นิตยสาร WhO?
เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : นพพล ภาคสุทธิผล
วิภารดี ภูวนาถนรานุบาล
บั้นปลายชีวิตคู่ ในวิมานหรูริมน้ำ
27 ปีแห่งความรักและหลักในการใช้ชีวิตคู่ถูกถ่ายทอดผ่านบ้านหลังงามริมน้ำย่านชานเมือง ชีวิตบั้นปลายที่แสนสงบทำให้เธอและสามีพบกับความสุขที่สัมผัสได้มากกว่าบ้านหรูใจกลางเมือง
เมื่อบ้านกลางเมืองกลายเป็นไข่ดาวท่ามกลางตึกสูง ความสงบส่วนตัวเริ่มจางหาย เสียงปั้นจั่นลอยมาแทน คุณป้อม-วิภารดี ภูวนาถนรานุบาล เจ้าของฉายา “เจ้าแม่หน้าเด้ง” ชวนสามี คุณด้วง-ปรารภ โมกขะเวส ย้ายออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ย่านบางขุนเทียน ความสงบสุขในบ้านสวยริมน้ำชวนให้ผู้เป็นเจ้าของพบความสุขและผ่อนคลายยามกลับถึงบ้าน อย่างแท้จริง
//บ้านริมน้ำ...สร้างสุข
จากทางด่วนเส้นพระราม 2 เข้าสู่ถนนบางกระดี่ ตรงเข้าหมู่บ้านหรูที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ดูร่มรื่นสบายตา เหตุนี้จึงทำให้คุณป้อม-วิภารดี เซเลบริตี้ที่ไม่ยอมให้เวลามากระชากความสวย ต้องย้ายจากบ้านที่ใช้ชีวิตร่วม 30 ปี ในซอยสุขุมวิท 49 มาลงหลักปักฐานที่ย่านบางขุนเทียน
“ระยะหลังมีคอนโดขึ้นรอบด้าน ระหว่างก่อสร้างมีปัญหามลพิษมากมาย บวกกับความแออัด เมื่อนั่งอยู่ในบ้านมองขึ้นไปก็มีคนจากคอนโดมองลงมา (หัวเราะ) ความเป็นส่วนตัวหายไปหมด ยิ่งมลพิษที่เกิดจากการก่อสร้างทำให้ปวดหัวเป็นไมเกรน จนบางวันแทบลุกจากที่นอนไม่ไหว บ่อยครั้งมีอาการจามอย่างไม่ทราบสาเหตุ จึงไปพบคุณหมอ ทำให้ทราบว่าเป็นอาการโรคภูมิแพ้ เลยเป็นที่มาของการย้ายที่อยู่ ซึ่งพอดีว่าลูกชายซื้อที่ดินแถวบางขุนเทียนไว้นานแล้ว 2 ไร่ อากาศน่าจะดีกว่าสุขุมวิท เลยพาครอบครัวย้ายมาปลูกบ้านที่นี่” คุณป้อมเกริ่นถึงสาเหตุหลักที่ทำให้ต้องสร้างบ้าน ในช่วงบั้นปลายชีวิต
บ้านริมน้ำที่แสนร่มรื่นและปลอดมลพิษ ออกแบบเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิต ประจำวันของผู้เป็นเจ้าของอย่างแท้จริง รอบบ้านเป็นสวนโล่งกว้าง มีต้นไม้น้อยใหญ่ร่มครึ้ม บริเวณด้านหน้าเป็นบ่อน้ำพุ ด้วยคุณป้อมเชื่อว่าจะทำให้ทุกอย่างไหลเวียนดีขึ้น ส่วนข้างบ้าน เป็นคลองธรรมชาติที่มีเรือแล่นผ่านราวกับภาพวาดของเธอไม่ผิดเพี้ยน
