สุทธิคุณ กองทอง หนุ่ม

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อยู่แบบครอบครัวใหญ่ ในบ้านสไตล์โมเดิร์น ภิมุข สิมะโรจน์ “บ้านไม่ต้องหลังใหญ่ แต่ทำอย่างไรให้น่าอยู่”




นิตยสาร WhO?

เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง

ภาพ : ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์

แต่งหน้า : บัณฑิต บุญมี


อยู่แบบครอบครัวใหญ่

ในบ้านสไตล์โมเดิร์น

ภิมุข สิมะโรจน์

บ้านไม่ต้องหลังใหญ่ แต่ทำอย่างไรให้น่าอยู่

เยือนเรือนชานผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ฯ คนใหม่ สะท้อนความเรียบง่ายของชีวิต ผ่านบ้านหลังงามที่ให้ความสำคัญกับความสุขของสมาชิกทุกคน

บ้านทรงโมเดิร์นสีขาวสะอาดตาของอดีตนักการเมืองหนุ่ม วัย 40 กะรัต ที่วันนี้หันมาเน้นทำงานด้านบริหาร บ้านของคุณเอ้-ภิมุข สิมะโรจน์ ตั้งเด่นอยู่ภายในอาณาบริเวณที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้หลากหลาย ให้ร่มเงาเขียวขจี และความที่ยังอยู่รวมกันแบบครอบครัวใหญ่ ใกล้เคียงกันจึงมีทั้ง บ้านคุณพ่อคุณแม่ (มงคล-ภาวิณี) บ้านของน้องสาว (ภิมลภา สันติโชค) ที่ออกเรือนไปแล้ว และยังมีน้องชายอีก 2คน น้องสาว อีก 1 คน ที่มีโครงการขยับขยายกันอีกไม่นาน
///
ครอบครัวใหญ่ในอาณาเขตสิมะโรจน์
ลูกชายคนโตของบ้านเล่าถึงอาณาเขตพื้นที่บ้านซึ่งเดิมมีเพียงบ้านของคุณพ่อคุณแม่หลังเดียวแต่คุณพ่อได้ซื้อที่เผื่อไว้ เกือบ 3 ไร่ เนื่องจากในอดีตย่านบางพลัดยังเต็มไปด้วยสวนทุเรียน แม่น้ำ ลำคลอง ที่ดินไม่แพงมากนัก ตอนมาอยู่ใหม่ๆแถวนี้ยังไม่มีอะไร ผมพาน้องๆขี่จักรยานไป ตามท้องร่อง โดดเล่นน้ำ ตอนหลังมีห้างสรรพสินค้ามาขึ้นใกล้ๆบ้าน ตื่นเต้นกันใหญ่ ปัจจุบันก็อย่างที่เห็น ทุกอย่างขยายมากจนรถติดเป็นอันดับต้นๆของกรุงเทพ แต่ยังโชคดีที่บ้านมีบริเวณเลยยังรู้สึกโล่งๆบ้าง

ตอนที่แต่งงานใหม่ๆ ยังไม่ได้ปลูกบ้านหลังนี้ เพียงแต่ต่อเติมระเบียงด้านข้างบ้านของคุณพ่อ คุณแม่ สักระยะหนึ่งถึงวางแผนปลูกบ้านหลังนี้ตอนกำลังจะมีลูกสาวคนที่สองแรกๆเราก็ต่อเติมไปเรื่อย ซักพักภรรยาบอกไม่ไหวแล้ว ถ้าต่อเติมอีกสงสัยอาจต้องแขวนเปลลูกอยู่นอกระเบียง จริงๆเราเองก็วางแผนในใจ แต่งานยุ่งมากไม่เคยคุยเรื่องปลูกบ้านเป็นเรื่องเป็นราว เลยเอาละได้ตัดสินใจลงมือซักที เผลอไม่นานวันนี้ใช้ชีวิตคู่กับภรรยา-อลิสา มาเป็นเวลาประมาณ10 ปีแล้ว ปัจจุบันลูกสาวคนโต (เอแคลร์-ภิรดา) อายุ 8 ปี ส่วนลูกสาวคนสุดท้อง (แพนเค้ก-อลิณฎา) อายุ 5 ปี
คุณเอ้เล่าพลางพาเดินชมบริเวณโดยรอบของบ้านสไตล์โมเดิร์นที่สะท้อนความเป็นอิสระทางความคิดออกมาในรูปทรงของบ้านแบบสมัยใหม่ ซึ่งออกแบบให้แต่ละห้องดูโล่งโปร่งสบายตา และสามารถมองเห็นทิวทัศน์บริเวณสวนโดยรอบได้อย่างเต็มตา ผ่านกระจกบานใหญ่ที่รายล้อมบ้าน รวมถึงการเชื่อมโยงพื้นที่ใช้สอยให้เดินถึงกันได้โดยไม่มีผนังปิดกั้นแบบตายตัว
อีกทั้งยังมีศาลารับลองแขกหลังย่อมบริเวณหน้าบ้าน

