สุทธิคุณ กองทอง หนุ่ม

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พี่ตุ๋ย-นวลปรางค์ ตรีชิต นางแบบชื่อดังของฟากฟ้าเมืองไทยรายการ ปอกเปลือกคนดัง เวลา 18.00 -19.00 น./รายการพระเครื่องคนดังเวลา 12.00-12.30 น. ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม HOT T









































































พี่ตุ๋ย-นวลปรางค์ ตรีชิต นางแบบชื่อดังของฟากฟ้าเมืองไทย


สัมภาษณ์

ออกรายการ ปอกเปลือกคนดัง

เวลา 18.00 -19.00 น./รายการพระเครื่องคนดังเวลา 12.00-12.30 น.

ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม HOT TV



คลื่นความถี่ V3829 SYBMBOL RATE 5259

หมายเหตุ หากใครบอกว่า ดูรายการปอกเปลือกคนดัง


ไปที่ร้านจะได้ลดราคาพิเศษนะครับ


"แอทเนล บาย นวลปรางค์ ตรีชิต"


สนใจโทร. 081-720-1825 ,02-559-2883



ประวัติ นวลปรางค์ ตรีชิด



"ตอนนั้นอายุประมาณ 14-15 เริ่มต้นจากการประกวดนางงาม ในรุ่นนั้น ศิริขวัญ นันทศิริ เขาได้อันดับ1 ตัวพี่ตุ๋ยตกรอบ แต่หน้าตาเราคงไปโดนใจเขา ก็เลยได้รับตำแหน่งขวัญใจช่างภาพ ในตอนนั้นเรียกว่าขวัญใจยามาฮ่าซึ่งเป็นสปอนเซอร์ แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มมีงานถ่ายปกนิตยสาร พอลงปกนิตยสารก็มีคนมาชวนไปเป็นนางแบบ จากนั้นก็ค่อยไปเล่นละคร คือเป็นไปตามลำดับ ในช่วงนั้นนักร้องยังไม่ฮิตนะ ไม่อย่างนั้นก็คงได้เป็นนักร้องกับเขาด้วยเหมือนกัน...ยุคของพี่ตุ๋ยถือเป็นยุคแรกของนางแบบอาชีพ คือก่อนหน้านี้จะเป็นนางแบบกิตติมศักดิ์ คือไม่ได้ทำเป็นอาชีพ ไม่ได้เงิน หรือไม่ก็เป็นนางแบบของแต่ละห้องเสื้อ ซึ่งก็เป็นกิตติมศักดิ์อีกเหมือนกัน ยุคของพี่จึงถือเป็นยุคแรกของอาชีพนางแบบในเมืองไทย วงการนางแบบในตอนนั้นก็ไม่แตกต่างจากตอนนี้มากนัก


เพียงแต่ในยุคนี้ก็จะมีความทันสมัยขึ้น ยุคนั้นรุ่นพี่ถือเป็นนางแบบรุ่นท็อปของเมืองไทย ในการทำงานเราก็จะได้เจอแต่มืออาชีพที่อยู่ในระดับท็อปเช่นกัน ทั้งห้องเสื้อ ดีไซเนอร์ รูปแบบการจัดงาน นางแบบตอนนั้นก็มีอยู่น้อย ทำให้พวกเราสนิทกันมาก และยังสนิทกันมาจนถึงทุกวันนี้...ในช่วงนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าวางตัวลำบาก เพราะเริ่มเป็นขั้นๆ 1 2 3 มันก็มีระยะเวลาในการปรับตัว แต่ถ้าถามว่ามีเหลิงบ้างไหมกับความสำเร็จที่ได้รับในตอนนั้น ก็ต้องบอกตรงๆ ว่าคงมีบ้างด้วยความที่เรายังเด็ก แต่เราอยู่ในวงการมานาน เข้าวงการเร็ว ระยะเวลาช่วยทำให้เรานิ่งขึ้น และเข้าใจหลักในการดำเนินชีวิตซึ่งตรงนี้ถือว่าโชคดี เพราะเคยเห็นหลายคนที่พอเหลิงแล้วดึงสติกลับมาไม่ทันกลายเป็นหลุดไปเลย มีทั้งเที่ยวกลางคืน ไม่ดูแลตัวเอง กินเหล้า สูบบุหรี่ จนสุดท้ายร่างกายก็ทรุดโทรมไปเอง"


