สุทธิคุณ กองทอง หนุ่ม

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มีปัญหา ปรึกษา “หมอธุรกิจ” อาชีพขายความคิดของ ปราโมทย์ พรประภา





เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง
ภาพ : ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์
แต่งหน้า : เดชน์ดำรง เพ็งสา


มีปัญหา ปรึกษา “หมอธุรกิจ”
อาชีพขายความคิดของ ปราโมทย์ พรประภา

ในโลกของธุรกิจอันเต็มไปด้วยการแข่งขัน การมีโค้ชที่ดีคอยเป็นท่ีปรึกษาจึงเป็นสิ่งที่มิอาจมองข้ามได้ ทายาทตระกูลดังในแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์ซึ่งผันตัวเองออกจากธุรกิจของครอบครัว ตั้งตนเป็น “หมอธุรกิจ” รับวินิจฉัย ให้คำปรึกษา รวมทั้งแก้ไขปัญหาให้ทั้งเจ้าของธุรกิจซึ่งกำลังประสบปัญหาหรือต้องการดำเนินกิจการให้ก้าวสู่ระดับสากล
แม้จะเป็นคนในตระกูลนักธุรกิจแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ทว่า ปราโมทย์ พรประภา เลือกเดินในเส้นทางซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายในโลกธุรกิจที่การชิงไหวชิงพริบสำคัญไม่แพ้การวางแผนที่แยบยล

ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งของเมืองไทยที่เรียกตัวเองว่า “หมอธุรกิจ” เผยชีวิตโลว์โปรไฟล์ ณ บ้านพักภายในหมู่บ้านเอื้อสุข ย่านถนนพัฒนาการ


/// หมอธุรกิจ...กุนซือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ

วันนี้เรานัดคุยกับกุนซือธุรกิจใหญ่ในเมืองไทยที่ดำรงวิถีชีวิตเรียบง่ายภายในบ้านชั้นเดียว แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยนานาพรรณ ทิวทัศน์ต่างๆ ภายในสวนสวยรายล้อมรอบตัวบ้าน โดยเฉพาะมุมสุดโปรดบริเวณสวนหลังบ้านที่มีบ่อน้ำขนาดย่อมชวนผ่อนคลาย ซึ่งถูกจัดวางอย่างลงตัวด้วยฝีมือของภรรยาคนเก่ง คุณปุ้ย-วรรณพร (ล่ำซำ) พรประภา นักภูมิสถาปนิก พ่วงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท พี แลนด์สเคป จำกัด

ครั้นพาผู้มาเยี่ยมเยือนรื่นรมย์กับบรรยากาศรอบบ้านพอสมควร เขาจึงย้อนประวัติชีวิต หลังจากศึกษาจบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น (Northwestern University) ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา และปริญญาโท 2 ใบ โดยใบแรกสาขา MBA ด้านการตลาด จากสถาบันบริหารธุรกิจเคลลอกก์ (Kellogg School of Management) แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น และใบที่ 2 สาขา MPA in Business and Government, Kennedy School of Government มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University)

ทั้งยังผ่านประสบการณ์การทำงานในหลายบริษัทชื่อดัง พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) และโกลด์แมน แซ็กส์ (Goldman Sachs) รวมทั้งทำงานในบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (BCG) เป็นเวลาเกือบ 10 ปี กระทั่งก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารระดับภูมิภาค ที่สุดจึงลาออกมาเปิดบริษัท แคลริส จำกัด ดำเนินธุรกิจเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ

“บริษัทเน้นการปรึกษาทางกลยุทธ์เป็นหลัก เราเปรียบเสมือนหมอ แต่เป็นหมอให้กับนักธุรกิจ คือขายความคิดและการวิเคราะห์ที่เป็นหลักการ (Objective Assessment) เพี่อให้ลูกค้ามีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจ ที่ผ่านมา 6 ปี ต้องถือว่าเราโชคดีที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารในบริษัทชั้นนำในประเทศเข้าไปทำงานร่วมกันในหลายโครงการ ได้มีโอกาสทำงาน (และเรียนรู้) จากนักธุรกิจเก่งๆ เช่น คุณเจริญ และ คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ในกลุ่มไทยเบฟ คุณทศ จิราธิวัฒน์ ของกลุ่มเซ็นทรัล คุณธนาธร จึงรุงเรืองกิจ ของกลุ่มไทยซัมมิท และอีกหลายบริษัท แม้แต่บริษัทข้ามชาติ เช่น Tetra Pak ก็ใช้บริการของเรามาหลายครั้ง การที่เขาใช้เราซ้ำหลายครั้งก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเกินคาดครับ"

