สุทธิคุณ กองทอง หนุ่ม

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

จากลูกแม่ค้า…สู่อธิบดี DSI ธาริต เพ็งดิษฐ์ “กลัวตาย” แต่ “ไม่กลัว” ถูกย้าย 24 ชั่วโมง!!

















































เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : นพพล ภาคสุทธิผล แต่งหน้า : บัณฑิต บุญมี

จากลูกแม่ค้า…สู่อธิบดี DSI

ธาริต เพ็งดิษฐ์

“กลัวตาย” แต่ “ไม่กลัว” ถูกย้าย 24 ชั่วโมง!!


อธิบดี DSI ที่เป็นข่าวรายวัน ทั้งกรณีถูกพาดพิง ถูกกล่าวหา ถูกขู่ย้าย และถูกขู่ฆ่า ยอมรับเป็นคนธรรมดาที่ “กลัวตาย” แต่ “ไม่กลัว” ถูกย้ายหากเปลี่ยนขั้วรัฐบาล


ตกเป็นข่าวดังแบบถี่ยิบชนิดน้อยคนนักที่จะไม่คุ้นชื่อ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ตั้งแต่กรณีสั่งฟ้อง 17 แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในคดี ”ผู้ก่อการร้าย” กระทั่งถูกขู่ทำร้ายชีวิตผ่านจดหมายทั้งครอบครัว รวมถึงประเด็นสั่งไม่ฟ้องบริษัท ทีพีไอ ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ และยังไม่นับประเด็นภรรยา ถูกกล่าวหาเรียกเก็บเงินจากนักธุรกิจ 150,000 บาท เพื่อเคลียร์คดีภาษี รวมถึงล่าสุดคือ หมายเลขปริศนา 161 ถ.ศรีอยุธยา ซึ่งคู่กรณี จตุพร พรหมพันธุ์ พาดพิงว่าสามารถทำให้เก้าอี้ดีเอสไอสะเทือน!!

ประเด็นร้อนยาวเป็นซีรีส์ขนาดนี้ คุณธาริตยิ้มรับด้วยความยินดีก่อนจะตอบทุกคำถามที่สังคมอยากรู้

// “ธาริต” ผู้ชายธรรมดาที่กลัวตาย

“ต้องยอมรับว่า บ้านเมืองเราในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาอยู่ในภาวะวิกฤติ เป็นเหตุการณ์ที่ ไม่ปกติและมีความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมบ้านเรา การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ม้จะเริ่มการชุมนุมจากความขัดแย้งทางการเมืองามสิทธิรัฐธรรมนูญ แต่มีบุคคลบางกลุ่ม ที่ก้าวล่วงเส้นแบ่งไปถึงขั้นกระทำผิดกฎหมาย ความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่างๆ ประจักษ์แก่สายตาของทุกคน ว่ามีการเผาบ้านเผาเมือง มีผู้คนล้มตายมากมาย เป็นการก้าวเข้าสู่การกระทำผิดกฎหมายแล้ว หน่วยบังคับใช้กฎหมาย เช่น ตำรวจ ดีเอสไอ จึงไม่สามารถที่จะเพิกเฉยได้ จำเป็นต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

คราวนี้การดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิดตรงนี้ ถือว่าเป็นข้อหาที่ร้ายแรง ก็เป็นธรรมดา ที่หัวหน้างานอย่างผมอาจอยู่ในเป้าหมายที่ไปสร้างความแค้นเคือง เจ็บแค้นหรือไม่พอใจอย่างมาก ผมว่าเป็นเรื่องธรรมดาวิสัยที่จะถูกข่มขู่หรือถูกลอบทำร้ายได้ ผมเลยต้องระมัดระวังตัวเองมากขึ้น ทำตัวเป็นเด็กดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อไม่ให้นายตำรวจทั้งหมดรู้สึกหนักใจกับการรักษาความปลอดภัยให้ผม ตำรวจแนะนำอะไรผมก็ต้องปฏิบัติตาม”

อธิบดีดีเอสไอแจกแจงประเด็นถูกขู่ฆ่าผ่านจดหมาย ภายหลังการตั้งข้อหาผู้ก่อการร้าย” กับแกนนำกลุ่ม นปช. โดยเนื้อความในจดหมายระบุจะเอาชีวิตเขาและครอบครัว นั่นจึงเป็นที่มาของการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดทั้งในสถานที่ทำงาน และเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยอารักขาความปลอดภัยประจำตัว ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่ามีความกังวลใจอยู่ไม่น้อย

