นักข่าวสัมภาษณ์ท่านดาไลลามะผู้นำทางจิตวิญญาณทิเบตว่าคิดว่าผู้นำหรือใครที่เป็นตัวแทนเพื่อการอุทิศตัวเพื่อผู้อื่น.
ดาไลลามะตอบว่า "ถ้าเอาข้าพเจ้าเทียบกับคนผู้นี้ ข้าพเจ้าจะกลายเป็นแค่เด็กเพิ่งหัดเดินไปเลย
กับสิ่งที่คนผู้นี้ทำให้กับคนของเขา ด้วยความรักและศรัทธาในสิ่งนี้อย่างเต็มเปี่ยม"นักข่าวถามต่อว่าคนผู้นี้คือใคร ดาไลลามะตอบเพียงสั้นๆว่า "มหาราชาภูมิพล"
วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
จินดาสมุนไพร เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “ครีมบำรุงเส้นผม” สูตรสมุนไพร และ “ ครีมเปลี่ยนสีผม ”
จินดาสมุนไพร เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “ครีมบำรุงเส้นผม” สูตรสมุนไพร และ “ ครีมเปลี่ยนสีผม ” ขยายฐานกลุ่มลูกค้าที่มีปัญหาเรื่องของเส้นผม เผยตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อเส้นผมที่ผลิตมาจากสมุนไพรไทยยังได้รับความนิยมมากขึ้น
นายไชยกร นิธิคณาวุฒิ ประธานกรรมการบริษัท จินดาสมุนไพร จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้จินดาสมุนไพรได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “ครีมบำรุงเส้นผม” สูตรสมุนไพร ที่มีส่วนประกอบจากพืชพันธุ์สมุนไพรจากธรรมชาติหลากหลายชนิด เช่นโสม สมุนไพรจากเกาหลี ที่นำมาสกัดผสมผสานกับใบหมี่สด พืชสมุนไพรพื้นบ้านของไทย และน้ำนมข้าว ที่ช่วยบำรุงเส้นผมที่แห้งเสียให้มีความชุ่มชื้นขึ้น ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้มีการพัฒนาในเรื่องของงานวิจัยวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพในการบำรุงเส้นผมให้มีคุณภาพมากขึ้น โดยได้นำสมุนไพรพื้นบ้านจากเกาหลีอย่างโสมสกัด มาผสมผสานกับใบหมี่สด สมุนไพรพื้นบ้านของไทย เป็นนวัตกรรมใหม่ที่นำพืชสมุนไพรจากสองประเทศมารวมเป็นหนึ่งเดียว ช่วยทำให้เส้นผมนั้นแข็งแรง มีน้ำหนักมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องของเส้นผมที่หลุด ร่วง ง่าย และผู้ที่มีปัญหาเรื่องของรังแคที่มีน้ำนมข้าวเข้ามาช่วยทำให้หนังศีรษะนั้นมีความชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา คือ ครีมเปลี่ยนสีผม ที่มีส่วนผสมของพืชสมุนไพร 10 ชนิด รวมไปถึงใบหมี่สด ที่เป็นวัตถุดิบหลักของสินค้าภายใต้แบรนด์ จินดาสมุนไพร ครีมเปลี่ยนสีผมนี้มีคุณสมบัติปราศจากสารเคมีที่อันตราย ไม่มีผลกระทบต่อหนังศรีษะ ไม่มีอาการระคายเคือง หลังใช้เส้นผมจะดำเงางาม เส้นผมไม่กระด้าง ขาดหรือหลุดร่วง ใช้สะดวก มีสองเฉดสีให้เลือกสรร คือสีน้ำตาลประกายทอง และสีดำ หาซื้อได้ตามร้านจำหน่ายสมุนไพรทั่วไป
นายไชยกร กล่าวอีกว่า หลังจากที่กำหนดวางผลิตภัณฑ์ ครีมบำรุงเส้นผมและครีมเปลี่ยนสีผมแล้ว จินดาสมุนไพรยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆของจินดาสมุนไพรให้มีมาตรฐานเพื่อการส่งออกที่ในปัจจุบันตลาดสินค้าที่ทำมาจากพืชสมุนไพรไทยได้รับความนิยมมากขึ้นจากชาวต่างชาติทั้งในเอเชีย ยุโรป และ อเมริกา จินดาสมุนไพร จึงได้พัฒนาสวนสมุนไพร ใบหมี่ ให้เป็นสวนสมุนไพรออแกนิกส์ ปราศจากสารเคมีบนพื้นที่เกือบร้อยไร่ในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดสุรินทร์ ควบคุมการผลิตให้มีคุณภาพและมาตรฐาน GMP เพื่อการส่งออก และยังได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และตราสัญลักษณ์ฮาลาล อีกด้วย
สนใจผลิตภัณฑ์จินดาสมุนไพร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนบริการลูกค้า จินดาสมุนไพร โทรศัพท์ 02-987-1389-90
นายไชยกร นิธิคณาวุฒิ ประธานกรรมการบริษัท จินดาสมุนไพร จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้จินดาสมุนไพรได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “ครีมบำรุงเส้นผม” สูตรสมุนไพร ที่มีส่วนประกอบจากพืชพันธุ์สมุนไพรจากธรรมชาติหลากหลายชนิด เช่นโสม สมุนไพรจากเกาหลี ที่นำมาสกัดผสมผสานกับใบหมี่สด พืชสมุนไพรพื้นบ้านของไทย และน้ำนมข้าว ที่ช่วยบำรุงเส้นผมที่แห้งเสียให้มีความชุ่มชื้นขึ้น ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้มีการพัฒนาในเรื่องของงานวิจัยวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพในการบำรุงเส้นผมให้มีคุณภาพมากขึ้น โดยได้นำสมุนไพรพื้นบ้านจากเกาหลีอย่างโสมสกัด มาผสมผสานกับใบหมี่สด สมุนไพรพื้นบ้านของไทย เป็นนวัตกรรมใหม่ที่นำพืชสมุนไพรจากสองประเทศมารวมเป็นหนึ่งเดียว ช่วยทำให้เส้นผมนั้นแข็งแรง มีน้ำหนักมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องของเส้นผมที่หลุด ร่วง ง่าย และผู้ที่มีปัญหาเรื่องของรังแคที่มีน้ำนมข้าวเข้ามาช่วยทำให้หนังศีรษะนั้นมีความชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา คือ ครีมเปลี่ยนสีผม ที่มีส่วนผสมของพืชสมุนไพร 10 ชนิด รวมไปถึงใบหมี่สด ที่เป็นวัตถุดิบหลักของสินค้าภายใต้แบรนด์ จินดาสมุนไพร ครีมเปลี่ยนสีผมนี้มีคุณสมบัติปราศจากสารเคมีที่อันตราย ไม่มีผลกระทบต่อหนังศรีษะ ไม่มีอาการระคายเคือง หลังใช้เส้นผมจะดำเงางาม เส้นผมไม่กระด้าง ขาดหรือหลุดร่วง ใช้สะดวก มีสองเฉดสีให้เลือกสรร คือสีน้ำตาลประกายทอง และสีดำ หาซื้อได้ตามร้านจำหน่ายสมุนไพรทั่วไป
นายไชยกร กล่าวอีกว่า หลังจากที่กำหนดวางผลิตภัณฑ์ ครีมบำรุงเส้นผมและครีมเปลี่ยนสีผมแล้ว จินดาสมุนไพรยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆของจินดาสมุนไพรให้มีมาตรฐานเพื่อการส่งออกที่ในปัจจุบันตลาดสินค้าที่ทำมาจากพืชสมุนไพรไทยได้รับความนิยมมากขึ้นจากชาวต่างชาติทั้งในเอเชีย ยุโรป และ อเมริกา จินดาสมุนไพร จึงได้พัฒนาสวนสมุนไพร ใบหมี่ ให้เป็นสวนสมุนไพรออแกนิกส์ ปราศจากสารเคมีบนพื้นที่เกือบร้อยไร่ในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดสุรินทร์ ควบคุมการผลิตให้มีคุณภาพและมาตรฐาน GMP เพื่อการส่งออก และยังได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และตราสัญลักษณ์ฮาลาล อีกด้วย
สนใจผลิตภัณฑ์จินดาสมุนไพร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนบริการลูกค้า จินดาสมุนไพร โทรศัพท์ 02-987-1389-90
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
เยี่ยมชม ปริ๊นซ์ คุ้มพญา รีสอร์ท แอนด์ สปา เชียงใหม่
วิบูลย์ นิมิตรวานิช ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานมาเลเซีย บรูไน
นำทีมเอเย่นทัวร์ชื่อดังหลายบริษัทจากประเทศมาเลเซีย ร่วมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในเชียงใหม่ รวมทั้งเยี่ยมชม ปริ๊นซ์ คุ้มพญา รีสอร์ท แอนด์ สปา เชียงใหม่เนื่องจากได้ยินเสียงล่ำลือถึงสถาปัตยกรรมล้านนาไทยที่งดงาม จากนั้นร่วมรับประทานอาหารมื้อพิเศษที่ห้องอาหารคำแสน
งานนี้คุณฮิเดโอะ มัสซึโมโตะ ผู้จัดการทั่วไปของรีสอร์ท และคุณสมเกียรติ งามพาณิชย์จากคุ้มขันโตก มาดูแลเป็นพิเศษ สร้างความประทับใจเป็นอย่างยิ่งให้กับทีมงานททท.