“ลักษณะงานที่ปรึกษาของผมจะเป็นโปรเจกต์ๆ ไป แล้วแต่โจทย์ของลูกค้าที่ให้มา งานช่วงหลังๆ จะเป็นในเรื่องการหาช่องทางการเติบโตที่เพิ่มมูลค่ามากที่สุดองค์กร พร้อมการปรับโครงสร้าง และการบริหารจัดการเตรียมพร้อมการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป็นวิชาชีพที่อาจเข้าใจยากเล็กน้อย ขนาดคุณพ่อ (ปริญญา) คุณแม่ (ลักษณา) ของผมยังไม่ค่อยเข้าใจเลยครับ (หัวเราะ) แต่วิชาชีพนี้ไม่ได้เป็นที่ปรึกษาการเงิน แต่จะเน้นเรื่องการบริหารจัดการ” รอยยิ้มภูมิใจปรากฏชัดเมื่อเอ่ยถึงผลงานที่ผ่านมา


/// ยึดหลักรับฟังและเคารพในความคิดของคนอื่น

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันทางธุรกิจที่ปรึกษาในปัจจุบันคู่แข่งทางธุรกิจนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำข้ามชาติ เช่น BCG หรือ McKinsey ก็เริ่มมีคู่แข่ง การที่แคลริสได้รับความไว้วางใจให้เป็นที่ปรึกษาในบริษัทชั้นนำหลากหลายแวดวงในเมืองไทย ทั้ง บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ กลุ่มเซ็นทรัล บมจ.ทีโอที ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทหารไทย เมืองไทยประกันชีวิต และโรงแรมอมารี ก็คงต้องมีวิถีปรัชญาการทำงานให้ประสบความสำเร็จที่มีความแตกต่าง

“คู่แข่งทางด้านธุรกิจที่ผมทำอยู่ถามว่าเยอะไหม ผมคิดว่าของเรามีความแตกต่าง ปัจจุบันบริษัทที่ปรึกษามีอยู่หลายประเภท และต้องยอมรับว่าวิชาชีพนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ดังนั้นความเข้าใจในธุรกิจที่ปรึกษาจึงยังไม่ชัดเจน แต่ในแง่คิดของผมจะใช้พื้นฐานของบริษัทเก่าของผม (BCG) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลก ผมโชคดีที่ได้ทำงานอยู่่นั่นถึงเกือบ 10 ปี ทำให้มีโอกาสรู้จักกับผู้ใหญ่หลายท่านที่ทำงานอยู่ในบริษัทใหญ่ค่อนข้างเยอะ จึงได้มีการต่อยอดความสัมพันธ์กันเรื่อยมา

“เราจะเน้นเรื่องการสานความคิดให้เป็นจริง เป็นรูปธรรมขึ้นมา ไม่ใช่เป็นแค่เอกสารอีกชุดบนชั้นหนังสือ ที่ยากคือการทำให้ได้ดั่งใจคิด เราต้องทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ยกตัวอย่างเช่นการถามคำถามให้ตรงประเด็น ผมชอบใช้คำว่า Clarity of Thought หรือการมีความชัดเจนด้านความคิด การคิดให้ชัดก่อนจะช่วยเราตอนปฏิบัติจริง พอลงมือทำแล้วรายละเอียดจะมากมายและซับซ้อน ทั้งหมดนี้เราไม่สามารถคิดและทำเองได้หมด การรู้จักพึ่งพาผู้อื่นทั้งลูกน้องร่วมงานและลูกค้าเพื่อเกื้อกูลกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ เราเป็นคนไทยจะเข้าใจลูกค้าคนไทยด้วยกันมากกว่า

“ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือลูกค้า ให้ความสำคัญกับเรื่องจิตใจค่อนข้างมาก สังเกตดูสิครับ คำศัพท์ไทยที่มีคำว่า ‘ใจ’ มีอยู่มาก ที่ไหนยืดหยุ่นได้ก็จะทำ จะเอาใจเขามาใส่ใจเราเพื่อผสมผสานกับข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ สิ่งเหล่านี้จะช่วยเราได้มากตอนลงมือปฏิบัติจริง เพราะยังไงเราก็ต้องพึ่งคนเวลาปฏิบัติจริง ผมจะเตือนลูกน้องเสมอว่าฉลาดอย่างเดียวไม่พอ ต้องฉลาดคิด ฉลาดเลือกที่จะโง่ และฉลาดอ่านความรู้สึกของคนที่ทำงานด้วยเสมอ หรือถ้าเป็นฝรั่งก็จะบอกว่า They don’t care how much you know until they know how much you care.” ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงอธิบายฉะฉาน เล่าที่มาของสายสัมพันธ์ทางธุรกิจ รวมทั้งวิธีคิดในการทำงาน ซึ่งเป็นแนวทางหลักปฏิบัติในแบบฉบับของเขา


/// ไม่สะสมสิ่งของ...แต่สะสมประสบการณ์

พักเรื่องเครียด หันมาถามไถ่เรื่องไลฟ์สไตล์กันบ้าง นอกจากมีความสุขในการได้ท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศกับครอบครัว โดยเฉพาะกิจกรรมทางน้ำที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ ทั้งตระเวนดำน้ำตามหมู่เกาะต่างๆ ที่นักดำน้ำใฝ่ฝันจะไปสัมผัสมาเกือบทั่วโลก

ทว่าความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำเป็นประจำทุกเช้าวันอาทิตย์อย่างการตักบาตรกับภรรยา พร้อมด้วยลูกสาววัย 11 ปี น้องดอกปีบ-วรินยุพา รวมทั้งแบ่งเวลาไปรับประทานอาหารกับครอบครัวของภรรยาเป็นประจำทุกสัปดาห์ ล้วนเป็นกิจวัตรที่เติมเต็มความสุขทางใจโดยไม่ต้องไปซื้อหาจากไหนและไม่สามารถทดแทนได้ด้วยสิ่งอื่น

คุณพ่อยังหนุ่มยิ้มพร้อมบอกว่าเขาไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวัตถุหรือนิยมการสะสมสิ่งของเท่าไหร่นัก แต่กลับชื่นชอบการสะสมประสบการณ์และให้ความสำคัญกับจิตใจมากกว่า “ทุกวันนี้พยายามสะสมประสบการณ์ดีๆ โดยเฉพาะกับครอบครัว หาความสมดุลให้กับตัวเอง ทำชีวิตให้ดี และทำใจให้เป็นบุญมากที่สุด”

ทว่าก่อนหน้าที่จะเปลี่ยนแนวความคิดได้อย่างที่ว่าข้างต้น เดิมทีชีวิตมุ่งแต่หนทางสู่ความเป็นเลิศมาโดยตลอดตั้งแต่วัยเด็กล่วงเข้าสู่วัยทำงาน ทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัย ไปจนถึงบริษัทที่ตัดสินใจร่วมงานล้วนต้องพ่วงคุณสมบัติ “ดีที่สุด” เนื่องจากคุณแม่อบรมบ่มเพาะให้เห็นถึงความยากลำบากของบรรพบุรุษที่เดินทางมาจากเมืองจีนนั้นต้องผ่านความเหนื่อยยาก อดทน ขยันหมั่นเพียร เพื่อสร้างฐานะจนมั่งคั่งมาถึงปัจจุบัน

กระทั่งก้าวสู่ตำแหน่งผู้บริหารชั้นนำระดับเวิลด์คลาสโดยใช้เวลาสั้นที่สุด แต่แล้ววันหนึ่งจึงเกิดคำถามกลับเมื่อมองมายังชีวิตตัวเองว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นใช่ความสุขจริงหรือ

“หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่คนเราสรรหาให้กับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง หรือลาภยศต่างๆ นานา ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ตอนนั้นดูแล้วเหมือนครบทุกอย่าง และน่าจะมีความสุข แต่ก็ไม่ ทำให้ตัดสินใจลาออกจาก BCG แล้วไปบวชที่วัดสระเกศฯ จำวัดอยู่ 5 วัน จากนั้นออกเดินทางไปจำพรรษาที่วัดป่านานาชาติ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ของ พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) ปลีกวิเวกอยู่ในป่าเป็นเวลา 3 เดือน