ด้วยความที่วงการนางแบบในช่วงนั้น เป็นเพียงกลุ่มคนเล็กๆ ที่คุ้นหน้าคุ้นตา อีกทั้งคุ้นเคยอัธยาศัยกัน เรื่องอิจฉาริษยากันหลังเวทีเหมือนในละครหลังข่าวนั้นตัดไปได้ เพราะสิ่งที่พี่ตุ๋ยได้รับ คือความรัก ความห่วงใย ทั้งจากเพื่อนๆ นางแบบ และบรรดากกูรูแฟชั่นดีไซเนอร์ทั้งหลาย ที่ช่วยกันขัดเกลา ให้ความรู้ทั้งเรื่องการวางตัว และเรื่องการเดินแบบ จนเด็กสาวคนหนึ่งเปล่งประกายและจรัสแสงขึ้นมาได้อย่างเต็มภาคภูมิ"แม้กระทั่งทุกวันนี้พี่ไข่ (ดีไซเนอร์) ก็ยังคอยเป็นห่วง คอยเตือนพี่อยู่ ว่าตอนนี้พี่เลิกกับสามีแล้วมาอยู่เมืองไทย ก็ต้องรู้จักวางตัวให้ดี เพราะเราผ่านการมีครอบครัวและมีลูกแล้วด้วย จะทำตัวเหมือนเมื่อก่อนที่อยู่ตัวคนเดียวไม่ได้แล้ว พี่เขาจะพูดว่าที่ผ่านมาเราวางตัวดีมาตลอด มันทำให้เรามีกำลังใจ และรู้สึกดีใจที่ไม่ว่าเมื่อไรเขาก็ยังคงเป็นห่วงเราเสมอ มันเป็นความผูกพันที่เริ่มจากการทำงาน ที่นางแบบรุ่นหลังๆ อาจจะไม่มีอย่างนี้ เพราะความที่วงการมันกว้างขึ้น ผิดกับเมื่อก่อนที่พวกเราจะมีกันไม่เยอะมากนัก ...


ต่อมาก็เริ่มเล่นละคร คือเพื่อนกลุ่มเราอย่าง ลินดา ค้าธัญเจริญ เขาก็เล่นละครอยู่แล้ว ด้วยความที่เรารักกัน เขาก็พาเราไปทำความรู้จักกับคนในแวดวงนี้ แล้วก็เลยได้เล่นละครมาด้วยกัน ลินดา นวลปรางค์ ดวงตา พี่อยู่ในวงการนี้สั้นมากเลยนะ คือเข้าวงการประมาณ 15 ได้ทำงานจริงๆ จังๆ ก็ประมาณ 18 เริ่มมีชื่อเสียงตอนอายุ 20 พออายุ 25 พี่แต่งงานแล้วไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกเลย ถึงจะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ต้องเข้าใจว่าช่วงนั้นในวงการมีดาราน้อย นับชื่อได้เลยจึงเป็นที่จดจำได้ง่าย อย่างเรื่องที่ดังๆ คนติดเยอะๆ ก็จะมี "สามอนงค์" "กุหลาบไร้หนาม" "สะใภ้เจ้า" ส่วนมากจะได้รับบทที่เป็นตัวเอง เป็นสาวมั่น เปรี้ยว แต่งตัวเก่ง เพราะถ้าให้ไปรับบทเจ้าน้ำตา นั่งร้องไห้ก็คงไม่เข้ากับบุคลิกของตัวเองเหมือนกัน"พี่ตุ๋ยกับช่างภาพเรา ยังคงคุยกันถึงละครเรื่องต่างๆ (ซึ่งเราได้แต่นั่งฟังหูผึ่ง) กันไปอีกสักพัก