นอกจากนี้คุณวิบูลย์ได้กล่าวไว้ว่าไทยครองอันดับ 1 ตลาดนักท่องเที่ยวมาเลเซีย และจะพยายามประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชียงใหม่ให้ชาวเมเลเซียรู้จัก และมาเที่ยวกันมากขึ้น
นำทีมเอเย่นทัวร์ชื่อดังหลายบริษัทจากประเทศมาเลเซีย ร่วมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในเชียงใหม่ รวมทั้งเยี่ยมชม ปริ๊นซ์ คุ้มพญา รีสอร์ท แอนด์ สปา เชียงใหม่เนื่องจากได้ยินเสียงล่ำลือถึงสถาปัตยกรรมล้านนาไทยที่งดงาม จากนั้นร่วมรับประทานอาหารมื้อพิเศษที่ห้องอาหารคำแสน
งานนี้คุณฮิเดโอะ มัสซึโมโตะ ผู้จัดการทั่วไปของรีสอร์ท และคุณสมเกียรติ งามพาณิชย์จากคุ้มขันโตก มาดูแลเป็นพิเศษ สร้างความประทับใจเป็นอย่างยิ่งให้กับทีมงานททท.
นอกจากนี้คุณวิบูลย์ได้กล่าวไว้ว่าไทยครองอันดับ 1 ตลาดนักท่องเที่ยวมาเลเซีย และจะพยายามประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชียงใหม่ให้ชาวเมเลเซียรู้จัก และมาเที่ยวกันมากขึ้น
Patiwat Prangkiaw
Public Relations Executive
Prince Khum Phaya Resort & Spa Chiang Mai
137 M.5, T. Nong Pa Klang, A. Muang, Chiang Mai 50000
Tel: +66(53) 415 555 Fax: +66(53) 415 598
Mobile: +66(81) 560 4755
www.princekhumphayaresortandspa.com
Public Relations Executive
Prince Khum Phaya Resort & Spa Chiang Mai
137 M.5, T. Nong Pa Klang, A. Muang, Chiang Mai 50000
Tel: +66(53) 415 555 Fax: +66(53) 415 598
Mobile: +66(81) 560 4755
www.princekhumphayaresortandspa.com
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสี เผชิญข้อกล่าวหา “อยากดัง-เงาเสื้อเหลือง-รับเงิน 100 ล้าน”
เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง
ภาพ : ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์
ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์
แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสี
เผชิญข้อกล่าวหา “อยากดัง-เงาเสื้อเหลือง-รับเงิน 100 ล้าน”
"ผมกล้าบอกเลยว่า ต่อให้เกิดเหตุรุนแรงกว่านี้ คนที่เรียกร้องสันติก็จะออกมา จนกว่าจะได้สันติคืนมา"
เมื่อสวมเสื้อกาวน์รักษาคนไข้อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ “หมอตุลย์” หรือ ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ได้ชื่อว่า...เป็นผู้ให้ชีวิต แต่หลังเกิดเหตุม็อบคนเสื้อหลากสีเจอระเบิดเอ็ม 79 ที่ถนนสีลม หมอตุลย์ในฐานะแกนนำคนเสื้อหลากสี ก็เจอคำกล่าวหาฉกรรจ์...พาคนไปตาย
ก่อนหน้านั้น เมื่อคุณหมอลุกขึ้นมาโบกธงชาติไทย ในฐานะประชาชนผู้ต้องการสันติ ก็เจอมาแล้วหลายข้อกล่าวหา อาทิ อยากดัง ผิดจรรยาแพทย์ กระทั่งเคลื่อนไหวได้ด้วยการรับเงินรัฐบาลมา 100 ล้านบาท
คุณหมอให้สัมภาษณ์ WhO? ในวันที่ม็อบของเพื่อนร่วมชาติแต่ต่างความเห็น เย้วๆ อยู่ไม่ไกลโรงพยาบาลจุฬาฯ ที่คุณหมอทำงานเท่าใดนัก และเป็นวันเดียวกับที่คุณหมอกำลังทำหน้าที่ผู้ให้ชีวิต ด้วยการทำคลอดทารกเกิดใหม่ถึง 5 ราย การสัมภาษณ์ครั้งนี้จึงใช้เวลาเนิ่นนาน เพื่อให้คุณหมอวิ่งไปทำหน้าที่เป็นระยะๆ
///หมอตุลย์...เขาคือใคร
หลากหลายคำถามถึง “หมอตุลย์” คือเขาเป็นใคร ไฉนจึงสามารถสร้างปรากฏการณ์ ดึงปัญญาชนคนกรุงเทพฯ ให้ร่วมแสดงพลังได้มากมายถึงเพียงนี้ หรือมีผลประโยชน์อันใด ซ่อนเร้นในการปลุกระดมมวลชน จนกลายเป็นม็อบชนม็อบหรือไม่
สารานุกรมจากวิกิพีเดีย ระบุไว้ว่า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ.2508 เป็นบุตร ประทวน สิทธิสมวงศ์ อดีตอาจารย์โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และ พ.อ.(พิเศษ) หญิง สมพร สิทธิสมวงศ์
ผศ.นพ.ตุลย์ ร่ำเรียนตั้งแต่ชั้นประถมถึงมัธยมต้นที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล จากนั้นเข้าเรียนมัธยมปลายเพียงปีเดียวที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก่อนสอบเทียบเข้าคณะแพทยศาสตร์ เมื่อ พ.ศ.2524 และสำเร็จแพทยศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ.2530 ได้รับวุฒิบัตรแสดงความรู้หรือความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา แพทยสภา พ.ศ.2536 ประกาศนียบัตรชั้นสูงทางคลินิกสาขาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2534 และบรรจุเป็นอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2538
ปัจจุบันนอกจากทำงานที่โรงพยาบาลจุฬาฯ แล้ว นอกเวลาราชการ ยังทำงานประจำที่โรงพยาบาลพญาไท 2 อีกด้วย คุณหมอมีความชำนาญ ทางด้านมะเร็งวิทยาทางนรีเวชเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา หน่วยมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์สตรี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อาจารย์หมอตุลย์เป็นหนึ่งในผู้ประสานงานเครือข่ายจุฬาฯ เชิดชูคุณธรรมนำประชาธิปไตย (จคป.) และเคยขึ้นเวทีร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นผู้ประสานงานกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชนหลายกลุ่ม ในช่วงวิกฤตการเมืองท้ายสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เช่น เครือข่ายวิชาการเพื่อประชาธิปไตย(ควป.) เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคม กลุ่มนักวิชาการเพื่อประชาชน เครือข่ายสมัชชาประชาชนทั่วประเทศ กลุ่มนักวิชาการนักธุรกิจและประชาชน แนวร่วมประชาชนต้านการนิรโทษกรรมฯ ผู้นำกลุ่มประชาชนผู้รักชาติและความถูกต้อง ฯลฯ
นอกจากนั้น ผศ.นพ.ตุลย์ ยังเป็นหนึ่งในคณะผู้ก่อตั้ง ศูนย์ศึกษาวิจัยและพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นกรรมาธิการและโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและส่งเสริมการสร้างคุณธรรมและจริยธรรมแก่นักการเมือง ข้าราชการและประชาชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ กรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นผู้นำร่วมกับสภาคณาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คัดค้าน สนช. ในการผ่านร่าง พ.ร.บ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.... อย่างเร่งรีบโดยไม่ฟังเสียงประชาคมจุฬาฯ
พลิกปูมความเคลื่อนไหว จะเห็นว่า ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ มิใช่ “มือใหม่” แต่อย่างใด และเมื่อความเคลื่อนไหวพัฒนาไปสู่โลกไซเบอร์ ล่าสุดคุณหมอจึงอยู่ในฐานะแกนนำกลุ่มประชาชนพิทักษ์ชาติ หรือกลุ่มคนเสื้อหลากสี และกลุ่มเครือข่ายออนไลน์ในเว็บไซต์ Facebook ที่ออกมาต่อต้านการยุบสภา ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จนถูกกระแสข่าวลือกระหน่ำแทบตั้งตัวไม่ติด
เริ่มต้นจาก 20 คน นำไปสู่พลังมหาชน
? เริ่มต้นอย่างไร จึงมาเป็นแกนนำ “กลุ่มคนเสื้อหลากสี”
“จุดเริ่มต้นเคลื่อนไหว สืบเนื่องมาจากวันที่ 2 เมษายน มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อสีชมพู ทำให้เจอกัน ได้พูดคุยแสดงความคิดเห็นต่อกัน ประจวบกับผมก็กำลังรวบรวมรายชื่อคัดค้านการยุบสภาอยู่พอดี ก็ได้กลุ่มของ อาจารย์ตรีดาว อภัยวงศ์ (คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ) มาช่วยกัน เลยตั้งใจจะจัดเป็นเวที ในการแสดงความคิดเห็นที่เป็นภาคประชาชน จึงเริ่มการติดต่อโดยการส่งอีเมล เพื่อชักชวนพลังเงียบทั้งหลายที่สนใจ
“หากท่านกำลังมีอาการอึดอัด เครียด วิตก กินไม่ได้ นอนไม่หลับ มองไม่เห็นอนาคตของชาติ ขอเชิญมารวมตัวกันในงานชุมนุม
จากนั้นมันก็เป็นลูกโซ่ออกไป ให้คนอ่านที่สนใจได้ลองมาคุยกันถึงความเดือดร้อนจากการชุมนุม ความไม่เห็นด้วย ตลอดจนความอึดอัดต่างๆ ที่น่าจะปรับเปลี่ยนเป็นทิศทางแก้ไข โดยเราจัดเตรียมเวทีเครื่องเสียงไว้ให้ ได้แสดงเสียงกันอย่างเต็มที่ จนเกิดเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน กระทั่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต”
หมายเหตุ WhO? คุณหมอเคยให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนว่า "ผมกล้าบอกเลยว่า ต่อให้เกิดเหตุรุนแรงกว่านี้ คนที่เรียกร้องสันติก็จะออกมา จนกว่าจะได้สันติคืนมา"
“ผมจำได้ว่าวันที่ 12 เมษายน ได้ไปเยี่ยมทหาร แล้วก็ชักชวนกันออกมา ชุมนุมในนามเสื้อหลากสีที่เป็นการชุมนุมใหญ่ ซึ่งเสียงตอบรับดีมากๆ ผมว่า เป็นการตอบสนองความอึดอัดของคนไทย ตั้งแต่กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุม แล้วสร้างความเสียหายให้กับคนไทย ทั้งที่อุดรฯ และเชียงใหม่ที่ต้องมีคนตาย จนล่าสุดมีทหารตาย ทุกคนเลยทนไม่ได้แล้ว เลยต้องออกมาร่วมกัน กลุ่มคนเสื้อแดงยังพูดถึงเราเลยว่า มีไม่ถึง 20 คน แล้วมันก็จริงๆ แต่มีผู้คนมาร่วมกันมากขึ้น กลายเป็นร้อยแล้วก็เกือบพันคน จากนั้นก็มีการส่งข่าวกันทาง Facebook เลยมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
//หวิดสิ้นชื่อ…เมื่อประจันหน้ากลุ่ม นปช.