“ช่วงบวชยอมรับว่าได้เปลี่ยนทัศนคติในชีวิตของผมไปประมาณ 80-90% เป็นการเปลี่ยนที่ไม่ได้มาจากการอ่าน แต่มาจากการปฏิบัติและประสบการณ์ในช่วงเวลาบวช เช่น มีอยู่วันหนึ่งกวาดใบไม้บริเวณลานสนามหญ้า ก็ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องกวาดให้เรียบกริบ ไม่ให้มีใบไม้แห้งสักใบเหลืออยู่บนลาน อากาศก็ร้อน แมลงก็ตอม ใบไม้ก็แซมอยู่ตามหญ้า ทำให้กวาดยาก พอกวาดเกือบเสร็จ จู่ๆ ลมพัดมา ใบไม้ที่กวาดไว้ปลิวไปกองอยู่ที่เดิม จิตตอนนั้นยอมรับว่าโมโหขึ้นมา แต่เพราะเราภาวนาอยู่ ทำให้สติเรารู้เท่าทันสภาวะของอารมณ์ ก็จะรู้ทันทีว่าจิตเราเป็นอกุศลแล้ว อยู่ดีๆ แวบขึ้นมาเลย แบบที่เขาเรียกกันว่า สติมา ปัญญาเกิด จึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตผิดมาตลอด ผิดที่ความสุขของเราไปยึดติดกับเป้าหมายที่เราควบคุมไปได้ไม่หมด

“หลังจากบวชเรียนทำให้ได้เรียนรู้การอยู่กับปัจจุบัน ทำงานให้ดีีที่สุด ณ เวลานั้น รู้จักปล่อยวางมากขึ้น ทำให้ความคิดที่จะแข่งขันในการทำงานลดน้อยลง บางคนอาจมองว่าไม่ดี แต่ผมคิดว่าทุกอย่างน่าจะอยู่ในความพอดี ไม่ใช่วันๆ ขี้เกียจ ไม่ทำอะไร แต่เราทำอยู่ในความพอดี เช่นเดียวกับพระราชดำริของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง และความเพียงพอ” ชายหนุ่มเล่ามุมทางศาสนาซึ่งสอนให้รู้จักชีวิตที่พอดี


/// เคล็ดลับนักบริหารรุ่นพี่...สู่นักบริหารรุ่นใหม่

แม้ทุกวันนี้สามารถดำเนินธุรกิจแบบค่อยเป็นไป แต่กว่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่เรื่องง่ายหากใจไม่สู้ที่จะก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จอันเป็นเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเขามีมุมมองถึงหลักการทำงานที่น่าสนใจ โดยให้ความสำคัญกับเรื่องของคำว่า “ใจ” ในการทำงานอย่างมาก ทั้งใส่ใจ เกรงใจ ดีใจ เห็นใจ ถูกใจ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่มีต่อลูกค้าและทีมงานทุกคน

“ผมว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่เรื่องธุรกิจอย่างเดียว ผมคิดว่าคนสมัยนี้มีคุณธรรมและหลักการน้อยกว่าคนสมัยก่อน เดี๋ยวนี้ทำอะไรฉาบฉวยจนเกินไป คิดถึงแต่ผลประโยชน์ระยะสั้น จนบางครั้งลืมหลักการ ความถูกต้อง และผลกระทบในระยะยาวไปหมด

“เห็นว่าคนสมัยก่อนจะมีหลักการในการดำรงชีวิตที่ชัดเจน จนทำให้แนวทางการดำเนินชีวิตของเขามีคุณค่ามากกว่าคนในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าที่ให้กับสังคม คนรอบข้าง และตัวเอง เพราะเขามีหลักยึดที่มั่นคง ที่เห็นได้ชัดคือสถาบันครอบครัวที่อบอุ่นกว่าสมัยนี้”

แฟมิลีแมนตัวจริงเล่าพลางยิ้มอบอุ่นกับชีวิตเรียบง่าย สบายๆ แบบไม่ฟู่ฟ่า รวมทั้งให้ความสำคัญกับครอบครัวและเพื่อนร่วมงานด้วยใจเต็มร้อย เพียงเท่านี้ความสำเร็จที่ว่าก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม



ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ WhO? Magazine ฮู แมกกาซีน
http://www.whoweeklymagazine.com/
สอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายสมาชิกสัมพันธ์
โทร.086-389-5835
โทรสาร 02-654-7577

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น