สุทธิคุณ กองทอง หนุ่ม

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

One Fine Story จริญญา หาญณรงค์ & เกียรติ สิทธีอมร “สุดที่รัก...หุ้นส่วนชีวิต” นิยามที่มากกว่าคำว่า “แฟน”



นิตยสาร WhO?

เรื่อง : นพรัตน์ จิตพงศ์สถาพร

ภาพ : ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์

แต่งหน้า : บัณฑิต บุญมี

สถานที่ : โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ

One Fine Story

จริญญา หาญณรงค์ & เกียรติ สิทธีอมร

“สุดที่รัก...หุ้นส่วนชีวิต” นิยามที่มากกว่าคำว่า “แฟน”


แม้ต่างคนจะต่างที่มา และไม่เคยอยู่บนเส้นทางเดียวกันมาก่อน แต่เมื่อพ่อม่ายนักธุรกิจซึ่งมี สถานะเป็นนักการเมืองหนุ่มใหญ่ โคจรมาพบกับม่ายสาวสวยที่มีตำแหน่งรองนางสาวไทย การันตีความงาม เรื่องราวดั่งบุพเพสันนิวาสของคนทั้งคู่จึงเริ่มต้นขึ้น


นับเป็นครั้งแรกที่อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย เกียรติ สิทธีอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ยอมควงแขนแฟนสาว จริญญา หาญณรงค์ รองนางสาวไทยปี 2532 มาเปิดใจถึงเรื่องราวความสัมพันธ์แบบเอกซ์คลูซีฟ ชนิดที่ยังไม่เคยมีใครได้รู้มาก่อนว่า ความสัมพันธ์ของเขาและเธอจะหวานปานน้ำผึ้งถึงเพียงใด


/// ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ

ห้องสวีต โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ คือสถานที่นัดพบระหว่าง WhO? กับคู่รักรุ่นใหญ่ คุณเกียรติ ทักทายด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะออกตัวว่า “ไม่เคยให้ สัมภาษณ์เรื่องนี้กับใครมาก่อน” ขณะที่คุณตาลก็แทบจะไม่เคยแย้มพรายถึงความรักครั้งใหม่เช่นกัน

“เจอกันครั้งแรกที่งานเลี้ยงบ้านเพื่อน คุณตาลเขาไปกับเพื่อนของเพื่อน ” คุณเกียรติเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาที่มาของ ความสัมพันธ์ ส่วนฝ่ายหญิงขยายความเหตุการณ์วันแรกที่ได้เจอกันของทั้งคู่ว่า การมางานครั้งนี้เธอคิดอย่าง เดียวว่า จะต้องก้มหน้าก้มตา รับประทานอาหาร เพื่อเลี่ยงบทสนทนากับคนแปลกหน้า ทว่าในงานเดียวกันนี้นี่เอง ที่ทำให้เธอ พบกับใครบางคน

“ภาพที่เห็นคุณเกียรติครั้งแรกคือ เราเห็นด้านหลังก่อนนะ แค่เห็นสีผมแล้วก็แบบ...ใครน่ะ (ดวงตาเป็นประกายขณะเล่า) ฉากตอนนั้นเหมือนหนังมากๆ คือ ผู้ชายผมสีดอกเลาค่อยๆ หันมาทางเรา ในมือถือไปป์ นี่มันคุณชายกลางในบ้านทรายทองชัดๆ เลย (ยิ้ม) ตอนนั้นเราไม่รู้เลย ว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไร รู้อย่างเดียวว่าผู้ชายคนนี้น่าสนใจ แล้วก็ไม่คิดว่าเป็นนักการเมืองด้วย เพราะมาดเขาดูจะเป็นนักธุรกิจมากกว่า ระหว่างอยู่ในโต๊ะทานข้าวซึ่งเรากับเขานั่งห่างกัน โดยมีพี่อีกคนคั่นกลางอยู่ แต่เขาก็ข้ามพี่คนนั้นมาถามเราว่า...ชื่ออะไรครับ