ก่อนที่เราจะขอถามถึงเรื่องชีวิตส่วนตัว ช่วงที่เธอออกจากวงการ และไปเริ่มต้นชีวิตครอบครัวที่อเมริกา"พี่ไปอยู่ที่รัฐซานฟรานซิสโก ทำร้านอาหารไทยอยู่ 3 สาขา เป็นไทย - บาร์บีคิว แล้วก็มีร้านขายของเหมือนกับ 7-11 ที่บ้านเรา เป็นเจ้าของอพาร์ตเม้นต์ ซึ่งเป็นธุรกิจของทางสามีทั้งหมด เราก็ไปช่วยกันดูแล ชีวิตที่เมืองนอกต่างจากเมืองไทยมาก เป็นชีวิตที่เรียบง่าย เพราะตอนที่เราไปไม่ใช่ยุคบุกเบิก มีคนปูทางเอาไว้ให้หมดแล้ว คือทางครอบครัวสามีถือเป็นรุ่นลำบาก ไปก่อร่างสร้างตัวเอาไว้ พอเราไปถึงเป็นช่วงที่ธุรกิจเขาดำเนินไปได้ดีแล้ว ก็เลยมีหน้าที่ไปคอยดูแลร้าน ใช้ชีวิตเป็นแม่บ้าน ดูแลลูกชายคนเดียวคือน้องดีน ชีวิตไม่ฟู่ฟ่าเหมือนตอนอยู่เมืองไทย แต่พี่ก็มีความสุขกับชีวิตแบบนั้น"พี่ตุ๋ยใช้ชีวิตคู่อยู่ที่อเมริกา 14 ปี ในฐานะภรรยาเจ้าของร้าน ที่ช่วยดูแลธุรกิจต่างๆ ของสามี และลูกชายเพียงคนเดียว ก่อนจะตัดสินใจแยกทางกัน และบินกลับเมืองไทยอีกครั้ง"

ตอนนี้กลับมาอยู่เมืองไทยได้ 10 ปีแล้ว ในการใช้ชีวิตคู่ ผู้หญิงคนหนึ่งตัดสินใจแต่งงานมีครอบครัว คงไม่มีใครอยากจะหย่า แต่เราเข้าใจซึ่งกันและกัน เราคุยกันด้วยเหตุผล ในเมื่อเขาไปพบคนใหม่ และคิดว่าใช้ชีวิตคู่กับเราต่อไปไม่ได้ เขาก็มาบอกเราตรงๆ ฟังพี่คุยตอนนี้เหมือนกับว่าสบายๆ แต่กว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้ก็ลำบากเหมือนกัน ต้องใช้เวลานานในการปรับตัว และเข้าใจในสิ่งที่มันเกิดขึ้น จนตอนนี้ไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว ถึงเขาจะเป็นคนผิด แต่เราให้อภัยไปหมดแล้ว กลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เขายังคงทำหน้าที่พ่อของลูกได้อย่างดี...ตัดสินใจว่าจะหย่าหรือไม่ ใช้เวลาไม่นานหรอก เพราะความที่เขาพร้อมจะหย่าอยู่แล้ว เราดูแล้วว่าในเมื่อคนเขาไม่มีใจ เขาอยากจะไปแล้ว ยื้อไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเราไม่พยายาม ตัวพี่เองพยายามปรับตัว ในสิ่งที่เขาไม่ชอบ แต่มันก็สายไปแล้ว ดังนั้น เรื่องการหย่าตัดสินใจไม่ยากเลย ยากตรงที่ว่าเราจะตัดสินใจอยู่เมืองไหนต่อไปต่างหาก คิดหลายตลบเหมือนกันนะ

