สุทธิคุณ กองทอง หนุ่ม

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผศ.ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ แผ่นดินไหวในเมืองไทย...ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง

ภาพ : ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์

[HD]

ผศ.ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์

แผ่นดินไหวในเมืองไทย...ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

ว่ากันว่า ปรากฏการณ์เรียงตัวของดาวเคราะห์ครั้งใหญ่ ระหว่าง โลก ดาวพฤหัสบดี และ ดาวยูเรนัส นอกจากนั้น ยังมีการเรียงตัวกันระหว่าง โลก พระจันทร์ และ ดวงอาทิตย์ ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 12 มิถุนายน ที่ผ่านมา จะส่งผลกระทบ โดยตรงอย่างต่อเนื่องในรูปแบบของสภาพอากาศแปรปรวน ที่อาจทำให้เกิดแผ่นดินไหว หรือภูเขาไฟระเบิดในทั่วทุกมุมโลก

ข่าวคราวดังกล่าวทำให้ผู้คนทั่วโลกที่ได้ทราบเรื่องราว ตื่นตระหนก และต่างจับจ้องคำทำนายจากเหล่านักวิชาการหลากหลายแขนง ซึ่งไม่ต่่างกับ ในประเทศไทยที่ก็มีการระแวดระวังเหตุการณ์ดังกล่าวเช่นเดียวกัน

กระทั่งในที่สุดคืนวันที่ 12 มิถุนายน ที่ผ่านมา ได้เกิดแผ่นดินไหวและอาฟเตอร์ ช็อกต่อเนื่องกันหลายครั้งในหลายประเทศ รวมทั้งเมืองไทยที่ได้รับผลกระทบด้วย โดยเริ่มที่แผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.5 ริกเตอร์ ที่เกาะนิโคบาร์ ประเทศอินเดีย ตามด้วยแผ่นดินไหวขนาดกลางที่ญี่ปุ่น และอาฟเตอร์ช็อกที่เกาะนิโคบาร์ รุ่งขึ้นในวันที่ 13 มิถุนายน เวลาประมาณ 15.19 น. ยังเกิดแผ่นดินไหววัดแรง สั่นสะเทือนได้ 3.7 ริกเตอร์ จุดศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณ ต.ด่านแม่แฉลบ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายคนหวาดกลัว ว่าอาจจะเกิดแผ่นดินไหว ตามรอยเลื่อนต่างๆ ในเมืองไทยตามการคาดการณ์

/// ฤๅจะถึงจุดจบโลก

จากปรากฏการณ์ดังกล่าว ผศ.ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและ พัฒนาวิศวกรรมปฐพีและฐานราก ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อรรถาธิบายว่า ประเทศไทยมีโอกาสเสี่ยงที่จะ เกิดแผ่นดินไหวนั้น มีการแบ่งออกเป็นโซนได้ 5 ระดับ คือ 0, 1, 2, 3, 4 โดยระดับ 0 อยู่ที่อีสาน ระดับ 1 จะอยู่แถวภาคกลาง ยกเว้นกรุงเทพฯ ระดับ 2 จะอยู่ที่ภาคเหนือ กรุงเทพฯ และระดับ 3 จะอยู่ที่ญี่ปุ่น ไต้หวัน อเมริกา ภาคใต้ เรียกว่า ระดับ 3 และ 4 จะเกิดขึ้นนอกประเทศไทย

“ถ้าเป็นภาพรวมประเทศไทยจะอยู่ในลักษณะการเกิดแผ่นดินไหวแบบปานกลาง แล้วกรณีที่จะมีความรุนแรงมากนั้น ในช่วงชีวิตของพวกเราไม่น่าจะ เกิดขึ้นได้ เพราะทางธรณีวิทยาจะต้องใช้เวลา หรืออาจไม่เกิดโดยตรง แต่จะได้รับผลกระทบ เช่น ในทะเลอันดามัน หรือในภาคเหนือก็จะได้รับผลกระทบจากการเกิดแผ่นดินไหวหลายจุด แล้วก็จะเกิดเร็วขึ้น แต่ในทางกลับกัน ยิ่งเกิดบ่อยยิ่งดี เพราะเป็นการค่อยๆ ปล่อยพลังงานออกมา ดีกว่าให้แผ่นดินไหวรุนแรงครั้งเดียว ซึ่งการเกิดแผ่นดินไหวนั้น เป็นเพราะหินมันบดกัน แล้วทำให้มันแตกตัว โดยโดนแรงดันจากข้างล่าง เพราะแรงดันใต้เปลือกโลกเคลื่อนตัว ก้อนหินจะบดกัน แล้วก็ทำให้แตกออกจากกันนั่นเอง