เมื่อประกาศตัวชัดเจนเป็นแกนนำของกลุ่มคนเสื้อหลากสี ทำให้หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า หมอตุลย์เป็น “นอมินี” ของพันธมิตรฯ หรือกลุ่มคนเสื้อเหลือง ที่มาคือ ครั้งที่รายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ซึ่งมี สนธิ ลิ้มทองกุล และ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ดำเนินรายการ ถูกระงับการออกอากาศในครั้งโน้น ทำให้หมอตุลย์อดรนทนไม่ไหว ออกมาร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ กระทั่งเป็นที่รู้จักของบรรดาผู้ชุมนุมจำนวนไม่น้อย แต่ บ้างก็รู้จักเพียงชื่อ ไม่รู้จักหน้าตา ทำให้คุณหมอเจอนาทีระทึกใจและหวิดเผชิญอันตรายมาแล้ว
“ก่อนที่กลุ่มเสื้อแดงจะบุกสภา 2 วัน พอดีผมไปประชุมอนุกรรมาธิการ การทำหน้าที่ตรวจสอบของภาครัฐ พอประชุมเสร็จ เชื่อไหมว่า รถคนเสื้อแดงมาจอดอยู่ด้านหน้าผม ที่ยืนอยู่ด้านหน้ารัฐสภา แล้วเขาก็ร้องตะโกน ลองนึกภาพว่า คนที่ตะโกนก็ไม่รู้จักผม ถ้าจังหวะนั้นมีใครเรียกหมอตุลย์ขึ้นมา งานนี้ตายแน่เลย รับรองว่าผมต้องโดนคนเสื้อแดงกระทืบทั้งคันรถแน่ๆ (หัวเราะ) นับว่าเป็นจังหวะดี ที่เพื่อนซึ่งมาประชุมด้วยกันยืนอยู่ห่างๆ ไม่อย่างนั้นคงมีใครเรียก...หมอตุลย์ข้ามถนนไปด้วยไหม หรือไปรถผมไหม เชื่อเถอะว่า ผมคงถูกกระทืบตายตรงนั้น ไม่เหลือ”
//ถูกขู่ฆ่าและคุกคามตลอดเวลา
คุณหมอว่า การออกมาเรียกร้องเช่นนี้ มิได้ต้องการอยากดังเหมือนที่มีบางกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ แม้จะมีข่าวลือว่าผู้บริหารโรงพยาบาลจุฬาฯ ออกตัวว่าการดำเนินการของคุณหมอ ไม่เกี่ยวกับโรงพยาบาล แต่เพื่อนอาจารย์ด้วยกัน และบุคคลทั่วไปก็ให้การสนับสนุนมากมาย แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ”
“ผมโดนขู่ฆ่าเพียบเลย (หัวเราะ) โทร.ไปที่บ้าน ลูกรับสายก็ด่าหยาบๆ คายๆ ใส่ ขู่ฆ่า ขู่เผาผมก็มี แต่ถ้าผมมีเวลาก็จะอธิบายว่าคุณคิดว่าผมชั่วมากเลยใช่ไหม แต่ถ้าผมจะบอกว่า ผมกำลังตรวจสอบรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์อยู่ คุณจะเชื่อหรือเปล่า แล้วถ้าผมไม่ได้ตรวจสอบตามที่พูด ขอให้ผมตายไปเป็นสัตว์อะไรก็ได้
“ผมอยากบอกว่าโดยส่วนตัวแล้ว เรามีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ ว่าเขาเอาเงินภาษีของเราไปใช้อย่างไร จริงๆ แล้วไม่ควรมีการผ่อนผัน เงินควรจะได้เข้ารัฐ แล้วก็นำไปใช้ในโครงการที่ประชาชนอย่างเราชื่นชอบหรือเรียนฟรี
“ผมถามว่า โครงการต่างๆ เหล่านั้นเป็นเงินคุณทักษิณหรือเปล่า จริงๆ ไม่ใช่ เป็นเงินของประชาชนทั้งนั้น คนเสื้อแดงที่ชอบโครงการคุณทักษิณ ถามว่ามีเงินของเขาสักแดงหนึ่งไหม ผมตอบแทนได้เลยว่า...ไม่เคย เพราะเงินที่ใช้ในโครงการต่างๆ ไม่ใช่เงินคุณทักษิณเลยสักบาทเดียว ถ้าใครเคยไปช่วยเขาหาเสียงเลือกตั้ง จะรู้ว่าขี้เหนียวมาก (เน้นเสียง) ขนาดมีบางคนบอกว่าจะก่อม็อบ เขายังบอกเลยว่าเอาไปแค่นี้ก่อน ถ้าสำเร็จค่อยมาเอาไปทั้งหมด
“ที่สำคัญคือถ้าการให้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ยิ่งถ้าเคยขาดในบางอย่าง แล้วเขานำไปให้ อาจไม่ได้สนใจว่าเงินที่เอาไปให้นั้นมาจากไหน มาจากการปล้นหรือโกงมาหรือเปล่า กรณีที่มีหัวคะแนนไปช่วยหาเสียงว่า ถ้าชนะเลือกตั้งจะทำโน่นทำนี่ให้ ซึ่งเขาก็ได้จริง อย่างเรื่องเรียนฟรี หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค ก็เป็นนโยบายที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540 แล้ว ถ้าไม่ทำซิ...ผิด
“แต่ถ้าประกาศบนเวทีหาเสียงว่า ถ้าเขตไหนเลือกผม ผมจะเอางบประมาณมาลงก่อน แสดงว่าถ้าเขตไหนไม่เลือก...ก็จะไม่ได้ แบบนี้มันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว เพราะหลักประชาธิปไตยจริงๆ เงินจะต้องลงไปในพื้นที่ที่ขาดแคลน หรือพื้นที่ที่ต้องการความช่่วยเหลือมากที่สุดก่อน พื้นที่ไหนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง ก็จะน้อยลงมา ไม่ใช่ สส.ใหญ่ หรือ สส.เก่งแล้วได้งบประมาณเยอะ ส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ ถ้าเปรียบเทียบต่อหัว งบประมาณจะต้องได้น้อยที่สุด ไม่ใช่ว่าต้องเลือกฉัน แล้วฉันถึงให้”
//เคยเทคะแนนให้พรรคไทยรักไทย
คุณหมอตุลย์ว่าครั้งหนึ่งเขาก็เคยเทคะแนนให้พรรคไทยรักไทย ด้วยความหวังที่จะให้โอกาส พ.ต.ท.ทักษิณ และทีมงานได้ทำงาน แม้จะมีเพื่อนๆ คัดค้านอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เปลี่ยนใจ
“ปี 44 เพื่อให้โอกาส ผมเลือกพรรคไทยรักไทย แต่พอเราให้โอกาสแล้วคุณทุจริต คุณก็จะต้องถูกลงโทษ ถ้าจะบอกว่าเขาอาจเปลี่ยนตัวเอง ผมมองว่า...ลืมไปได้เลย แต่หลายคนมองว่าไม่ใช่ เป็นเพราะเขาเคยให้ประโยชน์ ยังไงฉันก็ไม่ยอมเด็ดขาด นี่คือต้นเหตุของความแตกแยกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
“คนที่เชียร์คุณทักษิณตอนนี้มีสองกลุ่ม กลุ่มแรกเข้าใจชัดเจน ยอมรับเลยว่าเขาโกง แต่ยังไงฉันก็ยังอยากได้ประโยชน์จากเขา ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งไม่รู้ ไม่เชื่อว่าเขาโกง ผมว่าคนกลุ่มหลังพอที่จะคุยกันได้ แบบนี้เราก็ให้ข้อมูลเขาไป ส่วนกลุ่มแรกคงต้องใช้เวลาแก้กันยาวหน่อย เช่นกลุ่มตำรวจ-ทหารที่เคยได้ประโยชน์ เลยคาดหวังว่าวันหนึ่งหากเขากลับมาจะได้ผลประโยชน์ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ทำให้ในตอนนี้ โดยไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะเสียหายแค่ไหน
“ผมบอกเลยว่าทหารแตงโม ไม่สมควรเป็นทหาร หรือตำรวจมะเขือเทศ ก็ไม่สมควรเป็นตำรวจ เพราะรัฐบาลสั่งอะไรก็เป็นใบ้กันหมด บ้านเมืองเลยไม่สงบสักที ดังนั้น รัฐบาลต้องใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่มัวแต่จะโปรยใบปลิวเพื่อให้เอาไปรองนั่ง รัฐบาลต้องใช้ลำโพงอัดเข้าไป พูดถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ใครยิงก่อน เริ่มจากใคร เพื่อให้เขาเข้าใจ และต้องบอกว่าตอนนี้คุณเสี่ยงต่อชีวิต ทหารพร้อมที่จะยิง เพราะพวกคุณกำลังทำผิดกฎหมาย แล้วที่คุณเอาศพไปแห่รอบเมือง นั่นไม่ใช่ฮีโร่ นั่นคือการประจาน พวกคุณจะให้เขาเหยียบศพ เพื่อขึ้นไปมีอำนาจหรือ
“การใส่ความว่าเป็นฝีมือของรัฐบาล ที่มีคนตายวันที่ 10 เมษา ถ้าเขาบอกว่ารัฐบาลสร้างสถานการณ์ ทำไมจึงมีทหารตาย”
//นอมินีเสื้อเหลือง?!?