“บางครั้งนำพรมมาปูนั่งวาดรูป ถัดจากคลองเป็นบ่อเลี้ยงปลาชาวบ้าน คือไม่ว่าจะมองไปทางไหนเจอแต่ธรรมชาติ ทำให้ชีวิตสงบอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน ก่อนกลับบ้านช่วงเย็นสามีจะโทรมาบอกว่ากำลังเดินทางกลับ เราก็ออกมานั่งรอที่หน้าบ้าน เมื่อมาถึงบ้านมีเวลานั่งคุยกัน แชร์ประสบการณ์กัน มีเวลาเจอกันมากขึ้น เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่เงินทองไม่สามารถซื้อหาได้ ซึ่งไม่เหมือนบ้านหลังเก่า ที่กลับถึงบ้านต่างก็แยกย้ายไปพักผ่อน ไม่มีเวลานั่งคุยกัน เพราะเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง” สีหน้าและแววตาฉายความสุขเมื่อเอ่ยถึงวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิม พลางบอกต่อว่า จริงๆ ไม่อยากมาอยู่ย่านนี้ เพราะคิดว่าบางขุนเทียนไกลมาก แต่ครั้นได้เห็นที่ดินผืนนี้ก็หลงรักทันที กอปรกับซินแสให้การยืนยันหลังมาดูที่ให้ว่า ที่ดินผืนนี้แหละเป็นคุ้มเงินคุ้มทอง ที่สำคัญให้ทาสีบ้านเฉพาะสีขาว เทา และเขียวเท่านั้น
/// บ้านนี้…เสือเป็นใหญ่
บ้านชั้นเดียวสไตล์กึ่งโคโลเนียลที่ออกแบบเองให้ดูโอ่อ่า เพื่อให้เหมาะกับวัยที่เพิ่มขึ้น ไม่เหมือนบ้านหลังอื่นๆ ภายในหมู่บ้าน ยกพื้นสูงกว่าปกติ หลังคาออกแบบให้สูงโปร่ง มีลมพัดเข้า-ออกตลอดเวลาโดยไม่ใช้เครื่องปรับอากาศ ภายในบ้านแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ เริ่มจากห้องโถงที่ใช้รับแขกอย่างไม่เป็นทางการ ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หวายและเก้าอี้บุลายแนว ซาฟารี โดยเน้นที่ลายเสือและม้า เพราะคุณป้อมเกิดปีเสือ ส่วนสามีเกิดปีม้านั่นเอง
“ถ้าดูตามตำราจีนไม่รู้สามีจะเป็นม้าหรือแพะ แต่ชีวิตจริงเขาต้องยอมเรา เพราะเป็นยอมด้วยความรักจะเป็นไรไป (หัวเราะ) ม้าต้องโดนเสือข่ม ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็น ภรรยาทุกคนต้องข่มสามีเล็กน้อยแบบน่ารักๆ" แม่เสือสาววัย 62 กะรัตหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ขณะเดียวกันสิ่งที่ช่วยเพิ่มสีสันให้ห้องมีชีวิตชีวาเห็นจะเป็นภาพวาดสีน้ำรูปดอกไม้ ซึ่งเป็นฝีมือของคุณป้อมทั้งหมด โดยเธอใช้เวลาในการเรียนและฝึกฝน 2 ปีเศษ คุณป้อมอมยิ้ม ก่อนบอกว่า “ทำไมต้องเอาภาพคนอื่นมาติดผนังบ้าน ถ้าภาพนั้นเราไม่ชอบทำไมเราไม่วาดเอง ก็เลยวาดภาพสไตล์ฝรั่งเศสหรือยุโรป" นอกจากนี้ยังมีแจกันดอกไม้สีสันสดใส จัดวางตามห้องต่างๆ รวมถึงพัดลมที่ทำจากขันเงินลงสีทองแดง และแชนเดอเลียร์ที่เธอเป็น คนออกแบบ
เท่านั้นยังไม่พอ ปลูกต้นเสน่ห์จันทร์วางไว้ตรงกลางห้องตามซินแสบอก หากนำต้นเสน่ห์จันทร์ไปปลูกในบ้านจะทำให้มีเสน่ห์ “ซินแสให้ปลูกต้นไม้เตี้ยตรงแนวน้ำพุหน้าบ้าน เพื่อดึงพลังจากคุ้งน้ำเข้ามาให้บ้านมีเสน่ห์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีไว้ผูกมัดสามี (หัวเราะ) เพราะเดี๋ยวทิ้งเราไปแย่"
//// มรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ
มาถึงห้องรับแขกอย่างเป็นทางการ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เป็นที่รับรองแขกชาวต่างชาติของสามี เช่นนั้นจึงตกแต่งด้วยของเก่าโบราณทรงคุณค่าจากบรรพบุรุษ อาทิ ภายลายเส้นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นภาพที่พระองค์ให้ศิลปินชาวอิตาเลียนสเกตช์ส่งมาให้พระองค์เลือก ซึ่งของจริงเป็นภาพสีน้ำมันประดับในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท งาช้างที่เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษของคุณพ่อคุณแม่ แผ่นไม้แกะสลักจากพม่า และภาพเขียนฝีมือองค์ลามะที่มีตำแหน่งรองจากองค์ทะไลลามะ เป็นต้น
“สิ่งสำคัญมากในห้องนี้คือพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อายุกว่า 100 ปี นำมาจากบ้านหลังเก่า อัดกรอบสุญญากาศไว้เป็นอย่างดี แต่เมื่อนำมาติดที่บ้านหลังนี้ ด้วยความที่เพดานสูงกรอบเดิมจึงไม่เหมาะสม ก็ให้ช่างมาเพิ่มและทำสีใกล้เคียงกรอบเดิม ถัดจากนั้นเป็นตู้โชว์ไม้จากอังกฤษวางไว้ตรงมุมห้อง ด้านบนตู้โชว์ไม้มีพระสังกัจจายน์พุทธกวัก เพื่อกวักเงินทองเข้าบ้าน”
ถัดจากห้องรับแขกอีกฝากหนึ่งของบ้านเป็นห้องอาหารที่ตกแต่งให้เป็นกึ่งห้องประชุม โดยตกแต่งโทนสีขาว พร้อมนำภาพวาดดอกไม้ของศิลปินชื่อดัง และแจกันแก้วที่สั่งทำ จากอิตาลีประดับประดาทั่วห้อง เจ้าของบ้านบอกว่าเวลาประชุมเครียดๆ หากมองไปรอบๆ ห้องจะได้ผ่อนคลายเสมือนนั่งอยู่ในสวนดอกไม้
“เมื่อมีการประชุมเราไม่อยากให้เครียด อยากให้ประชุมกันสบายๆ ติดภาพกระจกหล่อ เป็นรูปต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งเป็นภาพเก่าที่เคยอยู่ในร้านเครื่องประดับสมัยทำร้านที่เชียงใหม่ เมื่อเลิกทำก็นำมาติดไว้ที่นี่ ตามตำนานกล่าวว่าต้นกัลปพฤกษ์เป็นต้นไม้บนสวรรค์ ถ้าใครมีบุญไปขออะไรจากต้นไม้นี้จะได้ดั่งใจ เพื่อนๆ ทุกคนที่มาห้องนี้มักชมว่าสวย” กล่าวพลางหันมาขอความเห็นจากคนรอบข้างที่พยักหน้าตอบทันที
//// ภาพวาดศิลปินเอก
คุณป้อมพาเดินต่อด้านในของตัวบ้าน เริ่มจากห้องนั่งเล่นที่ทำทุกคนสะดุดตา กับภาพวาดสีน้ำมันรูปดอกกุหลาบขนาดใหญ่ที่ประดับผนังกลางห้อง ซึ่งคุณป้อมใช้เวลาวาด 2 เดือน
“กว่าจะวาดกลีบหนาได้แบบนี้เล่นเอาเหนื่อย (หัวเราะ) อาจารย์ชมว่าเป็นคนใจกล้าที่วาดรูปเล็กเป็นรูปใหญ่ได้ พี่มีความสุขมากกับการวาดรูป” นอกเหนือจากนี้ผนังห้องยังรายรอบด้วยภาพวิวทิวทัศน์ที่สะท้อน ความเป็นศิลปินในตัวเธออีกนับไม่ถ้วน