ตอนปลูกบ้าน ผมบอกคนออกแบบว่า ทำยังไงก็ได้ขอให้ ดูสบายๆ ประหยัด อยู่ได้นาน ดูแลไม่ยาก แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่ได้ตามที่ต้องการเท่าไหร่นัก เพราะในบ้านผมเป็นฝ่ายคิด แต่ก็ฝ่ายค้านเยอะ (หัวเราะ) ผมพยายามคิดไปเรื่อยๆ แต่คุณแม่กับภรรยามักจะจับขั้วกันเป็นฝ่ายค้านที่มีเสียงข้างมากพอสมควร ขนาดผนังบ้านผมพยายามอยากให้เป็นสไตล์ดิบๆผนังปูนเปลือย ไม่ต้องทาสี แถมยังประหยัด ดูแลง่าย ไม่เก่าด้วย ซึ่งฝ่ายค้านถามว่าทำไมไม่เก่า เราก็บอกว่าเพราะมันดูเก่าตั้งแต่วันแรกที่เสร็จ ก็เป็นอันว่าไม่ผ่าน ส่วนฝ้าเพดานใจจริงอยากทำแบบเปลือยฝ้า(ไม่กรุฝ้าเพดาน)ให้ดูโล่งๆ เผื่อว่าถ้าระบบไฟฟ้าเสีย เวลาช่างมาซ่อมก็จะง่ายดี ฝ่ายค้านก็ไม่ยอมบอกเหมือนห้างขายของ ก็เลยไม่ได้ดังใจ (ยิ้ม)
น้ำเสียงราวกับตัดพ้อเมื่อไม่ได้แต่งบ้านสไตล์ดิบๆอย่างที่ฝัน
แต่อย่างไรตามก็ยังมีลานไม้

อย่างที่ตั้งใจ ได้สัมผัส บรรยากาศธรรมชาติ ยินเสียงนกร้อง เห็นกระรอก ไต่ตามกิ่งก้านสาขาต้นหูกระจง ต้นคูนและไม้ใหญ่อื่นๆที่ให้ร่มเงามา นมนาน
/// ฝ่ายค้านออกกฎ วันครอบครัว

ด้วยเห็นความสำคัญของความอบอุ่นในครอบครัวเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินชีวิต คุณพ่อลูกสองได้ให้ความหมายของคำว่า บ้านได้อย่างน่าสนใจ เพราะไม่ว่าขนาดของบ้านจะเล็กหรือใหญ่ จะออกแบบอย่างไรก็ไม่สำคัญไปกว่าความสุขของสมาชิกทุกคนที่ได้อยู่ร่วมกันในบ้านนั่นเอง
ผมว่าบ้านจะรูปร่างหน้าตายังไงก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าคนที่อยู่ในบ้านไม่มีความรู้สึก ที่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข ผมไม่ได้ติดใจว่าบ้านจะต้องใหญ่โต แต่ผมติดใจที่จะทำยังไงให้ภรรยาและลูกๆ มีความผูกพันกัน ถึงเวลาก็อยากกลับมาใช้ชีวิตและทำกิจกรรมด้วยกันในบ้านมากกว่า
วันอาทิตย์ส่วนใหญ่ผมจะพาครอบครัวไป ทานข้าวนอกบ้าน ดูหนังบ้างหรือไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง อยู่ที่ว่าเวลาจะเอื้อให้แค่ไหน วันอาทิตย์ยกให้เป็นวันครอบครัว ซึ่งจริงๆ ผมไม่ได้เป็นคนกำหนดหรอก ฝ่ายค้าน (ภรรยา) เป็นคนตั้งกฎนี้เอาไว้ (หัวเราะ) แต่ถ้าอาทิตย์ไหนเลี่ยงไม่ได้เขาก็เข้าใจ ยิ่งงานการเมือง งานผู้แทนฯ หรืองานบริหารราชการที่ตอนแรกคิดว่าจะเป็นเวลา เอาเข้าจริงเดินทางตลอด ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศบ่อยๆอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เล่าถึงภารกิจที่ผ่านมา