สุดท้ายก็ตกลงว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทย เพราะอยู่ที่นั่นอย่างไรก็เป็นญาติพี่น้องของเขา ธุรกิจก็เป็นของเขา กลับมาที่นี่อย่างไรก็ญาติพี่น้องเรา จนถึงวินาทีนี้ก็รู้สึกดีใจ และคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่กลับมา และเริ่มต้นธุรกิจของเราด้วยตัวเอง...ตอนที่ตัดสินใจเลิกกับแฟน น้องดีนเขาเพิ่งอายุ 7 ขวบ ยังเด็กอยู่ แต่คิดว่าเขาก็คงพอจะเข้าใจบ้าง จนตอนนี้ก็อายุ 17 แล้ว กำลังจะขึ้นชั้น ม.5 พี่เลี้ยงลูกเหมือนเพื่อน หนูเคยมีเพื่อนอยู่ประเภทหนึ่งไหม ที่แบบว่าเดี๋ยวก็กัดกัน เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน เดี๋ยวก็งอนกัน เสร็จแล้วก็ง้อกัน แต่ยังไงก็ทิ้งกันไม่ลง พี่กับลูกก็จะอารมณ์ประมาณนั้น จะไม่ใช่ว่ามานั่งกลัวพี่ มีเรื่องอะไรก็จะพูดกันตรงๆ เลย หลังๆ มานี้เขาโตเป็นวัยรุ่นแล้วก็จะไม่ติดพี่เหมือนเมื่อตอนเด็กๆ เขาจะมีชีวิตของตัวเอง พี่ก็มีชีวิตของพี่ แต่เรา 2 คนเข้าใจกันดี" ตอนที่กลับมาเมืองไทยนั้นพี่ตุ๋ยอายุ 39 ปีแล้ว จะให้ไปเดินบนเส้นทางสายมายาเต็มตัวแบบเก่าก็คงไม่ได้ จึงตั้งใจไว้แล้วว่าจะลงทุนเปิดธุรกิจของตัวเอง โดยมองไปที่ธุรกิจด้านร้านอาหารเป็นอับดับแรก เพราะมีความคุ้นเคยมากที่สุด"ด้วยความที่เคยเป็นเจ้าของร้านอาหารตอนอยู่ที่อเมริกา อีกทั้งชอบทำอาหารมีรสมือดี ก็คิดว่าขายอาหารน่าจะเหมาะที่สุดแล้ว อาจจะเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือ ก๋วยเตี๋ยวรสเด็ดอะไรก็ว่าไป ตอนกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ พี่มีเงินทุนติดตัวมาแค่ก้อนเดียว ในขณะที่การเปิดร้านอาหารนั้น ถ้าจะทำให้ดีจริงๆ ก็ต้องใช้เงินทุนเยอะ หรือถ้าจะทำแบบลงทุนน้อย ก็ต้องเข้าใจว่าผลตอบแทนก็จะตามไปด้วย ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นก็พอดีมีคนชวนไปเล่นละคร ก็ได้รับหมดเป็นคุณแม่ เป็นคุณน้าไป ซึ่งบทก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่เดินไปส่งลูกขึ้นรถ หรือเวลาสามีภรรยาทะเลาะกันก็คอยไกล่เกลี่ย ก็รู้ว่าคงเล่นละครต่อไปได้อีกไม่นาน...ก็มานั่งทบทวนดูอีกครั้ง ว่าถ้าไม่เล่นละคร ไม่ทำร้านอาหาร แล้วเราจะทำอะไร ก็มาคิดว่ามีอีกอย่างหนึ่งที่เราชอบมากๆ นั่นก็คือการทำเล็บ ชอบมาตั้งแต่สาวๆ แล้ว สมัยก่อนมีแต่คนชมว่ามือสวย เคยถ่ายโฆษณาที่ใช้แต่มือด้วยนะ ก็เลยทาเล็บมาโดยตลอด ช่วงที่อยู่เมืองนอกจะทาเล็บทุกวัน 2 วันทีก็ลบเปลี่ยนเป็นสีใหม่แล้ว เพราะที่นั่นมียาทาเล็บสีสวยๆ เยอะมาก ซื้อมาทีเป็น 10 ขวด ยิ่งช่วงที่ใกล้จะเลิกกับสามี เป็นช่วงที่เครียดมาก บางครั้งนอนไม่หลับ หรือเครียดๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็หยิบยาทาเล็บมานั่งทา จนกลายเป็นว่าเรามีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องการทำเล็บไปโดยไม่รู้ตัว ...


ช่วงที่กลับมาเมืองไทยใหม่ๆ เราก็ติดนิสัยชอบทำเล็บไปแล้ว ตอนนั้นร้านเล็บก็ไม่ค่อยจะมี เราลองไปทำแล้วก็รู้สึกไม่ถูกใจเท่าไร จนวันหนึ่งผ่านไปแถวทาวน์ อิน ทาวน์ ก็เห็นร้านเล็กๆ ว่างอยู่ เราก็เลยเกิดปิ๊งขึ้นมาเลยว่า ทำไมไม่ทำร้านเล็บล่ะ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เราชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกทั้งร้านเล็บเล็กๆ แค่ 40 ตารางเมตร ลงทุนไม่มาก เหมาะกับเงินทุนที่เรามีอยู่พอดี เลยตัดสินใจเปิดร้านเล็บ @t Nail ขึ้นเป็นแห่งแรกที่ทาวน์ อิน ทาวน์ จนมาถึงปัจจุบันนี้พี่ตุ๋ยมีร้านทั้งหมด 5 สาขาแล้ว" โดยมีทาวน์ อิน ทาวน์ เป็นสาขาแรก และร้านทำผมอยู่ใกล้ๆ กันเป็นสาขาที่ 2 โรบินสันรัชดา เป็นสาขาที่ 3เดอะมอลล์ บางกะปิ สาขาที่ 4 และสาขาที่ 5แห่งล่าสุดที่สยามพารากอน ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปไม่นานนัก"จากที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะเปิดร้านแค่พออยู่พอกิน พอหาเลี้ยงลูก ทำไปทำมากลายเป็นว่าประสบความสำเร็จเยอะมาก ภายในระยะเวลาแค่ 4 ปี พี่มี 4 ร้านเล็บ 1 ร้านทำผม ที่ธุรกิจไปได้ดีขนาดนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราตัดสินใจได้ถูก