“ที่ผ่านมาพยายามนั่งสมาธิแต่นั่งนานไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่ได้จากการวาดรูปคือสมาธิ สมมุติว่ากินข้าวเที่ยงแล้วมาวาดรูป เผลอแป๊บเดียว 4 โมงเย็น วาดรูปจนลืมดื่มน้ำ ไม่เข้าห้องน้ำ จนเป็นนิ่ว (หัวเราะ) คือเราลืมตัวไปเลย เข้าใจแล้วว่าการนั่งสมาธิให้นิ่งคือจุดนี้นี่เอง ได้สติ ได้ความสงบจากการวาดรูปด้วยการใส่สีเข้าไปในภาพนั้นๆ เพราะโลกความจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ภาพที่เราวาดเป็นภาพบนโลกของเรา” ศิลปินเอกของบ้านกล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นเคย
/// สามีต้องอยู่ในโอวาท
ไม่เพียงภาพวาดที่สวยงามราวกับศิลปินอาชีพ สิ่งที่สะท้อนความเป็นตัวตน ของเจ้าแม่หน้าเด้งยังปรากฎชัดกับการตกแต่งห้องนอนแนวซาฟารี ด้วยผ้าม่านและผ้าห่มลายเสือกับลายม้าที่เธอภาคภูมิใจนำเสนอ
“ให้รู้เสียบ้างว่าไผเป็นไผ (หัวเราะ) ใครข่มใคร สามีต้องอยู่ในโอวาท แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใครอยู่ในโอวาทใคร (ยิ้ม) ห้องทุกห้องหากเหมือนกันหมดก็ไม่สนุก ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง อย่างเตียงนำเข้าจากเมืองนอก นำผ้าลายเสือมาเป็นม่านติดรอบเตียง เพื่อกันความเย็นจากแอร์เข้ามามากไป ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สบาย” คุณป้อมเล่าน้ำเสียงสนุกจนเห็นภาพชัดว่าใครอยู่ในโอวาทใคร
ความสุขของคุณป้อมฉาบฉายบนใบหน้าทุกครั้งยามเล่าถึงวิมานในบั้นปลายชีวิต เพราะชีวิตคู่ที่อยู่ร่วมกันมานาน 27 ปี ช่างเป็นการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น จนใครเห็นต่างอดอิจฉา ซึ่งเป็นเพราะบทเรียนจากประสบการณ์ความรักในอดีต สอนให้เธอค้นพบกับคำว่า “ให้”
“เคยผิดหวังกับความรัก เพราะสมัยก่อนเราเป็นคนเอาแต่ใจ เรียกร้องอะไรต้องได้ทุกอย่าง พอมีอายุมากขึ้น เราได้แชร์ประสบการณ์กัน ความรักจะยืนยาวต้องรู้จักเป็นผู้ให้ 80-90 เปอร์เซ็นต์ และอีก 10 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้รับ ซึ่งเมื่อวันหนึ่งเราให้มากพอ เราอาจได้รับเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ทุกวันนี้เป็นคนที่ใส่ใจดูแลความรัก ดูแลแต่ไม่ใช่ตาม ต้องถนอมความรักทุกนาที และมีสติในความรัก” เคล็ดลับในการครองคู่ของรุ่นใหญ่
บ้านหลังงามที่เธอตั้งใจให้เป็นที่พักกายในบั้นปลายชีวิต เปี่ยมไปด้วยความหมาย และเต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น รวมถึงสร้างมวลแห่งความสุขให้คู่รักรุ่นใหญ่อย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น