/// ชีวิตต้องทำงานแก้ปัญหาตั้งแต่เด็กๆ
หากย้อนกลับไป คุณภิมุข จบการศึกษาระดับ ปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง และคว้าปริญญาโทสองใบ ด้านบริหารธุรกิจ Michigan State University สหรัฐอเมริกา และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตอนเรียนจบใหม่ๆก็ตั้งใจจะทำงานราชการหรือกึ่งๆซักระยะหนึ่งก่อนเพราะชอบและสนใจ แต่ด้วยวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 เกิดขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องช่วยแก้ปัญหาธุรกิจครอบครัว (น้ำมันซัสโก้) ทั้งๆที่อายุ20กว่าๆแต่เพราะกลัวว่าหากไม่ช่วยแล้ว เกิดอะไรขึ้นมาก็จะรู้สึกไม่ดีไปตลอดชีวิต ตอนนั้นผมเกรงว่าพ่อจะดูไม่ไหวเพราะธุรกิจขยายตัวไปมากและหลากหลายประเภท อีกทั้งเจ้าของโดยทั่วไปจะยึดติดกับสิ่งที่ก่อตั้งมาจนไม่สามารถตัดสินใจแบบเป็นเหตุเป็นผลได้ ซึ่งคนรุ่นใหม่ๆจะไม่เป็น แต่คนรุ่นใหม่ก็มีข้อเสียตรงขาดบารมีและเครือข่ายคนรู้จัก เลยบอกพ่อว่าเรามาร่วมมือกันเอาข้อดีมาผสมกัน ผมคิดแบบเหตุและผลเพราะไม่ได้ยึดติดส่วน พ่อตัดสินใจและสั่งการเพราะมีบารมีคนเกรงใจและทำตามเรียกว่าทำงานเป็นคู่หูกันอยู่พักใหญ่ จนผมรู้สึกว่าบังคับให้พ่อตัดสินใจในสิ่งที่ไม่ชอบมากพอแล้ว(หัวเราะ) จึงเริ่มมองงานที่สนใจมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งก็ไม่พ้นงานการเมือง เพราะช่วงนั้นมีการเรียกร้องให้คนรุ่นใหม่มาลงสนาม มีการตั้งพรรคใหม่ๆ พรรคการเมืองเริ่มเน้นการนำเสนอนโยบาย จึงตัดสินใจลง สส และได้รับเลือกตั้งในเขตบางพลัดซึ่งเป็นที่บ้าน และได้รับเลือกเป็นส.ส. 2 สมัย (2544, 2548)
สุดท้ายการเมืองก็มีปัญหาวิกฤตอีกครั้ง การเมืองเริ่มไม่เหมือนสิ่งที่เราตั้งใจอยากทำ แนวทางต่างๆเริ่มไม่ตรงกับอุดมการณ์ของตนเอง เรารู้สึกว่าส.ส.ไม่สามารถทำงานในลักษณะตัวแทนประชาชนอย่างแท้จริง แต่มีข้อจำกัดผลักดันให้ไปทำเรื่องอื่นๆเขาจึงตัดสินใจยุติบทบาท สส.และโฆษกฯที่ให้ความเห็นอยู่เป็นประจำ หันหลังให้กับการเมืองนับจากมีการรัฐประหารเมื่อปี 2549 และมีการประกาศยุบพรรคการเมือง เป็นต้นมา เวลานั้นไม่ค่อยมีหรอกครับที่จะหยุดจริงๆและไม่ลงเลือกตั้ง ผมก็บอกทุกคนว่าผมไม่ยึดติด ผมไม่มีวาระส่วนตัวอะไร ผมอยากเว้นวรรคจริงๆ ถ้าผมว่ามันไม่ใช่ตัวผม ผมก็ขอหยุดเพราะเวลาทำงานเราก็พิสูจน์แล้วว่าเราลุยเราสู้เต็มที่ อะไรที่เราพอจะช่วยเพื่อนๆได้และไม่ขัดกับจุดยืนเราๆก็ช่วยแต่อะไรที่มันฝืนก็ต้องบอกกันตรงๆแต่เรื่องการเมืองมันก็พูดยากเพราะความจำเป็นในชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกันจะให้ตัดสินใจเหมือนกันทุกคนคงไม่ได้ วันหนึ่งคนอื่นอาจจะอยากหยุด ผมอาจจะมีเหตุให้ลุกขึ้นมาทำก็ได้ ทุกวันนี้ก็ได้แต่ภาวนาว่าใครทำอะไรก็ขอให้นึกถึงประเทศชาติมากๆแล้วกัน