ที่เลือกทำธุรกิจเกี่ยวกับเล็บ เพราะเล็บจะอินเทรนด์อยู่ตลอดเวลา ไม่เหมือนกับการต่อขนตาหรือต่อผมที่เป็นเพียงกระแสเท่านั้น หากมีผู้หญิง 10 คนเดินมา 5 คนต้องทำเล็บ บางคนอาจจะแค่ทาเล็บ บางคนเพ้นท์เล็บ หรือไม่ก็ต่อเล็บ ยิ่งถ้าในระดับรายได้ปานกลางค่อนไปทางสูงจะนิยมการทำเล็บมาก เพราะนอกจากความสวยงามแล้ว ยังช่วยเสริมบุคลิกภาพให้ดูดีขึ้นได้" เมื่อได้รับความนิยมมากขึ้น เวลาลูกค้ามาทำเล็บทุกคนจะถามเหมือนกันบ่อยครั้งว่า ทำไมไม่ไปเปิดที่ต่างจังหวัดบ้าง พี่ตุ๋ยเลยเกิดไอเดียในการขายแฟรนไชส์อีกด้วย ใช้ชื่อว่า Daily Nails สำหรับรายละเอียดตรงนี้ผู้ที่สนใจสามารถโทร.ถามได้โดยตรงที่เบอร์ 08-1720-1825 "ตอนนี้มีร้านอยู่ 5 สาขาแล้ว คิดว่าคงไม่เปิดเยอะไปกว่านี้อีกแล้ว พอใจกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว อีกทั้งตอนนี้ก็มีการขายแฟรนไชส์แล้วด้วย ที่จะเป็นการต่อยอดไปยังจังหวัดต่างๆ ได้ ส่วนเรื่องงานในวงการบันเทิงก็มีคนถามมาเหมือนกัน


แต่พอมาถึงตอนนี้งานในวงการมันก็ดูไม่เหมาะกับเราแล้ว เพราะตอนนี้พี่อายุ 49 แล้ว เล่นเป็นแม่ก็แก่เกินไปเพราะนางเอกอายุแค่ 16 อย่างมากก็ไม่เกิน 20 ส่วนจะให้เล่นเป็นยายพี่ก็ดูสาวเกินไปอีก บทอื่นๆ อย่าง น้า ป้า ก็เป็นแค่ตัวประกอบบางครั้งมีบทพูดแค่ไม่กี่ประโยค งานในวงการบันเทิงก็เลยหายไป ตอนนี้ก็เลยหันมาดูแลธุรกิจอย่างเต็มตัวจริงๆ...อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเรื่องการดูแลตัวเอง พี่ตุ๋ยกินทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่เป็นคนที่มีวินัยในการออกกำลังกายมาก จะออกกำลังกายอาทิตย์ละ 5 วัน วันละ 2 ชั่วโมง จะมีโยคะร้อน 2 วัน อีก 3 วันเป็นฟิตเนส พี่ทำอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองไทยก็เกือบจะ 10 ปีแล้ว ตอนกลับมาใหม่ๆ ยังออกกำลังกายไม่เป็นนะ ก็ไปมันทุกวัน กลายเป็นทรมานตัวเองไปอีก แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าความพอดีคืออะไร ดังนั้น ไม่กลัวเรื่องอาหารเลย เพราะเราเผาผลาญออกหมด นอกจากเรื่องสุขภาพที่ดีแล้ว