“สำหรับความเสี่ยงสูงสุดของประเทศไทย เห็นจะเป็นเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และกรุงเทพฯ สำหรับกรุงเทพฯ ซึ่งมีสภาพดินอ่อน แต่ก็สามารถป้องกันภัยจากธรรมชาติได้ ด้วยการสร้างฐานรากให้มั่นคง สิ่งสำคัญอย่าตื่นตระหนก เพราะไม่ได้ช่วยอะไร แต่เราต้องใช้สติว่าปัจจุบันเกิดอะไรขึ้น แล้วไม่ได้ทำให้ทุกอย่างปลอดภัย เราต้องมีสติ แล้วต้องเข้าไปดูความปลอดภัยของสิ่งนั้นๆ เช่น การไปตรวจเขื่อน ศรีนครินทร์ทุกมุมแล้ว เขื่อนค่อนข้างมั่นคง” นักวิชาการยืนยันเสียงเข้มถึง โอกาสที่แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงไม่น่าเกิดในประเทศไทย

ส่วนปรากฏการณ์สตอร์มเซิร์จ (Storm Surge-น้ำขึ้นจากพายุ) ซึ่งในส่วนของกรุงเทพฯ มี 7 เขต ที่มีโอกาสถูกโจมตีโดยสตอร์มเซิร์จ คือบางขุนเทียน ทุ่งครุ ราชบูรณะ บางบอน จอมทอง บางแค และหนองแขม จึงควรเร่งหาแนวทางป้องกันภัยโดยด่วน โดยทาง จ.สมุทรปราการ ถึงถนน บางนา-ตราด อาจเกิดคลื่นสูง 0.2-1 เมตร และเขตบางขุนเทียน และบางส่วนของเขตทุ่งครุ อาจเกิดคลื่นสูง 1-3 เมตร

“สาเหตุที่จะเกิดน้ำท่วมแบบนั้น เกิดจากดินทรุดตัว เพราะในอดีตตั้งแต่ จ.ชัยนาท ลงมาเคยเป็นน้ำทะเลมาก่อน พอน้ำจากแม่น้ำไหลออกมาเรื่อยๆ ถมจนกลายเป็นพื้นดินเรื่อยมาจนถึงปากอ่าวไทย แต่ทั้งหมดก็กลายเป็นดินอ่อนทำให้เสี่ยงต่อการทรุดตัวของดิน คือดิน ที่ตกตะกอนในน้ำทะเลนั่นเอง แต่ถ้าหยุดการใช้น้ำบาดาลลง โอกาสน้ำจะท่วมก็น้อยลง เพราะการใช้น้ำบาดาลทำให้ดินทรุดปีละ 10 เซนติเมตร” นักวิชาการอธิบายรายละเอียด

//// วอนอย่าตื่นตูมเกินจริง

ทั้งนี้ หากน้ำท่วมตามที่มีการคาดการณ์เราก็สามารถทำคันกั้นน้ำได้ เช่น การยกถนน สุขุมวิทสายเก่าเป็นคันกั้นน้ำทะเลได ้ถ้าน้ำทะเลท่วมสูง 1-2 เมตร แต่ถ้าสูงถึง 6-7 เมตร เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งความกลัวของประชาชนบางส่วนยังส่งผลกระทบ ทำให้ไม่กล้าซื้อบ้านหรือที่ดิน รวมไปถึงหวาดวิตกในการอาศัยในบริเวณดังกล่าว เพราะต่างกลัวน้ำท่วมนั่นเอง

“ผมอยากจะบอกว่าเมืองหลวงของเราคงไม่ปล่อยให้เป็นอะไรไปได้ง่ายๆ หรอก วิศวกร เขาคิดกันถึงว่าจะมีการทำเขื่อนจาก จ.เพชรบุรี มาถึง จ.ระยอง พอคำนวณตัวเลข งบประมาณก็อยู่ที่แสนล้านถึงสองแสนล้าน ตอบได้เลยว่าไม่ต้องกลัว เพราะเรามีเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยตรงนี้ได้” เขาแจกแจงเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ ที่สามารถแก้ไขและป้องกันได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถสร้างสนามบิน สุวรรณภูมิซึ่งมีลักษณะดินอ่อนได้