? มีคำกล่าวหาว่าคุณหมอเป็นนอมินีของ “คนเสื้อเหลือง”
“อยากบอกว่านั่นเป็นการใส่ความเพื่อดิสเครดิตว่าผมเป็นเสื้อเหลือง เพราะผมเคยไปร่วมกับพันธมิตรฯ ยึดสนามบิน ท้ายที่สุดก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาล แต่เท่าที่ทราบ เราไม่ได้ยึดทาวเวอร์ไม่ได้ยึดลานบิน พอชุดแรกไปถึงสนามบิน เขาก็รีบประกาศปิดสนามบิน โดยที่ไม่ได้ประกาศสนามบินสำรองเอาไว้เลย...เป็นเรื่องแปลกมาก แต่ดูๆ แล้วเราอาจจะได้จำเลยในคดีปิดสนามบินด้วย ต่อมามีการเปลี่ยนรัฐบาล พันธมิตรฯ เลยต้องยุติบทบาทชั่วคราว
“แต่พอเสื้อแดงกร่างขึ้นมามีอิทธิพลแบบนี้ จะให้ผมใส่เสื้อเหลืองออกมาเย้วๆ ก็คงไม่ได้ เขาต้องหาว่าผมเป็นสีเหลือง ทำให้ผมต้องรวมพลรวมพลังกันเอง โดยมีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือไม่มีเรื่องสีมาขีดกั้น ผมมาชุมนุมด้วยตัวเอง ไม่มีเรื่องพันธมิตรฯ เหมือนหมอเหวง (นพ.เหวง โตจิราการ) ตอนแรกก็ออกมาไล่คุณทักษิณ อยู่ดีๆ ก็ออกมาเป็นเสื้อแดงเสียเอง นั่นมันก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล ทำไมไม่ไปว่าเขาบ้าง ว่าเป็นเหลืองอยู่ดีๆ แล้วมาเป็นแดง แล้วผมจากเหลืองกลายมาเป็นคนเสื้อหลากสี มันก็เป็นสิทธิของผม เมื่อวานผมกินข้าวผัด วันนี้ผมจะกินสปาเกตตีหรือพิชซา ก็เป็นสิทธิของผม ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ผิดกฎหมาย”
? บางเสียงก็ว่าคุณหมอรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล 100 ล้านบาท ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
“ตอนแรกก็บอกว่า ศอฉ. รัฐบาล พันธมิตรฯ หนุนหลัง ล่าสุดที่ผ่านมาเขาพูดว่า ผมได้เงินจาก ซีพี 10 ล้านบาท แล้วก็ได้อีก 30 ล้าน จนตัวเลขขึ้นมาเป็น 100 ล้านบาท ผมคิดว่า สาเหตุน่าจะเกิดจากการที่พวกเราออกมาเคลื่อนไหว แล้วมีผลกระทบ ก็เลยต้องกดดันหน่อย เขาเลยพุ่งเป้าดิสเครดิตไปที่แกนนำเสียเลย เหมือนที่เขาบอกว่าจับโจรต้องจับไปที่หัวหน้า ถ้าจะทำลายกองทัพก็ต้องทำลายแม่ทัพก่อน แล้วทุกอย่างก็จะระส่ำระสาย ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นการดิสเครดิตพลังของพวกเรา ซึ่งน่าจะได้ผล ผมบอกได้เลยว่า ยิ่งมีผู้คนออกมาชุมนุมกันมากแบบนี้ มันยิ่งได้ผล แต่ไม่มีใครเชื่อว่า มีนายทุนมาสนับสนุนพวกเราแน่นอน
“ตอนนี้ผมเลยพูดเล่นไปเลยว่า ผมได้เงินมา 100 ล้านบาท ใช้ไปแล้ว 99 ล้าน เหลืออีก ล้านบาทอยู่บนหัวผม (หัวเราะและชี้ไปที่กลางศีรษะ) เหลือล้านเดียวที่จ่ายไม่ออกตรงนี้ ผมเองยังพูดบนเวทีด้วยซ้ำว่า ถ้าผมไม่เห็นด้วยกับพันธมิตรฯ ผมก็ไม่ออกไปร่วมเหมือนกัน แม้แต่รัฐบาลเอง ถ้าทำไม่ดีก็ไม่เชียร์ แถมยังจะด่าด้วย อย่างโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์) เป็นรุ่นน้องผม ถ้าทำไม่ดีผมก็ว่าทันที ผมมีอิสระ ผมไม่ใช่สมาชิกพรรค เป็นประชาชนเต็มขั้น ผมไม่รับเงินไม่ใช่เพราะผมฐานะดี แต่บางคนบอกว่าผมแจกเงินให้กับคนที่มาชุมนุมคนละพัน ถามว่าผมจะเอาเงินที่ไหนมา แค่บริหารให้มีเวที มีน้ำกิน แค่นี้ผมก็จะตายแล้ว (หัวเราะ)
“คนที่มาร่วมชุมนุมต่างก็ช่วยบริจาคให้เป็นค่าน้ำดื่ม แล้วจะให้ผมไปเอาเงินคนอื่นหรือ ขณะที่ก่อนหน้านี้ผมไปด่าว่าเขาไว้ ถ้าวันนี้ผมรับเงิน แสดงว่าผมชั่วเสียเอง ทุกวันที่มีการชุมนุมกัน ผมต้องรับเงินพันหนึ่งบ้าง ห้าพัน หรือเป็นหมื่นบ้าง ยี่สิบบาทบ้าง ผมจะถามก่อนว่า เงินจำนวนนี้ให้ใคร ถ้าเป็นเงินทหาร ผมจะเอาเข้ากระเป๋าซ้าย เงินสนับสนุนการชุมนุม ผมก็จะใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ส่วนเงินตัวเองจะเอาไว้กระเป๋าขวา เพื่อให้โปร่งใส ตอนควักเงินออกมานับผมจะมีคนมาเป็นพยาน นับเสร็จก็ใส่กล่องลงไป ตอนนี้มีเงินช่วยทหารไปแล้ว 2 ล้านกว่าบาท เงินช่วยเวทีตอนนี้ประมาณ 250,000 บาท”
//นิยาม โกง-ไม่โกง
?เคลื่อนไหวทางการเมืองมาพอสมควร สรุปสิ่งที่พบเห็นได้อย่างไร
“ผมว่าอยู่ที่พื้นฐานว่าคนคนนั้นเป็นคนโกงหรือไม่ เพราะตอนนี้เราพิสูจน์ได้แล้วว่า รวยแล้วไม่โกงนั้น...ไม่จริง ต้องเขียนใหม่ว่า รวยด้วยความสุจริตเขาจะไม่โกง แต่ถ้ารวยมาจากการทุจริตคือ...โกง ปัญหาอยู่ที่ เราไม่รู้ว่าเขาโกงหรือเปล่า วันก่อน อาจารย์ธงทอง จันทรางศุ ว่าผมว่าคุณก็รู้ว่าเขาโกง คุณก็เคยไปเชียร์เขาอยู่เลย ผมก็เลยสวนกลับไปว่า อาจารย์จะเชื่อผมหรือเปล่า ผมไม่รู้ เมื่อปี 44 ผมเป็นชาวบ้านธรรมดา เลยแค่อยากให้โอกาส ถ้ารู้ข้อมูลแบบปัจจุบันว่าได้ดาวเทียมมายังไง มีการแลกเช็คยังไง เคยโกงสมัยเป็นชินวัตรคอมพิวเตอร์ยังไง เคยโกงประปานครหลวงยังไง ถ้ารู้แบบนี้ไม่รอด ผมจะเดินหน้าสู้เลย เพราะผมไม่ชอบคนโกง ยิ่งเดี๋ยวนี้มีการโกงที่ไม่ธรรมดา เอาคนไปอยู่ในตำแหน่ง สส.หรือตำแหน่งรัฐมนตรีที่มีอำนาจ ก็จะมีผลประโยชน์มหาศาล ผมจำพระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จ.ชลบุรี 11 ธันวาคม 2512 ได้ดี
"ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครทำทุกคนให้เป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงไม่ใช่อยู่ที่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากอยู่ที่การส่งเสริมคนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"
พระองค์ทรงมองข้ามช็อตไปเลย 40 ปี ตอนนั้นมีเพื่อนหมอคนหนึ่ง เคยบอกว่าอย่าไปเลือกทักษิณ ผมไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ถ้าเขาโกงผมจะไล่เอง ไม่น่าเชื่อว่าผมต้องมาไล่จริงๆ พอมาถึงวันนี้ ผมได้กินข้าวกับเพื่อนคนนี้ เขาบอกว่า หมอนี่เป็นคนพูดจริงทำจริงนะ เชื่อไหมว่าผมลืมประโยคนี้ไปแล้ว
แต่สิ่งที่ผมอยากเห็นคือนักการเมืองที่ดี จะต้องเป็นคนไม่ทุจริตเสียก่อน ยิ่งทุกวันนี้มีการตรวจสอบคุณสมบัตินักการเมืองที่หละหลวมมาก ขนาดปริญญาบัตรเก๊ ยังตรวจสอบไม่ได้เลย แบบนี้ต้องใส่ตะแกรงร่อนให้มากกว่านี้ ชาวบ้านเขาไม่ค่อยรู้กันหรอก ขนาดผมเป็นหมอโง่ๆ คนนี้ เมื่อปี 44 ยังไม่มีข้อมูลเลย
ผมอยากให้มีการตรวจสอบนักการเมืองแบบเกาหลีใต้ อย่าง โนห์มูเฮียน ฆ่าตัวตาย ขณะที่กำลังถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ภายหลังภรรยาของเขาถูกข้อกล่าวหาว่ารับเงินจากนักธุรกิจ