การออกกำลังส่งผลต่อรูปร่างมาก ถึงอายุมากแล้วก็ยังรูปร่างดี ผิวกระชับ ผิดกับคนที่ไม่ออกกำลังกาย ที่อายุป่านนี้ก็เหี่ยวไปเยอะแล้ว...ทุกวันนี้บอกได้เลยว่าชีวิตมีความสุข เรามีชีวิตส่วนตัว มีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีลูกชายที่น่ารัก เขาเป็นเด็กดีมาก อย่างแรกเลยคือไม่ได้ผิดเพศ อันนี้เราก็สบายใจไป อย่างที่สองคือเรียนเก่งมาก สอบชิงทุนทุกอย่างได้หมด เรียนหนังสือที่บดินทรเดชาได้เกรด 3.68 เพราะลูกทำตัวดี ไม่สร้างปัญหาให้เรากลุ้มใจ เพื่อนกลุ่มที่เขาคบก็เป็นเด็กเรียน วันๆ ก็ชวนกันไปเรียนพิเศษ มันก็เลยทำให้พี่มีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น การมีลูกชายนี่พี่ถือว่าเป็นบุญอีกอย่างนะ เพราะทุกวันนี้พี่งานยุ่งมาก ต้องให้แท็กซี่รับส่งลูก ถ้าเป็นลูกสาวพี่ก็คงไม่กล้า บางครั้งก็เลี้ยงลูกทางโทรศัพท์ ไม่มีเวลาเจอกัน ก็ได้แต่คุยทางนี้ แต่ไม่เจอกันก็ไม่ค่อยห่วงอะไรมาก รู้ว่าเขาดูแลตัวเองได้ดี อีกอย่างเขาสูง 187 แล้วนะ คงไม่มีใครกล้าทำอะไรหรอก...


ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองตามใจลูกหรือเปล่า แต่คุณยายบอกว่าพี่ตามใจลูกมากๆ เพราะความที่พี่คิดว่าลูกเขาไม่ได้อยู่กับพ่อ กลัวไปก่อนแล้วว่าเขาจะมีปมด้อยหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วตอนนี้พ่อเขาทำธุรกิจอยู่เชียงราย ก็จะลงมาหาลูกปีหนึ่ง 2 - 3 ครั้ง โทร.คุยกันอยู่บ่อยๆ ก็โดนคุณยายว่าเรื่อยว่าเราเลี้ยงลูกสปอยล์เกินไป โชคดีที่เด็กมันไม่เสีย คงเป็นเพราะเขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองขาด เงินทองเขาก็ไม่ได้ใช้ฟุ้งเฟ้ออะไร ไม่เคยให้เงินลูกติดตัวเยอะๆ แต่จะตามใจเขาในเรื่องของ อย่างมือถือ คอมพิวเตอร์ จะต้องเป็นรุ่นที่ดีที่สุด เพราะพี่รู้สึกว่ามันเป็นของที่จำเป็นต้องใช้ และมันก็เป็นรางวัลที่เขาเรียนหนังสือได้ดี ...



อย่างเรื่องของการเรียน พี่ปล่อยให้เขาตัดสินใจเองหมด เพราะตัวเราเองไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย โชคดีตรงที่เขาได้กลุ่มเพื่อนดี ชวนกันไปเรียน ชวนกันไปสอบชิงทุนต่างๆ ทั้งๆ ที่ไม่เคยไปตั้งเป้ากับลูกเลยว่า ต้องเรียนให้เก่ง ต้องเรียนให้ดี กลัวว่าลูกจะเหนื่อย พี่ไม่ซีเรียสเรื่องนี้เลยนะ จะคอยถามเขาเสมอว่านี่เรียนมากไปแล้วหรือเปล่า ระวังจะเครียดจนเกินไปนะลูก ถ้าเกิดเขาสอบตกพี่ก็จะไม่ว่าเลยนะ ถ้าเกิดเขาทำเต็มที่แล้ว ทำดีที่สุดแล้วได้แค่ไหนก็แค่นั้น แต่เขาเป็นเด็กหัวดี นอกจากไม่เคยสอบตกแล้ว ยังเรียนเก่งมากๆ ไม่เคยกดดันลูกเลย ลูกอยากเรียนอะไรก็มาบอก เรามีหน้าที่ออกตังค์อย่างเดียว เขาคิดของเขาเองได้ ตอนนี้ก็ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะเรียนวิศวคอมพิวเตอร์"หลายคนมองว่า