ทั้งนี้ จากข้อมูลการวิเคราะห์ของ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรชาวไทยที่ทำงานในองค์กร นาซ่า ผู้ที่เคยกล่าวถึงข้อมูลแผ่นดินไหวในเฮติและชิลี ซึ่งทำนายได้ใกล้เคียงมาก
กล่าวถึงภัยพิบัติโลก?
ที่อาจมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึง 7.0-8.5 ริกเตอร์ และจะรุนแรงขึ้น ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป โดยจะเห็นผลกระทบตั้งแต่เดือนตุลาคมถึง เดือนธันวาคม
และจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึง ค.ศ.2013 จนอาจจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “จุดจบของโลก

ผศ.ดร.สิทธิศักดิ์ ให้ความเห็นต่อข้อมูลการคาดคะเนดังกล่าวว่า “ถ้าบอกว่าเป็นจุดจบของโลกก็ถือว่าดีใหญ่เลย (หัวเราะ) ตายก็ตาย แต่ในเชิง วิทยาศาสตร์ที่เราศึกษาเรื่องข้อมูลต่างๆ ไม่มีคำยืนยันออกมาชัดเจนว่า จะมีการระเบิดของโลก หรือโลกจะแตก ซึ่งล้วนมีแต่สถิติที่ทำนายทายทักกันไป อยากจะบอกกับทุกๆ คนที่กลัวภัยธรรมชาติว่า ในโลกนี้มนุษย์เรามีความ สามารถที่จะสู้กับธรรมชาติได้ ตามประวัติศาสตร์ เราเห็นได้หลายกรณี เราไม่มีน้ำใช้เราก็ไปสร้างเขื่อนเก็บน้ำไว้ใช้ได้ หรือประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่มีพื้นดินต่ำกว่าน้ำทะเล เขาก็มีการสร้างคันกั้นน้ำ ทุกวันนี้ประเทศเขาก็อยู่กันได้ ขณะที่แผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่นรุนแรงกว่าเราเป็นร้อยเท่า เขาก็ยังใช้ชีวิตปกติ โดยเขายังทำเทคโนโลยีมาขายที่บ้านเราได้ ตรงนี้ขอให้เชื่อมั่นในมนุษยชาติหรือ ในความสามารถของมนุษย์กับเทคโนโลยี”

นอกจากนี้ ยังมีนักวิชาการออกมาคาดการณ์ว่าจะเกิดสึนามิรอบสอง ผศ.ดร.สุทธิศักดิ์ สรุปภาพรวมว่า “การเกิดสึนามิในประเทศไทยเป็นไปได้น้อย เพราะประเทศไทยอยู่ ในโซนที่จะได้รับผลกระทบจากนอกประเทศมากกว่า แต่ไม่ได้เจอแบบตรงๆ อย่างกรมอุตุฯ ได้ออกไปลอยทุ่นไว้เตือนสึนามิ ผมว่าตรงนี้เหมาะสมแล้ว หากจัดอันดับความน่ากลัวที่สุดของภัยธรรมชาติ คือ ภัยจากมนุษย์ที่ตัดไม้ทำลายป่า ภัยแล้ง น้ำท่วมซ้ำซาก ดินถล่ม แผ่นดินไหว แผ่นดินทรุดตัว ที่เกิดจากการใช้น้ำบาดาล กันมาก แต่ถ้าเป็นน้ำท่วมจากน้ำทะเลยกจะเป็นอันดับท้ายๆ

“จริงๆ ประเทศไทยต้องสร้างองค์ความรู้ขึ้นมา เช่น ภัยแล้ง เราต้องทำยังไง อย่างอเมริกา หรือญี่ปุ่นเขาจะเรียนเรื่อง หากเกิดแผ่นดินไหวจะต้องทำยังไง หลบลงใต้โต๊ะ หรือเกิดสึนามิ จะต้องขึ้นไปอยู่บนที่สูง”

…เพราะไม่ว่าคนเราจะพบเจอกับภัยธรรมชาติที่หนักแค่ไหน หากทุกคนมีความรู้ และมีสติ ก็จะเกิดปัญญาในการรับมือกับเหตุการณ์นั้นๆ ได้แน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น