เราต้องมีคำขวัญร่วมกันว่า เราเกลียดคนโกง เพราะเขาเสียเงินเข้ามาบริหารประเทศ ได้ผลประโยชน์เป็นร้อยๆ เท่า แล้วเราไปยอมกันทำไม อย่างคุณทักษิณแจ้งบัญชีไว้ 20,000 ล้าน ถูกอายัด 70,000 กว่าล้าน ทุกวันนี้ยังเที่ยวปร๋ออยู่เลย ถามว่าเอาเงินที่ไหนไปใช้ แสดงว่าที่ผ่านมาคุณซุกเงินไว้ทั้งหมดใช่ไหม ดังนั้น เราต้องตรวจสอบการเสียภาษีของนักการเมืองตรงนี้เสียก่อน อยู่ๆ ผมไปสมัคร สส. แจ้งบัญชีทรัพย์สิน 100 ล้าน แบบนี้ต้องสมมติแล้วว่าพ่อคุณรวยหรือเปล่า เสียภาษีเท่าไร เช็กความถูกต้องแล้ว ถึงจะปั๊มไปว่า คนนี้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง ต้องเอาคลีนๆ ลง ไม่ใช่หมูหมากาไก่ เสาไฟฟ้าก็ลงเลือกตั้งได้ ยิ่งปัจจุบันคนเก่งบ้านเรามีเยอะแล้ว แต่คนที่เก่ง มือสะอาดด้วย มีน้อย”
//อนาคตนักการเมืองหรือไม่
? กิจกรรมที่คุณหมอทำมาค่อนข้างไปทางตรวจสอบ วันหนึ่งจะกระโดดลงสู่สนามการเมือง อย่างเป็นเรื่องเป็นราวไหม
“ชีวิตนี้ผมจะไม่ลงเล่นการเมืองเป็น สส.เด็ดขาด ที่ผ่านมามีคนชวนผมสมัครเป็นสมาชิกพรรคเยอะ แต่ผมไม่เอา บางคนก็ชวนลง สส. แต่ผมไม่ชอบ เพราะการเป็น สส.จะต้องมีวินัยตามระเบียบของพรรค ต้องมีการโหวตภายในพรรคให้เป็นมติออกมา ดูแล้วไม่มีอิสระ ถ้าให้ผมสนใจจริงๆ ก็คงเป็นเรื่องของวุฒิสมาชิก ซึ่งจะได้ทำหน้าที่แล้วมีอิสระทางความคิดเป็นของตัวเอง หรือทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริต ตรงนี้ผมสนใจ ที่เป็นการตรวจสอบแบบผิดว่าผิด ถูกว่าถูก อนาคตนักการเมืองไทยที่ทำผิดแบบคุณทักษิณจะต้องได้รับโทษ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถูกเลือกตั้งมา 20 ล้านเสียง หรือแสนเสียง แม้จะได้มาเพราะเสียงโหวต แต่เสียงโหวตก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนความผิดได้
“เหมือนผมทำคลอดมา 100 คน แล้วผมไปฆ่าคน 1 คน ถามว่าผมผิดไหม ผมต้องผิด จะรับโทษอย่างไร ผิดก็คือผิด คนไทยยังก้าวผ่านตรงนี้ไปไม่ได้ เพราะคนทำผิด ยังมองว่าไม่ผิด ถามผมว่า ผมสนใจการเมืองไหม ผมอยากบอกว่าถ้าเป็น สว.ก็น่าสนใจ เหมือนบทบาทของ พี่รสนา โตสิตระกูล ที่ถือเป็นตัวแทนของคนกรุงเทพฯ ซึ่งเลือกให้เข้ามาทำหน้าที่ และเป็นความหวังที่จะเดินก้าวไปในอนาคต”
แม้จะเป็นเพียงหนึ่งเสียง แต่หนึ่งเสียงของ “หมอตุลย์” ปลุกเสียงอีกมาก ที่ต่างเรียกร้องหาความเป็นชาติที่มีคุณภาพ “คิดต่างได้ แต่ต้องไปด้วยกัน”
ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ WhO? Magazine ฮู แมกกาซีน
http://www.whoweeklymagazine.com/
สอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายสมาชิกสัมพันธ์
โทร.086-389-5835
โทรสาร 02-654-7577
ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์
แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสี
เผชิญข้อกล่าวหา “อยากดัง-เงาเสื้อเหลือง-รับเงิน 100 ล้าน”
"ผมกล้าบอกเลยว่า ต่อให้เกิดเหตุรุนแรงกว่านี้ คนที่เรียกร้องสันติก็จะออกมา จนกว่าจะได้สันติคืนมา"
เมื่อสวมเสื้อกาวน์รักษาคนไข้อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ “หมอตุลย์” หรือ ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ได้ชื่อว่า...เป็นผู้ให้ชีวิต แต่หลังเกิดเหตุม็อบคนเสื้อหลากสีเจอระเบิดเอ็ม 79 ที่ถนนสีลม หมอตุลย์ในฐานะแกนนำคนเสื้อหลากสี ก็เจอคำกล่าวหาฉกรรจ์...พาคนไปตาย
ก่อนหน้านั้น เมื่อคุณหมอลุกขึ้นมาโบกธงชาติไทย ในฐานะประชาชนผู้ต้องการสันติ ก็เจอมาแล้วหลายข้อกล่าวหา อาทิ อยากดัง ผิดจรรยาแพทย์ กระทั่งเคลื่อนไหวได้ด้วยการรับเงินรัฐบาลมา 100 ล้านบาท
คุณหมอให้สัมภาษณ์ WhO? ในวันที่ม็อบของเพื่อนร่วมชาติแต่ต่างความเห็น เย้วๆ อยู่ไม่ไกลโรงพยาบาลจุฬาฯ ที่คุณหมอทำงานเท่าใดนัก และเป็นวันเดียวกับที่คุณหมอกำลังทำหน้าที่ผู้ให้ชีวิต ด้วยการทำคลอดทารกเกิดใหม่ถึง 5 ราย การสัมภาษณ์ครั้งนี้จึงใช้เวลาเนิ่นนาน เพื่อให้คุณหมอวิ่งไปทำหน้าที่เป็นระยะๆ
///หมอตุลย์...เขาคือใคร
หลากหลายคำถามถึง “หมอตุลย์” คือเขาเป็นใคร ไฉนจึงสามารถสร้างปรากฏการณ์ ดึงปัญญาชนคนกรุงเทพฯ ให้ร่วมแสดงพลังได้มากมายถึงเพียงนี้ หรือมีผลประโยชน์อันใด ซ่อนเร้นในการปลุกระดมมวลชน จนกลายเป็นม็อบชนม็อบหรือไม่
สารานุกรมจากวิกิพีเดีย ระบุไว้ว่า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ.2508 เป็นบุตร ประทวน สิทธิสมวงศ์ อดีตอาจารย์โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และ พ.อ.(พิเศษ) หญิง สมพร สิทธิสมวงศ์
ผศ.นพ.ตุลย์ ร่ำเรียนตั้งแต่ชั้นประถมถึงมัธยมต้นที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล จากนั้นเข้าเรียนมัธยมปลายเพียงปีเดียวที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก่อนสอบเทียบเข้าคณะแพทยศาสตร์ เมื่อ พ.ศ.2524 และสำเร็จแพทยศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ.2530 ได้รับวุฒิบัตรแสดงความรู้หรือความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา แพทยสภา พ.ศ.2536 ประกาศนียบัตรชั้นสูงทางคลินิกสาขาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2534 และบรรจุเป็นอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2538
ปัจจุบันนอกจากทำงานที่โรงพยาบาลจุฬาฯ แล้ว นอกเวลาราชการ ยังทำงานประจำที่โรงพยาบาลพญาไท 2 อีกด้วย คุณหมอมีความชำนาญ ทางด้านมะเร็งวิทยาทางนรีเวชเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา หน่วยมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์สตรี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อาจารย์หมอตุลย์เป็นหนึ่งในผู้ประสานงานเครือข่ายจุฬาฯ เชิดชูคุณธรรมนำประชาธิปไตย (จคป.) และเคยขึ้นเวทีร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นผู้ประสานงานกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชนหลายกลุ่ม ในช่วงวิกฤตการเมืองท้ายสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เช่น เครือข่ายวิชาการเพื่อประชาธิปไตย(ควป.) เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคม กลุ่มนักวิชาการเพื่อประชาชน เครือข่ายสมัชชาประชาชนทั่วประเทศ กลุ่มนักวิชาการนักธุรกิจและประชาชน แนวร่วมประชาชนต้านการนิรโทษกรรมฯ ผู้นำกลุ่มประชาชนผู้รักชาติและความถูกต้อง ฯลฯ