ช่วงชีวิตที่แย่ที่สุดของเธอ ก็คือตอนที่ต้องกลับเมืองไทยพร้อมกับลูกชายเพียงแค่สองคน ในแวดวงของคนที่เคยเป็นดาว ย่อมหลีกหนีเรื่องของการซุบซิบนินทาไม่พ้น พี่ตุ๋ยเล่าว่าบางคนเคยสนิทสนมรักใคร่กันดี ก็กลับกลายเป็นอื่นไป เหล่านี้คือคนที่ไม่จริงใจ และคบหากับเธอเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น"ช่วงที่กลับมาเมืองไทยใหม่ๆ เหมือนกับเราได้เรียนรู้นิสัยคนไปด้วยในตัว บางคนเคยสนิทสนมรักใคร่กันดี บินไปหาเราที่เมืองนอก ไปกิน ไปนอน ไปเที่ยวด้วยกัน พอเราหย่ากับสามีกลับมา กลายเป็นว่าไม่อยากคบเราเสียแล้ว สงสัยคงกลัวว่าเราจะไปยืมเงิน ในขณะที่บางคนก็หยิบยื่นน้ำใจให้ อย่าง ตั๊ก-มยุรา ก็สนิทสนมกัน พอรู้ข่าวว่าเราจะกลับมา ก็โทร.มาถามทันทีว่ามีเงินใช้หรือเปล่า จะเอาเงินไปใช้ก่อนไหม ถ้ายังไม่มีรถใช้มาเอารถที่บ้านไปใช้ก่อนได้นะ มีอยู่หลายคัน สิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถเรียนรู้ได้เลยจากตอนที่เราอยู่ในที่สูง พอลงมาเดินพื้นดินเมื่อไร ถึงได้รู้เลยว่า มีใครบ้างที่เป็นเพื่อนแท้ของเราจริงๆ...



ส่วนเรื่องความรักครั้งใหม่พี่ไม่เคยคิดเลยนะ ทุกวันนี้รู้สึกว่าชีวิตเราลงตัวดีแล้ว เราทำงานหาเงินเองได้ ใช้ชีวิตในแบบของเรา ผู้ชายคงไม่ค่อยชอบผู้หญิงที่เก่งมากๆ หรอก แล้วเราก็เป็นตัวของตัวเองมาก ผู้ชายจะมาคอนโทรลไม่ได้เลย แต่ไหนแต่ไรมาแล้วพี่เป็นคนวางตัวดีในเรื่องนี้มาตลอด ยิ่งเรามีลูกก็ยิ่งไม่คิดเรื่องนี้เข้าไปใหญ่ ชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำ ลูกก็ไม่ห่วงแล้ว เดี๋ยวอีกหน่อยเขาเข้ามหาวิทยาลัย ก็ขับรถเอง เราก็ไม่ต้องห่วงเรื่องรับส่งอีกต่อไป และคิดว่าตัวเองรวยแล้ว คนอื่นอาจมองว่าต้องมีเงินเป็นกี่สิบล้าน กี่ร้อยล้าน ถึงจะเรียกว่ารวย แต่สำหรับพี่แค่นี้พอแล้วเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงลูกได้ ไม่มีหนี้สิน ก็ถือว่ารวยแล้ว"1 ชั่วโมงกว่าที่นั่งคุยกับพี่ตุ๋ย รู้สึกได้เลยว่าเธอมีความสุขกับทุกช่วงวัยของชีวิตจริงๆ "ตอนที่เป็นนางแบบก็อยู่ในกลุ่มท็อป มีชื่อเสียง มีแต่คนรัก พอไปอยู่อเมริกาก็อยู่ในฐานะของภรรยาเจ้าของร้านอาหาร ใช้ชีวิตแม่บ้านดูแลลูกชาย ถึงจะหย่ากับสามี แต่เราก็จากกันด้วยความเข้าใจ ...


พี่เชื่อว่าชีวิตของคนเรามันมีหลายมุม ชีวิตคู่ของพี่อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่พี่มีงานที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก มีเพื่อนๆ มีคนรอบข้างที่รักและหวังดีกับเรา และที่สำคัญที่สุดพี่มีลูกชายที่ดี เป็นกำลังใจสำคัญที่สุดในชีวิต"
































































1 ความคิดเห็น:

  1. พี่ตุ๊ย ตัวจริงเป็นกันเองมากเลยค่ะ
    พี่เค้าเก่ง ขอยกย่อง น่านับถือค่ะ

    ตอบลบ