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ก็เปลี่ยนที่ขึ้นไปฟังเพลงอีกห้องนึง ทีนี้ไม่มีอะไรให้ทานแล้ว เราก็ได้แต่ดื่มไวน์เพื่อไม่ให้ปากว่างอีกเหมือนเดิม สักพักนึงอยู่ๆ ก็ได้ยินคนพูดกับเราว่า... ชอบฟังเพลงเหรอครับ พอหันหน้าไปเจอเขาเหงื่อแตกพลั่กเลยนะ เราไม่เคยเจอผู้ชายคนไหน แล้วทำให้รู้สึกประหม่าได้อย่างนี้มาก่อน สมองก็ไม่สั่งงานแล้ว แต่ปากยังพรั่งพรูออกไป” น้ำเสียงหวานๆ ของคุณตาลเล่าเรื่องอย่างเต็มอรรถรส จนฝ่ายชายกลั้นหัวเราะไม่อยู่ และอดกระเซ้า แฟนสาวไม่ได้ว่า “นี่จะฉายหนังให้เขาดู ทั้งม้วนเลยหรือ”

/// เดตแรกของเขาและเธอ

หลังจากวันนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้พบกันอีกเลย คุณเกียรติว่าน่าจะทิ้งช่วงห่างไปประมาณ 5-6 เดือนถึงได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง เมื่อเขาได้เบอร์โทรศัพท์ของคุณตาลมาและตัดสินใจ โทรไปหาเธอในที่สุด

“ตอนเจอกันครั้งแรกเราไม่รู้เลยว่าเขาเป็นนางงาม รู้แต่ว่าผู้หญิงคนนี้น่าสนใจ มีเสน่ห์ ซึ่งนอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ความจริงคนเราต้องสวยทั้งภายนอกและภายใน และเมื่อเรา เริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น เราเลยได้รู้ว่าเขามีทั้งสองอย่างครบถ้วน และเห็นได้ชัดว่า แปลกที่เราสองคน มีหลายๆ เรื่องที่ชอบตรงกัน อย่างเช่น ผมเป็นคนชอบสะสมของเก่า เขาก็ชอบ แล้วเรายังชอบบูชา เสด็จพ่อรัชกาลที่ 5 เหมือนกัน เวลาไปเที่ยวไปไหนมาไหน ก็ชอบลักษณะการ ตกแต่งของสถานที่ๆ ไปใกล้เคียงกัน ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ค่อยๆ ค้นพบหลังจากที่ได้มีโอกาส พูดคุยกัน”

ในขณะที่คุณเกียรติเป็นฝ่ายตามหาเบอร์โทรศัพท์ของคุณตาล ในช่วงเวลาดังกล่าว คุณตาลเองก็คอยมองหาคนที่ตัวเองไม่รู้ว่าเขาคือใคร ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ นามสกุล โดยทุกครั้งที่เธอได้มีโอกาสไปร่วมงานของเพื่อนคุณเกียรติ เธอยังคงหวนคำนึงถึงเขามิคลาย

“ประหลาดดีเหมือนกันว่าทำไมเราถึงต้องคอยมองหาคนที่เรา ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย แล้ววันที่เขาโทรมาหลังจากที่ได้เจอกัน... ตอนรับโทรศัพท์ก็ทำเสียงเก๊กๆ แต่พอวางหูเสร็จแล้ว แบบ...เยส! (กำมือยกแขนเข้าหาตัวทำท่าประกอบ) ดีใจมากที่เขาโทรมา” คุณตาลเล่า ความทรงจำในวันวานอย่างออกรส

เมื่อความสัมพันธ์ค่อยๆ พัฒนา จากที่โทรศัพท์พูดคุย และนัดเจอกันเพื่อปรึกษาเรื่องธุรกิจ การงานซึ่งจะต้องมีเพื่อนของคุณตาลอยู่ด้วย ในที่สุดนัดเดทครั้งแรกของทั้งคู่ก็เกิดขึ้นในวันเกิด ของคุณตาล ซึ่งจากที่เคยตื่นเต้น ประหม่า เมื่อครั้งก่อนๆ ครั้งนี้เธอถึงกับวิ่งวุ่น เปลี่ยนเสื้อผ้าไปมา คิดจัดหาท่าทางการนั่งให้ดูดีและสร้างความประทับใจให้กับฝ่ายตรงข้ามมากที่สุดจนกระทั่งเสียงกริ่งที่ประตูหน้าบ้านดังขึ้น ความตื่นเต้นของคุณตาลก็ยิ่งทวีคูณขึ้น และครั้งนี้เธอก็เหงื่อแตก พลั่กอีกเช่นเคย