นอกจากนั้น ผศ.นพ.ตุลย์ ยังเป็นหนึ่งในคณะผู้ก่อตั้ง ศูนย์ศึกษาวิจัยและพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นกรรมาธิการและโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและส่งเสริมการสร้างคุณธรรมและจริยธรรมแก่นักการเมือง ข้าราชการและประชาชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ กรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นผู้นำร่วมกับสภาคณาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คัดค้าน สนช. ในการผ่านร่าง พ.ร.บ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.... อย่างเร่งรีบโดยไม่ฟังเสียงประชาคมจุฬาฯ
พลิกปูมความเคลื่อนไหว จะเห็นว่า ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ มิใช่ “มือใหม่” แต่อย่างใด และเมื่อความเคลื่อนไหวพัฒนาไปสู่โลกไซเบอร์ ล่าสุดคุณหมอจึงอยู่ในฐานะแกนนำกลุ่มประชาชนพิทักษ์ชาติ หรือกลุ่มคนเสื้อหลากสี และกลุ่มเครือข่ายออนไลน์ในเว็บไซต์ Facebook ที่ออกมาต่อต้านการยุบสภา ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จนถูกกระแสข่าวลือกระหน่ำแทบตั้งตัวไม่ติด
เริ่มต้นจาก 20 คน นำไปสู่พลังมหาชน
? เริ่มต้นอย่างไร จึงมาเป็นแกนนำ “กลุ่มคนเสื้อหลากสี”
“จุดเริ่มต้นเคลื่อนไหว สืบเนื่องมาจากวันที่ 2 เมษายน มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อสีชมพู ทำให้เจอกัน ได้พูดคุยแสดงความคิดเห็นต่อกัน ประจวบกับผมก็กำลังรวบรวมรายชื่อคัดค้านการยุบสภาอยู่พอดี ก็ได้กลุ่มของ อาจารย์ตรีดาว อภัยวงศ์ (คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ) มาช่วยกัน เลยตั้งใจจะจัดเป็นเวที ในการแสดงความคิดเห็นที่เป็นภาคประชาชน จึงเริ่มการติดต่อโดยการส่งอีเมล เพื่อชักชวนพลังเงียบทั้งหลายที่สนใจ
“หากท่านกำลังมีอาการอึดอัด เครียด วิตก กินไม่ได้ นอนไม่หลับ มองไม่เห็นอนาคตของชาติ ขอเชิญมารวมตัวกันในงานชุมนุม
จากนั้นมันก็เป็นลูกโซ่ออกไป ให้คนอ่านที่สนใจได้ลองมาคุยกันถึงความเดือดร้อนจากการชุมนุม ความไม่เห็นด้วย ตลอดจนความอึดอัดต่างๆ ที่น่าจะปรับเปลี่ยนเป็นทิศทางแก้ไข โดยเราจัดเตรียมเวทีเครื่องเสียงไว้ให้ ได้แสดงเสียงกันอย่างเต็มที่ จนเกิดเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน กระทั่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต”
หมายเหตุ WhO? คุณหมอเคยให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนว่า "ผมกล้าบอกเลยว่า ต่อให้เกิดเหตุรุนแรงกว่านี้ คนที่เรียกร้องสันติก็จะออกมา จนกว่าจะได้สันติคืนมา"
“ผมจำได้ว่าวันที่ 12 เมษายน ได้ไปเยี่ยมทหาร แล้วก็ชักชวนกันออกมา ชุมนุมในนามเสื้อหลากสีที่เป็นการชุมนุมใหญ่ ซึ่งเสียงตอบรับดีมากๆ ผมว่า เป็นการตอบสนองความอึดอัดของคนไทย ตั้งแต่กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุม แล้วสร้างความเสียหายให้กับคนไทย ทั้งที่อุดรฯ และเชียงใหม่ที่ต้องมีคนตาย จนล่าสุดมีทหารตาย ทุกคนเลยทนไม่ได้แล้ว เลยต้องออกมาร่วมกัน กลุ่มคนเสื้อแดงยังพูดถึงเราเลยว่า มีไม่ถึง 20 คน แล้วมันก็จริงๆ แต่มีผู้คนมาร่วมกันมากขึ้น กลายเป็นร้อยแล้วก็เกือบพันคน จากนั้นก็มีการส่งข่าวกันทาง Facebook เลยมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
//หวิดสิ้นชื่อ…เมื่อประจันหน้ากลุ่ม นปช.
เมื่อประกาศตัวชัดเจนเป็นแกนนำของกลุ่มคนเสื้อหลากสี ทำให้หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า หมอตุลย์เป็น “นอมินี” ของพันธมิตรฯ หรือกลุ่มคนเสื้อเหลือง ที่มาคือ ครั้งที่รายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ซึ่งมี สนธิ ลิ้มทองกุล และ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ดำเนินรายการ ถูกระงับการออกอากาศในครั้งโน้น ทำให้หมอตุลย์อดรนทนไม่ไหว ออกมาร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ กระทั่งเป็นที่รู้จักของบรรดาผู้ชุมนุมจำนวนไม่น้อย แต่ บ้างก็รู้จักเพียงชื่อ ไม่รู้จักหน้าตา ทำให้คุณหมอเจอนาทีระทึกใจและหวิดเผชิญอันตรายมาแล้ว
“ก่อนที่กลุ่มเสื้อแดงจะบุกสภา 2 วัน พอดีผมไปประชุมอนุกรรมาธิการ การทำหน้าที่ตรวจสอบของภาครัฐ พอประชุมเสร็จ เชื่อไหมว่า รถคนเสื้อแดงมาจอดอยู่ด้านหน้าผม ที่ยืนอยู่ด้านหน้ารัฐสภา แล้วเขาก็ร้องตะโกน ลองนึกภาพว่า คนที่ตะโกนก็ไม่รู้จักผม ถ้าจังหวะนั้นมีใครเรียกหมอตุลย์ขึ้นมา งานนี้ตายแน่เลย รับรองว่าผมต้องโดนคนเสื้อแดงกระทืบทั้งคันรถแน่ๆ (หัวเราะ) นับว่าเป็นจังหวะดี ที่เพื่อนซึ่งมาประชุมด้วยกันยืนอยู่ห่างๆ ไม่อย่างนั้นคงมีใครเรียก...หมอตุลย์ข้ามถนนไปด้วยไหม หรือไปรถผมไหม เชื่อเถอะว่า ผมคงถูกกระทืบตายตรงนั้น ไม่เหลือ”
//ถูกขู่ฆ่าและคุกคามตลอดเวลา
คุณหมอว่า การออกมาเรียกร้องเช่นนี้ มิได้ต้องการอยากดังเหมือนที่มีบางกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ แม้จะมีข่าวลือว่าผู้บริหารโรงพยาบาลจุฬาฯ ออกตัวว่าการดำเนินการของคุณหมอ ไม่เกี่ยวกับโรงพยาบาล แต่เพื่อนอาจารย์ด้วยกัน และบุคคลทั่วไปก็ให้การสนับสนุนมากมาย แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ”
“ผมโดนขู่ฆ่าเพียบเลย (หัวเราะ) โทร.ไปที่บ้าน ลูกรับสายก็ด่าหยาบๆ คายๆ ใส่ ขู่ฆ่า ขู่เผาผมก็มี แต่ถ้าผมมีเวลาก็จะอธิบายว่าคุณคิดว่าผมชั่วมากเลยใช่ไหม แต่ถ้าผมจะบอกว่า ผมกำลังตรวจสอบรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์อยู่ คุณจะเชื่อหรือเปล่า แล้วถ้าผมไม่ได้ตรวจสอบตามที่พูด ขอให้ผมตายไปเป็นสัตว์อะไรก็ได้
