรมตำรวจ สำนักงานกำลังพล
บนเส้นทางสีกากี บิ๊กแป๊ะได้รับฉายาจากสื่อมวลชนมากมาย อาทิ “แป๊ะ 8 กิโล” เนื่องจากมีส่วนสูงเพียง 165 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 65 กิโลกรัม ซึ่งถือว่ารูปร่างเล็ก แต่เมื่อสวมเครื่องแบบแล้วพกพาอาวุธปืนขนาดต่างๆ พร้อมแมกกาซีนบรรจุกระสุน และอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กุญแจมือ ไฟฉาย ติดตัวไว้เสมอ รวมกันทั้งหมดมีน้ำหนักประมาณ 8 กิโลกรัม จึงกลายเป็นฉายาดังกล่าว
ถัดมาได้รับฉายา “สุภาพบุรุษแก๊สน้ำตา” เนื่องจากสมัยเป็น ผบก.ตปพ. มีการสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาด้วยแก๊สน้ำตา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนมีผู้ชายคนหนึ่งถูกระเบิดจนขาขาด พล.ต.ต.จักรทิพย์ จึงถอดเสื้อของตัวเองออกมาใช้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นนั่นเอง
จากนั้นในปี 2553 ได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า "น.1 อีซีพาส" เนื่องจากติดยศ พล.ต.ท. อย่างรวดเร็ว และเป็นถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ทั้งๆ ที่เพื่อนร่วมรุ่นบางคนยังเป็นแค่สารวัตรเท่านั้น
“ฉายาต่างๆ เหล่านี้ สื่อมวลชนเป็นผู้กำหนดให้ อย่าง น.1 อีซี่พาส เขาอาจจะมองว่าผมโตเร็วในอาชีพนี้ หรือช่วงชีวิตนี้ได้รับการโปรโมตเร็วขึ้น แต่จริงๆ แล้วถ้าทุกคนแฟร์ก็จะรู้ว่าผมทำงานแบบไหน อย่างไร ผมไม่ได้เอาแต่วิ่งเต้นนะ (น้ำเสียงหนักแน่น) เวลาทำงานผมก็ทุ่มเท แต่พอสื่อให้ฉายา ผมก็เฉยๆ (ยิ้ม) น.1 อีซีพาส ผมเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมทำงานด้วยความไว้วางใจแลกมันมา ไม่มีอะไรมาก ใครที่คบกับผมแล้วให้ 100% ผมก็คบ 100% ด้วย ใครให้ 20% ผมก็ให้กลับไปให้ 20% ชีวิตผมง่ายๆ ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนเลย แต่ผมจะรู้ว่าใครคบกับผม 100%” ทิ้งประโยคชวนสงสัยว่าใครบ้างที่เขาให้ใจได้ 100%
// ไม่ยึดติดตำแหน่ง ผบช.น.
ตลอดอายุราชการ 28 ปี พล.ต.ท.จักรทิพย์ผ่านคลื่นลมและมรสุมมาหลายครั้งหลายครา แต่ดูเหมือนว่าฤดูกาลโยกย้ายตำแหน่งในช่วงเดือนกันยายนนี้ อาจส่งผลให้เก้าอี้ ผบช.น. ต้องสั่นคลอน จากกรณีคลิปบ่อนพนันกลางกรุง เขาตอบน้ำเสียงราบเรียบ สุขุมกว่าเคย
“ผมเฉยๆ นะ ถือว่าวันหนึ่งเขาจะรู้ว่าผมเป็นคนยังไง แม้แต่ปัจจุบันนี้ ผมได้เป็นผู้บัญชาการสมัยท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จนมาถึงวันนี้ ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าผมจะอยู่ได้หรือเปล่า แต่ผมก็เฉยๆ (ยิ้ม)
ผมพูดตลอดว่าผมก็เหมือนนักกีฬา โค้ชจะรู้ ซึ่งโค้ชคือรัฐบาล ผู้ช่วยโค้ชก็คือ ผบ.ตร. เขาจะรู้ว่านักกีฬาคนนี้เล่นตำแหน่งไหนได้ ถ้าวันนี้โค้ชบอกให้ผมเปลี่ยนตำแหน่ง ผมก็ยอม ผมไม่ดื้ออยู่แล้ว หมดเวลาผมก็กลับ หมดวาระตรงนี้ก็คือถึงวาระการแต่งตั้งโยกย้าย ถึงเวลาก็ต้องไป ผมจะไม่มีโอดครวญ หรืออยากเล่นต่อ อะไรก็แล้วแต่ ทั้งหลายทั้งปวงก็อยู่ที่โค้ชเป็นคนตัดสินใจ ผมไม่เคยยึดติดนะ หมายความว่าถ้าต้องสู้ต่อผมก็จะเฉยๆ ไปก็ไป อยู่ก็อยู่ ขึ้นก็ขึ้น ถามว่า 1 ปี ที่ผมอยู่นครบาลมาตลอด ก็ต้องพิจารณาดูว่าจะให้ไปอยู่ที่ไหน อย่างไร ผมง่ายๆ สบายๆ” กล่าววิธีคิดกับอนาคตที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ
แม้ที่ผ่านมาการก้าวสู่ตำแหน่ง ผบช.น. จะมีคำครหาว่าเพราะเป็นคนของ ท่านรองนายกสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ตาม? “ผมไม่ค่อยคุ้นเคยกับท่านมาก่อน แต่ท่านก็เอามาใช้ ทุกคนมองว่าผมเป็นคนของการเมือง มาถึงขั้นนี้แล้วจะมาบอกว่าไม่รู้จักท่านสุเทพ ผมก็บอกได้ว่ามันไม่ใช่เรา ถ้าผมรู้จักก็บอกว่ารู้จัก สมัยที่ผมเป็นผู้การตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผมก็เคยรับใช้ท่านอดีตนายกฯ ทักษิณเหมือนกัน พูดไปแล้วผมรู้จักท่านทั้งสองฝ่าย เพียงแต่โค้ชที่ว่านั้นจะเรียกเรามาใช้อย่างไรเท่านั้นเอง สิ่งที่สำคัญคนเราเป็นคนเก็บความลับและไว้วางใจได้แค่ไหน ความจริงใจและความกตัญญูเท่านั้นที่พอจะอยู่ได้จากอำนาจรัฐบาล ซึ่งเขาก็รู้ว่าผมเป็นคนอย่างนี้” ทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงจริงใจและแน่วแน่ในคำตอบ
เกมการเมืองอาจพัดพาให้นักกีฬาเซถลาได้ในบางครั้ง แต่สิ่งที่จะทำให้ยืนหยัดและอยู่ได้อย่างมั่นคง คือความเป็นนักกีฬาตัวจริง เพราะไม่ว่าใครจะมาเป็นโค้ช นักกีฬาฝีมือดีย่อมมีที่อยู่เสมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น