“ผมเป็นปุถุชนคนธรรมดา แล้วก็เป็นหัวหน้าครอบครัวด้วย ย่อมมีความห่วงใยครอบครัว และกังวลใจเป็นธรรมดา จะบอกว่าไม่กลัวเสียเลยก็คงไม่ใช่ ทางที่ดีผมต้องระวังตัวมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเกิดขึ้นในครอบครัว แล้วครอบครัวผมเป็นครอบครัวเล็ก มีแค่พ่อแม่ลูก เราก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกันตลอด” แต่กระนั้นก็มิพ้นกระแสวิพากษ์จากฝ่ายตรงข้ามว่า การถูกขู่ฆ่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์ให้สังคมเห็นใจ ประเด็นนี้ อธิบดี ดีเอสไอตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผมไม่มีความจำเป็นต้องสร้างสถานการณ์ ตามประวัติการทำงานของผม ผมไม่เคยสร้างสถานการณ์ สื่อมวลชนจะรู้ดีว่า ผมทำงานอย่างตรงไปตรงมา”

/// ไม่มีบุญคุณที่ต้องทดแทน

ถ่ายทอดความรู้สึกในแต่ละประเด็นออกมาเป็นฉากๆ กระทั่งมาถึงเรื่องร้อน เมื่อดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ในความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือการไซฟ่อนเงิน เมื่อไม่มีหลักฐานชัดเจนในการจ้างงาน บริษัท เมซไซอะ บิซิเนสแอนด์ ครีเอชั่น จำกัด เพื่อไปจัดทำสื่อโฆษณา และการประชาสัมพันธ์ ในโครงการต่างๆ มูลค่ากว่า 263 ล้านบาท ให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 และ 2551 หรือคดียุบพรรค และจากคำสั่งไม่ฟ้องบริษัททีพีไอนั้นเอง จึงเกิดเสียงวิจารณ์ว่าคุณธาริตมีผลประโยชน์ต่างๆ ตอบแทน เนื่องจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์แต่งตั้งเขาขึ้นมานั่งตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ

"ผมไม่ต้องทดแทนบุญคุณใคร ผมไม่หนักใจในเรื่องนี้ เพราะไม่ได้มาโดยระบบอุปถัมภ์ สิ่งที่ผมต้องทำคือ ทำงานให้ดีที่สุด ตรงไปตรงมา และสร้างความยุติธรรม ผมขึ้นมาเป็นซี 10 ในสมัยพรรคเพื่อไทย ที่มีคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ผมเจริญเติบโตมาตั้งแต่ สมัยพรรคไทยรักไทย ย้ายมาจากสำนักงานอัยการสูงสุด มาเป็นรองอธิบดีดีเอสไอ จึงถือว่า โตมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทยเป็นต้นมา แต่ในเรื่องของการทำงาน ผมต้องเอาหน้าที่เป็นหลัก จะให้ผมไปทำงานเพื่อเอาใจฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ก็คงไม่ใช่” คุณธาริตกล่าวยืนยันว่าตนเองไม่ใช่คนของพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างที่หลายฝ่ายวิจารณ์

นอกจากนี้เจ้าตัวยังย้ำว่า ไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาบริหารประเทศ เขาก็ทำงานด้วยได้ทั้งนั้น “เราเป็นข้าราชการประจำ เลือกไม่ได้หรอก เพราะฝ่ายการเมืองเป็นฝ่ายกำหนดนโยบาย เราเป็นฝ่ายปฏิบัติก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง สมัยรัฐบาลคุณทักษิณผมก็เคยทำงานกับท่าน ท่านก็เป็นคนเก่ง แล้วก็มีความตั้งใจที่จะพัฒนาประเทศ ผมรู้สึกว่าท่านเป็นคนดีคนเก่ง ที่ผมสัมผัสท่านได้ตั้งแต่ในอดีต”

แต่ถึงอย่างนี้ก็ยังหนีไม่พ้นเสียงวิพากษ์์วิจารณ์ว่า ดีเอสไอเป็นปรปักษ์กับพรรคเพื่อไทย “ผมไม่ขอ วิจารณ์ดีกว่า ด้วยงานที่เป็นหน้าที่ สส.ส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทยเป็นผู้ต้องหา อาจจะมีความ ไม่เข้าใจผม ก็เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งการทำงานในกระบวนการยุติธรรมจะมีคนรักหมด ชอบหมดคงเป็นไปไม่ได้ มันเหมือนเหรียญสองด้านที่มีทั้งคนรักและคนเกลียด” อธิบดีดีเอสไอกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบใบหน้านิ่งเฉย