“ผมอยากบอกว่าโดยส่วนตัวแล้ว เรามีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ ว่าเขาเอาเงินภาษีของเราไปใช้อย่างไร จริงๆ แล้วไม่ควรมีการผ่อนผัน เงินควรจะได้เข้ารัฐ แล้วก็นำไปใช้ในโครงการที่ประชาชนอย่างเราชื่นชอบหรือเรียนฟรี
“ผมถามว่า โครงการต่างๆ เหล่านั้นเป็นเงินคุณทักษิณหรือเปล่า จริงๆ ไม่ใช่ เป็นเงินของประชาชนทั้งนั้น คนเสื้อแดงที่ชอบโครงการคุณทักษิณ ถามว่ามีเงินของเขาสักแดงหนึ่งไหม ผมตอบแทนได้เลยว่า...ไม่เคย เพราะเงินที่ใช้ในโครงการต่างๆ ไม่ใช่เงินคุณทักษิณเลยสักบาทเดียว ถ้าใครเคยไปช่วยเขาหาเสียงเลือกตั้ง จะรู้ว่าขี้เหนียวมาก (เน้นเสียง) ขนาดมีบางคนบอกว่าจะก่อม็อบ เขายังบอกเลยว่าเอาไปแค่นี้ก่อน ถ้าสำเร็จค่อยมาเอาไปทั้งหมด
“ที่สำคัญคือถ้าการให้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ยิ่งถ้าเคยขาดในบางอย่าง แล้วเขานำไปให้ อาจไม่ได้สนใจว่าเงินที่เอาไปให้นั้นมาจากไหน มาจากการปล้นหรือโกงมาหรือเปล่า กรณีที่มีหัวคะแนนไปช่วยหาเสียงว่า ถ้าชนะเลือกตั้งจะทำโน่นทำนี่ให้ ซึ่งเขาก็ได้จริง อย่างเรื่องเรียนฟรี หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค ก็เป็นนโยบายที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540 แล้ว ถ้าไม่ทำซิ...ผิด
“แต่ถ้าประกาศบนเวทีหาเสียงว่า ถ้าเขตไหนเลือกผม ผมจะเอางบประมาณมาลงก่อน แสดงว่าถ้าเขตไหนไม่เลือก...ก็จะไม่ได้ แบบนี้มันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว เพราะหลักประชาธิปไตยจริงๆ เงินจะต้องลงไปในพื้นที่ที่ขาดแคลน หรือพื้นที่ที่ต้องการความช่่วยเหลือมากที่สุดก่อน พื้นที่ไหนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง ก็จะน้อยลงมา ไม่ใช่ สส.ใหญ่ หรือ สส.เก่งแล้วได้งบประมาณเยอะ ส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ ถ้าเปรียบเทียบต่อหัว งบประมาณจะต้องได้น้อยที่สุด ไม่ใช่ว่าต้องเลือกฉัน แล้วฉันถึงให้”
//เคยเทคะแนนให้พรรคไทยรักไทย
คุณหมอตุลย์ว่าครั้งหนึ่งเขาก็เคยเทคะแนนให้พรรคไทยรักไทย ด้วยความหวังที่จะให้โอกาส พ.ต.ท.ทักษิณ และทีมงานได้ทำงาน แม้จะมีเพื่อนๆ คัดค้านอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เปลี่ยนใจ
“ปี 44 เพื่อให้โอกาส ผมเลือกพรรคไทยรักไทย แต่พอเราให้โอกาสแล้วคุณทุจริต คุณก็จะต้องถูกลงโทษ ถ้าจะบอกว่าเขาอาจเปลี่ยนตัวเอง ผมมองว่า...ลืมไปได้เลย แต่หลายคนมองว่าไม่ใช่ เป็นเพราะเขาเคยให้ประโยชน์ ยังไงฉันก็ไม่ยอมเด็ดขาด นี่คือต้นเหตุของความแตกแยกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
“คนที่เชียร์คุณทักษิณตอนนี้มีสองกลุ่ม กลุ่มแรกเข้าใจชัดเจน ยอมรับเลยว่าเขาโกง แต่ยังไงฉันก็ยังอยากได้ประโยชน์จากเขา ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งไม่รู้ ไม่เชื่อว่าเขาโกง ผมว่าคนกลุ่มหลังพอที่จะคุยกันได้ แบบนี้เราก็ให้ข้อมูลเขาไป ส่วนกลุ่มแรกคงต้องใช้เวลาแก้กันยาวหน่อย เช่นกลุ่มตำรวจ-ทหารที่เคยได้ประโยชน์ เลยคาดหวังว่าวันหนึ่งหากเขากลับมาจะได้ผลประโยชน์ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ทำให้ในตอนนี้ โดยไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะเสียหายแค่ไหน
“ผมบอกเลยว่าทหารแตงโม ไม่สมควรเป็นทหาร หรือตำรวจมะเขือเทศ ก็ไม่สมควรเป็นตำรวจ เพราะรัฐบาลสั่งอะไรก็เป็นใบ้กันหมด บ้านเมืองเลยไม่สงบสักที ดังนั้น รัฐบาลต้องใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่มัวแต่จะโปรยใบปลิวเพื่อให้เอาไปรองนั่ง รัฐบาลต้องใช้ลำโพงอัดเข้าไป พูดถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ใครยิงก่อน เริ่มจากใคร เพื่อให้เขาเข้าใจ และต้องบอกว่าตอนนี้คุณเสี่ยงต่อชีวิต ทหารพร้อมที่จะยิง เพราะพวกคุณกำลังทำผิดกฎหมาย แล้วที่คุณเอาศพไปแห่รอบเมือง นั่นไม่ใช่ฮีโร่ นั่นคือการประจาน พวกคุณจะให้เขาเหยียบศพ เพื่อขึ้นไปมีอำนาจหรือ
“การใส่ความว่าเป็นฝีมือของรัฐบาล ที่มีคนตายวันที่ 10 เมษา ถ้าเขาบอกว่ารัฐบาลสร้างสถานการณ์ ทำไมจึงมีทหารตาย”
//นอมินีเสื้อเหลือง?!?
? มีคำกล่าวหาว่าคุณหมอเป็นนอมินีของ “คนเสื้อเหลือง”
“อยากบอกว่านั่นเป็นการใส่ความเพื่อดิสเครดิตว่าผมเป็นเสื้อเหลือง เพราะผมเคยไปร่วมกับพันธมิตรฯ ยึดสนามบิน ท้ายที่สุดก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาล แต่เท่าที่ทราบ เราไม่ได้ยึดทาวเวอร์ไม่ได้ยึดลานบิน พอชุดแรกไปถึงสนามบิน เขาก็รีบประกาศปิดสนามบิน โดยที่ไม่ได้ประกาศสนามบินสำรองเอาไว้เลย...เป็นเรื่องแปลกมาก แต่ดูๆ แล้วเราอาจจะได้จำเลยในคดีปิดสนามบินด้วย ต่อมามีการเปลี่ยนรัฐบาล พันธมิตรฯ เลยต้องยุติบทบาทชั่วคราว
“แต่พอเสื้อแดงกร่างขึ้นมามีอิทธิพลแบบนี้ จะให้ผมใส่เสื้อเหลืองออกมาเย้วๆ ก็คงไม่ได้ เขาต้องหาว่าผมเป็นสีเหลือง ทำให้ผมต้องรวมพลรวมพลังกันเอง โดยมีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือไม่มีเรื่องสีมาขีดกั้น ผมมาชุมนุมด้วยตัวเอง ไม่มีเรื่องพันธมิตรฯ เหมือนหมอเหวง (นพ.เหวง โตจิราการ) ตอนแรกก็ออกมาไล่คุณทักษิณ อยู่ดีๆ ก็ออกมาเป็นเสื้อแดงเสียเอง นั่นมันก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล ทำไมไม่ไปว่าเขาบ้าง ว่าเป็นเหลืองอยู่ดีๆ แล้วมาเป็นแดง แล้วผมจากเหลืองกลายมาเป็นคนเสื้อหลากสี มันก็เป็นสิทธิของผม เมื่อวานผมกินข้าวผัด วันนี้ผมจะกินสปาเกตตีหรือพิชซา ก็เป็นสิทธิของผม ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ผิดกฎหมาย”
? บางเสียงก็ว่าคุณหมอรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล 100 ล้านบาท ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
“ตอนแรกก็บอกว่า ศอฉ. รัฐบาล พันธมิตรฯ หนุนหลัง ล่าสุดที่ผ่านมาเขาพูดว่า ผมได้เงินจาก ซีพี 10 ล้านบาท แล้วก็ได้อีก 30 ล้าน จนตัวเลขขึ้นมาเป็น 100 ล้านบาท ผมคิดว่า สาเหตุน่าจะเกิดจากการที่พวกเราออกมาเคลื่อนไหว แล้วมีผลกระทบ ก็เลยต้องกดดันหน่อย เขาเลยพุ่งเป้าดิสเครดิตไปที่แกนนำเสียเลย เหมือนที่เขาบอกว่าจับโจรต้องจับไปที่หัวหน้า ถ้าจะทำลายกองทัพก็ต้องทำลายแม่ทัพก่อน แล้วทุกอย่างก็จะระส่ำระสาย ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นการดิสเครดิตพลังของพวกเรา ซึ่งน่าจะได้ผล ผมบอกได้เลยว่า ยิ่งมีผู้คนออกมาชุมนุมกันมากแบบนี้ มันยิ่งได้ผล แต่ไม่มีใครเชื่อว่า มีนายทุนมาสนับสนุนพวกเราแน่นอน