“วิ่งวุ่นเปลี่ยนโน่นนี่นั่นจ้าละหวั่นไปหมด อยากทำอะไรก็ได้ให้เขาประทับใจเรามากที่สุด แต่สิ่งที่พี่เขาเอาชนะใจเราได้ก็คือ ความจริงใจ เพราะเขาจะบอกเราเสมอว่าให้ดูที่การกระทำ ซึ่งเขาทำให้เราเยอะกว่าที่พูด มาจนถึงวันนี้เวลาก็ผ่านไปพอสมควร แล้วเขาพิสูจน์ให้เราเห็น ได้ว่าเขาทำอย่างนั้นจริงๆ ตลอดเวลาเขาบอกเราเสมอว่า เขาอยากเห็นเรามีความสุขทุกวัน ยิ้มทุกวัน เขาก็ทำได้อย่างนั้น แม้กระทั่งเวลาที่เราทุกข์ เศร้า เขาก็ทำให้เรายิ้มได้” น้ำเสียงใสๆ ที่เข้ากันกับ ความสวยไม่ต่างจากวันที่คุณตาลขึ้นรับตำแหน่งรองนางสาวไทย ประจำปี 2532 เอ่ยถึงสุภาพบุรุษ ที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ข้างๆ กัน

/// ดูแลซึ่งกันและกัน เข้าใจกันในทุกๆ เรื่อง

เช่นนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่า เพราะเหตุใดหนุ่มใหญ่มาดสุขุม จึงพิชิตใจสาวสวยระดับ นางงามได้ ขนาดช่อดอกไม้ที่ WhO? ตั้งใจเตรียมไว้เพื่อหวังจะให้คุณเกียรติ มอบแก่คุณตาล หลังสิ้นสุดการสัมภาษณ์ เขายังปฏิเสธด้วยเหตุผลที่แสนจะโรแมนติกว่า “ถ้าจะให้ดอกไม้ จะต้องเป็นดอกไม้ที่ผมเป็นคนจัดเตรียมมาให้คุณตาลด้วยเองเท่านั้น” ประโยคดังกล่าวทำเอาผู้ฟัง ใจละลาย

“เขาดูแลผมทุกเรื่อง แล้วเขาก็มีบทบาทในชีวิตผมมาก ไม่ว่าผมจะยุ่งยังไง เราก็ต้องคุยกันทุกวัน คนเราจะคบกันมันต้องจริงใจกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน คุยกันได้ทุกเรื่อง ดูแลกันได้ทุกเรื่อง เห็นแตกต่างกันไม่เป็นไร เราก็ต้องมาคุยกันว่าเรื่องนี้ เราเห็นต่างกันนะ ก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย” น้ำเสียงนุ่มๆ ประกอบกับบุคลิกอันแสนนิ่ง สมกับที่เป็นสุภาพบุรุษ สุดเนี้ยบสร้างรอยยิ้มให้กับสุภาพสตรีที่นั่งอยู่ข้างกันได้อย่างไม่ยากนัก

ขณะที่คุณตาล กล่าวชื่นชมคุณเกียรติเช่นกัน “เราสามารถคุยกับพี่เขาได้ทุกเรื่อง จะเป็นเพื่อน สาวก็ได้ จะเป็นเพื่อนชายก็ได้ จะเป็นพี่ชายก็ได้” ถึงตรงนี้คุณเกียรติที่กำลัง ตั้งใจฟังแฟนสาว อย่างตั้งใจ ถึงกับหัวเราะและขอขัดขึ้นมาว่า “เป็นเพื่อนสาวไม่ไหวนะ” แต่คุณตาลก็ยังขอพูดถึง แฟนหนุ่มใหญ่วัย 52 ปีคนนี้ต่อว่า

“เพื่อนสาวนี่หมายถึงเรื่องการแต่งตัว พี่เขาช้อปปิ้งสนุกมาก ทุกอย่างที่เป็นเขา ผมสีดอกเลา ใส่สูทผูกไท ติดคัฟลิงค์คือบุคลิกของผู้ชายที่เราชอบมาก แต่ที่สำคัญที่สุดคือ พี่เขาเป็นผู้ชายอบอุ่น แล้วเขาก็เป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าโลกเรามันจะร้อนจะหนาว เขาคือคนที่คอยปรับอุณหภูมิ ร่างกายตัวเรา ให้รู้สึกเหมือนกับว่าอยู่ในอุณหภูมิปกติตลอดเวลา ด้วยความที่เวลาเจออะไร หรือมีปัญหาอะไรเราจะเป็นคนค่อนข้างรน แล้วก็ใจร้อน ทำโดยไม่ได้ไตร่ตรอง ซึ่งพี่เขาคือคนที่คอย บอกคอยเตือนให้เรามีสติหยุดคิดและค่อยๆ ช้าลง”