/// เมื่อภรรยาถูกกล่าวหา

ที่ผ่านมา งานเข้าตัวเองยังไม่เท่าไหร่ แต่ดูเหมือนอธิบดีดีเอสไอจะมีเรื่องให้ขัดเคืองใจอีกคำรบ เมื่อภรรยา (วรรษมล เพ็งดิษฐ์) ถูกกล่าวหาว่าเรียกรับเงินจากนักธุรกิจ จำนวน 150,000 บาท เมื่อครั้งเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรเพื่อเคลียร์คดีภาษี จนมอบอำนาจให้ทนายความยื่นฟ้องดำเนิน คดีอาญากับผู้กล่าวหา ฐานหมิ่นประมาทไปเรียบร้อยแล้ว

ผมก็ให้กำลังใจภรรยา แล้วสอบถาม ยืนยันความบริสุทธิ์ เราคงไม่มาโต้ทางสื่อ เราจะพิสูจน์ ทางศาลเพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้ความจริง ใครทำให้เราเสียหายก็ต้องมีการฟ้องร้องกันเป็นธรรมดา ผมเองก็ไม่ได้กังวลหรือมีความหนักใจใดๆ กับคดีนี้ เพราะเรื่องจริงคือเรื่องจริง เราทำไปด้วยความ บริสุทธิ์ใจ ตอบง่ายๆ หากมีการวิ่งเต้นรับเงินใต้โต๊ะ คงไม่ให้มีการโอนเงินผ่านบัญชีแน่นอน เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว ก็ไม่เห็นมีใครออกมาเรียกร้องหรือต่อว่าอะไร ผมเป็นหัวหน้า ครอบครัวพอมาทำคดีก่อการร้าย เรื่องนี้ก็โผล่ขึ้นมา มมองเป็นเรื่องแปลก จริงๆ เงินที่ว่าเป็นเงินค่า บริการทนายความ ค่าปรึกษา รวมถึงเป็นค่าดำเนินการต่างๆ เพื่อวางแผนภาษีให้กับเฮียเม้ง (ธีระชัย ธำรงพงศธร) ที่จะทำให้เขาเข้าสู่ระบบภาษีได้อย่างถูกต้อง แล้วก็เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง” อรรถาธิบายจบคุณธาริตก็ถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

"ผมรู้ว่าคนในกระทรวงและในดีเอสไอ มีทั้งชอบและไม่ชอบผม ผมเหมือนกำลังสู้อยู่คนเดียว แต่ผมถือว่ามันเป็นหน้าที่ การออกมาพูด ไม่ได้หมายความว่าต้องการเรียกร้องความสนใจ เพียงแค่ต้องการปรับทุกข์ แต่ผมไม่ถอยแน่นอน จะสู้จนกว่าจะไม่มีแรงสู้ ตอนนี้มีการปล่อยออกมา ทำลายผมมากมาย ล่าสุดมีคนโทรมาเล่าให้ฟังว่า มีการปล่อยข่าวว่าผมได้รับเงินจากการขาย ที่ดินมรดกให้นักการเมือง จำนวน 200 ล้าน ซึ่งผมก็งงเหมือนกัน

/// หมายเลข 161 คือใคร?

ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เมื่อล่าสุด จตุพร พรหมพันธุ์ สส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย เปิดประเด็น “คุณธาริตเป็นพวก 161 และรู้ว่าไปทำอะไรที่ถนนศรีอยุธยา” ได้ยินแบบนี้ อธิบดีดีเอสไอคลี่ยิ้มที่มุมปากพร้อมแจกแจงว่า

รู้สึกว่านายจตุพรเก่งในการหาข้อมูลมาก รู้กระทั่งหมอนวดแผนโบราณประจำตัวผมคือใคร หมายเลข 161 ที่นายจตุพรระบุถึงเป็นเบอร์ของนวดแผนโบราณประจำตัวผม ซึ่งเป็นระดับอาจารย์สอนนวดที่ชวาลา อายุประมาณ 50 ปี โดยปกติจะไปเดือนละ 1 -2 ครั้ง

"ผมมองว่าเป็นเรื่องตลก เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว และผมก็ไม่แคร์กับเรื่องแบบนี้ด้วย ผมไม่ได้มีแค่หมอนวดแผนโบราณประจำตัว แต่ยังมีหมอดูประจำตัวด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่านายจตุพรเก่งมาก หาข้อมูลได้ดี ผมติดการนวดแผนโบราณ แต่ไม่นิยมอาบน้ำ นวดอย่างเดียว" คุณธาริตอธิบายอย่างอารมณ์ดีจนทำให้คนรอบข้างถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ได้