ทว่าไม่นานนี้เขาก็ได้รับการทาบทามให้มาช่วยบริหารงานที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็ ได้ร่วมงานกับข้าราชการดีๆมากมาย รัฐมนตรีก็เป็นคนเก่งและมีประสบการณ์สูง เปิดโอกาสให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ เรียกว่าไว้ใจมอบหมายให้ทำงานแทนในหลายๆเรื่องทั้งในและนอกประเทศ ทำให้เห็นว่าบางทีการที่เราหยุดทำอะไรบางอย่างมันก็เป็นโอกาสที่อาจจะได้ทำอะไรใหม่ๆที่เราไม่คิดมาก่อน และอีกไม่นานเค้าก็กำลังจะได้เริ่มต้นทำงานที่ไม่คาดคิดอีกครั้งเพราะเขาเพิ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็น ผอ.องค์การสวนสัตว์ฯ ต่อคนเดิมซึ่งหมดวาระไป

/// โชว์วิสัยทัศน์ว่าที่ ผอ.สวนสัตว์คนใหม่
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคชะตาหรืออะไรแต่ผมถือว่าเป็นโอกาสสำคัญในชีวิตที่จะได้ทำงานองค์กรสวนสัตว์ฯ เรียกว่าเป็นเรื่องแปลกใจของครอบครัวและเพื่อนๆอย่างแท้จริง บอกใครๆก็ตกใจว่าไปยังไงมายังไง แต่ก็ยังไม่ได้เริ่มต้นนะครับ เพราะพึ่งได้รับการคัดสรรแต่ยังต้องรอขั้นตอนทำสัญญาจ้างอีกซักระยะ ถ้าได้เริ่มเมื่อไหร่ก็คงงานหนักเลยทีเดียวเพาะต้องรับผิดชอบดูสวนสัตว์ทั่วประเทศทั้ง 7 แห่ง
ตอนนี้ก็ยังพูดอะไรมากไม่ได้แต่ก็ตั้งใจจะทำอย่างเต็มที่ ผมอยากเห็นสวนสัตว์ เป็นทางเลือกการพักผ่อนของผู้คนทุกระดับและมาได้อย่างสม่ำเสมอ และมีกิจกรรมต่างๆที่คนมาเดินแล้วรู้สึกสนุก ได้รับความสุขกับบ้าน
แต่อย่าลืมนะครับคนดูสัตว์จะมีความสุข เราต้องทำให้สัตว์มีความสุขก่อน ไม่ใช่ว่าไปดู สิงโตนั่งหน้าเหี่ยว ป่วยตัวผอมโซอยู่ใต้ต้นไม้ คนไปเที่ยวพอเห็นก็พลอยห่อเหี่ยวตามไปด้วย ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ต้องพยายาม จากนี้ไปคงต้องติดตามว่า เขาจะนำพาสวนสัตว์ไทยให้ทันสมัยแค่ไหนเป็นบทพิสูจน์ฝีมือใน 4 ปีนับแต่นี้ไป
////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น