คุณตาลเล่าว่าตั้งแต่ที่คุณเกียรติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอนั้น เขาคือคนที่ทำให้เธอ เชื่อเรื่องบุพเพสันนิสวาส เพราะการที่คนสองคนซึ่งมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กลับได้มีโอกาสโคจรมาเจอกัน และยังได้คบกันมาจนถึงทุกวันนี้ คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือบุพเพสันนิวาสจริงๆ

/// แล้วเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร?

เมื่อทั้งสองต่างมั่นใจในกันและกันถึงเพียงนี้ และตลอดระยะเวลาที่คบหาดูใจกัน ไม่ว่าคุณเกียรติจะควงแขนคุณตาลไปออกงานเล็กหรืองานใหญ่ รวมถึงงานระดับประเทศ เขาก็จะแนะนำคุณตาลกับทุกคนที่รู้จักด้วยการสรรหาคำนอกจากคำว่า “แฟน” ซึ่งสาวๆ ทั้งหลายได้ฟังแล้วต้องพากันอิจฉาตาร้อนคุณตาลอย่างแน่นอนว่า “สุดที่รัก” หรือคำว่า “หุ้นส่วนชีวิต”

คุณเกียรติยังคงตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มในท่าทีสุขุมเช่นเคยว่า “ผมเป็นคนหน่ึงที่เชื่อว่า เดินแต่ละก้าวให้มีความหมายคือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะบางครั้งเรามัวแต่หมกมุ่นกับปลายทาง จนลืมไปว่าระหว่างเดินทางมันมีความสุขนะ มันมีความหลากหลาย และมีความหมายกับชีวิตเรา ตราบใดที่เรายังเดินไปด้วยกัน เส้นทางเดียวกันเป็นใช้ได้ แล้วการคบกันก็ต้องให้เกียรติ ซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะต้องเป็นคนกำหนดทิศทาง มันต้องแลกเปลี่ยนกัน ต้องเห็นตรงกัน อย่างนั้นน่ะยั่งยืนที่สุด บางคนมีกระดาษการันตีความสัมพันธ์อยู่ในมือ ตั้งไม่รู้กี่ใบมันก็แค่นั้น มันไม่ใช่ปลายทาง ถ้าเราไม่เดินให้แต่ละวันมันมีความหมาย กับชีวิตนั่นแหละคือความผิดพลาด ผมคิดอย่างนั้นนะ”

แล้วฝ่ายสุภาพสตรีอย่างคุณตาลคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?

“เรื่องของอนาคต ไม่รู้นะ เรารู้แต่ว่าชีวิตเราไม่ได้อยู่แค่ชุดหรืออยู่ที่พิธีการอะไร แต่อยู่ที่ว่าวันนี้ผู้ชายคนนี้ทำให้เรามีความสุข ณ ปัจจุบันนี้ ทำให้ครอบครัวมีความสุข คือไม่ใช่ แค่เรา ความอบอุ่น ความรักที่เขามีให้เรามันเผื่อแผ่ไปถึงครอบครัว ของเรา ซึ่งพี่เขาให้ เต็มร้อย จริงๆ เกินร้อยด้วยซ้ำ เรารู้สึกว่า ณ ปัจจุบันนี้มันดีมากอยู่แล้ว สำหรับผู้หญิงคนหน่ึง ที่ได้เจอ เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ ณ วันนี้ เท่านี้ก็มีความสุข มากพอแล้ว”

ทุกถ้อยคำของทั้งคู่ชัดเจนขนาดนี้ คงไม่ต้องมีคำถามอะไรมากมายอีกแล้ว เพราะเรื่องราวของคนทั้งสอง สะท้อนให้เห็นว่าบางครั้ง คุณค่าและความหมายของชีวิตนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละย่างก้าวสู่อนาคตบนเส้นทางเดียวกัน ในที่สุดชีวิตคู่นี้จะลงเอยอย่างไร ก็คงต้องติดตามกันต่อไป…

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น