/// ไม่กลัวถูกย้าย

แม้ต้องเผชิญกับเรื่องราวหลายกรณี แต่อธิบดีคนดัง ยังคงมีรอยยิ้มสดใส เขาบอกว่า ไม่เคยถอดใจหรือท้อถอยกับการทำงาน และจะยังคงเดินหน้าปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เนื่องจากปัจจุบันคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอค่อนข้างมาก ประมาณ 250 คดี ดังนั้นจึงต้องเดินหน้าทำงานให้ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่บ้านเมืองวิกฤติ หนทางที่ดีที่สุดคือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ถึงจะมีเสียงจากนักการเมืองดังย่านฝั่งธนฯ ว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล เขาจะถูกเด้งภายใน 24 ชั่วโมง

เก้าอี้อธิบดีดีเอสไอ ถือว่าเป็นเก้าอี้ที่มีความหมายมากในกระบวนการยุติธรรม ที่ผ่านมาได้คุย กับครอบครัวว่า เมื่อมานั่งตำแหน่งนี้แล้ว ก็ขอให้นับถอยหลัง ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องไปติดยึด ว่าเราจะต้องรักษาเก้าอี้ตัวนี้เอาไว้ ผมกับครอบครัวคิดแบบนี้ ซึ่งทำให้สามารถทำงาน ได้อย่างสบายใจ ไม่ว่าจะต้องถูกย้ายหรือเปลี่ยนแปลงเมื่อไหร่ ผมก็ยอมรับได้ ไม่ได้ท้าทาย แต่เราเป็นข้าราชการประจำ ก็ต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล

จริงๆ รัฐบาลก็มีการผลัดเปลี่ยนกันมาหลายรัฐบาลแล้ว ซึ่งรัฐบาลเองก็มีอำนาจที่จะเปลี่ยนย้าย ข้าราชการประจำได้ เป็นกติกาที่ต้องยอมรับ ถ้าท่านเฉลิมมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล แล้วสั่งย้ายผม ผมก็ต้องยอมรับโดยดุษฎี ผมคงไม่โกรธหรอกครับ เพราะถือว่าได้ทำตามหน้าที่ สิ่งที่ผมกลัวมากกว่า การถูกขู่คือ เกรงว่าจะปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ครบถ้วน” คุณธาริตกล่าวอย่างชัดเจน

// ลูกพ่อค้าสู่อธิบดี ดีเอสไอ

เคลียร์ทุกประเด็นจบเป็นฉากๆ แล้ว อดีตเด็กชายในจ.ชัยนาท ที่เกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง คุณพ่อคุณแม่ทำอาชีพค้าขายทั่วไป จึงพาย้อนอดีตชีวิตของตนเองว่า กว่าจะมาถึงวันนี้มีความเป็นมาอย่างไรบ้าง คุณธาริต เรียนจบชั้นประถมและมัธยมต้นที่ อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท มาเรียนต่อที่ ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา จากนั้นเอ็นทรานซ์เข้าคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรได้ ทว่า เรียนได้เพียงระยะหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่เหมาะกับตัวเอง “จริงๆ ไม่ใช่สถาบันสอนไม่ดี แต่ผมรู้สึกว่า ตัวเองไม่ค่อยเหมาะกับคณะที่เลือกเรียน” เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี

จากนั้นตัดสินใจลาออกไปสมัครเรียนกฎหมาย จนจบนิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เกียรตินิยม แล้วจึงไปเรียนเนติบัณฑิตไทย และนิติศาสตร์มหาบัณฑิต (สาขากฎหมายอาญา) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนกระทั่งได้เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และเป็น ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขานิติศาสตร์ และรองคณบดีฝ่ายบริหาร คุณธาริตทำหน้าที่อาจารย์นานถึง 6 ปี ก่อนจะตัดสินใจมาเป็นอัยการผู้ช่วยกองคดีอาญา แล้วเติบโตทางสายงานด้านอัยการเรื่อยมา โดยบุคคลที่เขาถือเป็นต้นแบบในการทำงานด้านกฎหมายและภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสร่วมงานอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ศ.ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด และศาสตราจารย์ (พิเศษ) มารุต บุนนาค อดีตประธานรัฐสภา

/// อีก 8 ปี เป็นพ่อพิมพ์ของชาติ

ชีวิตข้าราชการประจำในวัย 52 ปี ของอธิบดี ดีเอสไอ อาจไม่ใช่ชีวิตที่เรียบง่ายเหมือนคนอื่น เพราะ เขาคิดเสมอว่า อนาคตไม่มีอะไรแน่นอน วาระของตำแหน่งมีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน วันนี้เป็นอธิบดีดีเอสไอ วันข้างหน้าใครจะตอบได้... แต่อย่างไรเสียเจ้าตัวก็ไม่คิดที่จะเล่นการเมืองอย่างแน่นอน “ผมไม่เคยมีความคิดตรงนั้นเลย แล้วก็ไม่มีแผนการที่จะเป็นนักการเมือง สิ่งที่คิดเอาไว้หลังจากนี้ไป อีก 8 ปีจะเกษียณ โดยที่ไม่มีเรื่องมีราว ก็อยากกลับไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือมากกว่า ที่ผ่านมายังไม่เคยมีคนชวนให้เล่นการเมือง แต่ผมก็ไม่สนใจ (น้ำเสียงหนักแน่น) เพราะผมทำงานด้านวิชาการมา บวกกับมีใจรักงานทางด้านกฎหมาย เมื่อพ้นหน้าที่ไปแล้ว ก็จะกลับไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ซึ่งน่าจะเหมาะกับตัวเองมากที่สุด”

//เสียงข้างมากนอกบ้าน ...ในบ้านเป็นเสียงข้างน้อย

ด้วยบทบาทหน้าที่ ซึ่งต้องดูแลคดีระดับชาติ คุณธาริตยอมรับว่า ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาให้กับครอบครัวเท่าไหร่ ทุกวันก็จะพยายามกลับไปรับประทานอาหารเย็นที่บ้าน เพราะไม่อยากให้ลูกชาย (ธนวรรษ เพ็งดิษฐ์) ขาดความอบอุ่น “ตื่นเช้ามาผมจะรับประทานอาหารเช้ากับลูกชาย พอรับประทานอาหารเสร็จก็จะไปส่งลูกที่โรงเรียน จากนั้นก็เดินทางไปทำงานจนหมดเวลา างวันก็กลับไปรับประทานกับครอบครัว แต่บางวันก็ไม่ทัน จริงๆ ในบ้านจะเป็นประชาธิปไตย ซึ่งผมจะเป็นเสียงข้างน้อย เพราะภรรยากับลูกชาย จะรวมตัวกันตลอด เขาเลยเป็นเสียงข้างมาก” คุณธาริตหัวเราะอย่างสดใสเมื่อเอ่ยถึงครอบครัว

ภาพลักษณ์ที่ดูคร่งขรึมผ่อนคลายลงและมีรอยยิ้มเป็นระยะๆ ยามเล่าถึงบุคคลที่รัก โดยคุณธาริต เผยต่อว่า “ผมกลับบ้านไปจะพูดน้อย เพราะอยู่ที่ทำงานพูดเยอะแล้ว กลับบ้านก็เลยต้อง เป็นผู้ฟังที่ดี อยู่บ้านผมออกกำลังกายด้วยการวิ่งหรือเดินบนสายพานบ้าง ชีวิตก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านี้” กล่าวจบก็วกเข้าเรื่องหลักการทำงานต่ออีกครั้ง “ผมคิดว่าการทำงานเราต้องทุ่มเท และจริงจังกับมัน แล้วในฐานะที่เป็นนักกฎหมาย เราต้องคิดอยู่เสมอว่า ความประมาทจะทำให้เกิดความเสียหาย ดังนั้นเราจะต้องมีสติยั้งคิดยั้งทำ อย่าให้มีความผิดหลง เหมือนอวิชา อย่าคิดว่ารู้แล้ว แต่จริงๆ ไม่รู้ อันนี้เป็นประเด็นที่อันตรายมาก หลักคิดตรงนี้ผมก็ได้มาจากผู้ใหญ่หลายท่าน คิดว่าจะถือปฏิบัติต่อไป เพราะการทำงานอย่างมุ่งมั่น เอาจริงเอาจัง จะเป็นคุณูปการที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ”

แม้การบอกเล่าจะเข้มข้นด้วยสาระและประเด็นร้อน แต่ก็แฝงด้วยรอยยิ้มของผู้ถ่ายทอด ที่สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับข่าวร้อนหรือสถานการณ์ร้ายแรงเพียงใด ธาริต เพ็งดิษฐ์ ก็ยังไม่ถอดใจกับการปฏิบัติหน้าที่ อธิบดี ดีเอสไอ ไปง่ายๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น