“ตอนนี้ผมเลยพูดเล่นไปเลยว่า ผมได้เงินมา 100 ล้านบาท ใช้ไปแล้ว 99 ล้าน เหลืออีก ล้านบาทอยู่บนหัวผม (หัวเราะและชี้ไปที่กลางศีรษะ) เหลือล้านเดียวที่จ่ายไม่ออกตรงนี้ ผมเองยังพูดบนเวทีด้วยซ้ำว่า ถ้าผมไม่เห็นด้วยกับพันธมิตรฯ ผมก็ไม่ออกไปร่วมเหมือนกัน แม้แต่รัฐบาลเอง ถ้าทำไม่ดีก็ไม่เชียร์ แถมยังจะด่าด้วย อย่างโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์) เป็นรุ่นน้องผม ถ้าทำไม่ดีผมก็ว่าทันที ผมมีอิสระ ผมไม่ใช่สมาชิกพรรค เป็นประชาชนเต็มขั้น ผมไม่รับเงินไม่ใช่เพราะผมฐานะดี แต่บางคนบอกว่าผมแจกเงินให้กับคนที่มาชุมนุมคนละพัน ถามว่าผมจะเอาเงินที่ไหนมา แค่บริหารให้มีเวที มีน้ำกิน แค่นี้ผมก็จะตายแล้ว (หัวเราะ)
“คนที่มาร่วมชุมนุมต่างก็ช่วยบริจาคให้เป็นค่าน้ำดื่ม แล้วจะให้ผมไปเอาเงินคนอื่นหรือ ขณะที่ก่อนหน้านี้ผมไปด่าว่าเขาไว้ ถ้าวันนี้ผมรับเงิน แสดงว่าผมชั่วเสียเอง ทุกวันที่มีการชุมนุมกัน ผมต้องรับเงินพันหนึ่งบ้าง ห้าพัน หรือเป็นหมื่นบ้าง ยี่สิบบาทบ้าง ผมจะถามก่อนว่า เงินจำนวนนี้ให้ใคร ถ้าเป็นเงินทหาร ผมจะเอาเข้ากระเป๋าซ้าย เงินสนับสนุนการชุมนุม ผมก็จะใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ส่วนเงินตัวเองจะเอาไว้กระเป๋าขวา เพื่อให้โปร่งใส ตอนควักเงินออกมานับผมจะมีคนมาเป็นพยาน นับเสร็จก็ใส่กล่องลงไป ตอนนี้มีเงินช่วยทหารไปแล้ว 2 ล้านกว่าบาท เงินช่วยเวทีตอนนี้ประมาณ 250,000 บาท”
//นิยาม โกง-ไม่โกง
?เคลื่อนไหวทางการเมืองมาพอสมควร สรุปสิ่งที่พบเห็นได้อย่างไร
“ผมว่าอยู่ที่พื้นฐานว่าคนคนนั้นเป็นคนโกงหรือไม่ เพราะตอนนี้เราพิสูจน์ได้แล้วว่า รวยแล้วไม่โกงนั้น...ไม่จริง ต้องเขียนใหม่ว่า รวยด้วยความสุจริตเขาจะไม่โกง แต่ถ้ารวยมาจากการทุจริตคือ...โกง ปัญหาอยู่ที่ เราไม่รู้ว่าเขาโกงหรือเปล่า วันก่อน อาจารย์ธงทอง จันทรางศุ ว่าผมว่าคุณก็รู้ว่าเขาโกง คุณก็เคยไปเชียร์เขาอยู่เลย ผมก็เลยสวนกลับไปว่า อาจารย์จะเชื่อผมหรือเปล่า ผมไม่รู้ เมื่อปี 44 ผมเป็นชาวบ้านธรรมดา เลยแค่อยากให้โอกาส ถ้ารู้ข้อมูลแบบปัจจุบันว่าได้ดาวเทียมมายังไง มีการแลกเช็คยังไง เคยโกงสมัยเป็นชินวัตรคอมพิวเตอร์ยังไง เคยโกงประปานครหลวงยังไง ถ้ารู้แบบนี้ไม่รอด ผมจะเดินหน้าสู้เลย เพราะผมไม่ชอบคนโกง ยิ่งเดี๋ยวนี้มีการโกงที่ไม่ธรรมดา เอาคนไปอยู่ในตำแหน่ง สส.หรือตำแหน่งรัฐมนตรีที่มีอำนาจ ก็จะมีผลประโยชน์มหาศาล ผมจำพระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จ.ชลบุรี 11 ธันวาคม 2512 ได้ดี
"ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครทำทุกคนให้เป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงไม่ใช่อยู่ที่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากอยู่ที่การส่งเสริมคนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"
พระองค์ทรงมองข้ามช็อตไปเลย 40 ปี ตอนนั้นมีเพื่อนหมอคนหนึ่ง เคยบอกว่าอย่าไปเลือกทักษิณ ผมไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ถ้าเขาโกงผมจะไล่เอง ไม่น่าเชื่อว่าผมต้องมาไล่จริงๆ พอมาถึงวันนี้ ผมได้กินข้าวกับเพื่อนคนนี้ เขาบอกว่า หมอนี่เป็นคนพูดจริงทำจริงนะ เชื่อไหมว่าผมลืมประโยคนี้ไปแล้ว
แต่สิ่งที่ผมอยากเห็นคือนักการเมืองที่ดี จะต้องเป็นคนไม่ทุจริตเสียก่อน ยิ่งทุกวันนี้มีการตรวจสอบคุณสมบัตินักการเมืองที่หละหลวมมาก ขนาดปริญญาบัตรเก๊ ยังตรวจสอบไม่ได้เลย แบบนี้ต้องใส่ตะแกรงร่อนให้มากกว่านี้ ชาวบ้านเขาไม่ค่อยรู้กันหรอก ขนาดผมเป็นหมอโง่ๆ คนนี้ เมื่อปี 44 ยังไม่มีข้อมูลเลย
ผมอยากให้มีการตรวจสอบนักการเมืองแบบเกาหลีใต้ อย่าง โนห์มูเฮียน ฆ่าตัวตาย ขณะที่กำลังถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ภายหลังภรรยาของเขาถูกข้อกล่าวหาว่ารับเงินจากนักธุรกิจ
เราต้องมีคำขวัญร่วมกันว่า เราเกลียดคนโกง เพราะเขาเสียเงินเข้ามาบริหารประเทศ ได้ผลประโยชน์เป็นร้อยๆ เท่า แล้วเราไปยอมกันทำไม อย่างคุณทักษิณแจ้งบัญชีไว้ 20,000 ล้าน ถูกอายัด 70,000 กว่าล้าน ทุกวันนี้ยังเที่ยวปร๋ออยู่เลย ถามว่าเอาเงินที่ไหนไปใช้ แสดงว่าที่ผ่านมาคุณซุกเงินไว้ทั้งหมดใช่ไหม ดังนั้น เราต้องตรวจสอบการเสียภาษีของนักการเมืองตรงนี้เสียก่อน อยู่ๆ ผมไปสมัคร สส. แจ้งบัญชีทรัพย์สิน 100 ล้าน แบบนี้ต้องสมมติแล้วว่าพ่อคุณรวยหรือเปล่า เสียภาษีเท่าไร เช็กความถูกต้องแล้ว ถึงจะปั๊มไปว่า คนนี้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง ต้องเอาคลีนๆ ลง ไม่ใช่หมูหมากาไก่ เสาไฟฟ้าก็ลงเลือกตั้งได้ ยิ่งปัจจุบันคนเก่งบ้านเรามีเยอะแล้ว แต่คนที่เก่ง มือสะอาดด้วย มีน้อย”
//อนาคตนักการเมืองหรือไม่
? กิจกรรมที่คุณหมอทำมาค่อนข้างไปทางตรวจสอบ วันหนึ่งจะกระโดดลงสู่สนามการเมือง อย่างเป็นเรื่องเป็นราวไหม
“ชีวิตนี้ผมจะไม่ลงเล่นการเมืองเป็น สส.เด็ดขาด ที่ผ่านมามีคนชวนผมสมัครเป็นสมาชิกพรรคเยอะ แต่ผมไม่เอา บางคนก็ชวนลง สส. แต่ผมไม่ชอบ เพราะการเป็น สส.จะต้องมีวินัยตามระเบียบของพรรค ต้องมีการโหวตภายในพรรคให้เป็นมติออกมา ดูแล้วไม่มีอิสระ ถ้าให้ผมสนใจจริงๆ ก็คงเป็นเรื่องของวุฒิสมาชิก ซึ่งจะได้ทำหน้าที่แล้วมีอิสระทางความคิดเป็นของตัวเอง หรือทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริต ตรงนี้ผมสนใจ ที่เป็นการตรวจสอบแบบผิดว่าผิด ถูกว่าถูก อนาคตนักการเมืองไทยที่ทำผิดแบบคุณทักษิณจะต้องได้รับโทษ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถูกเลือกตั้งมา 20 ล้านเสียง หรือแสนเสียง แม้จะได้มาเพราะเสียงโหวต แต่เสียงโหวตก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนความผิดได้
“เหมือนผมทำคลอดมา 100 คน แล้วผมไปฆ่าคน 1 คน ถามว่าผมผิดไหม ผมต้องผิด จะรับโทษอย่างไร ผิดก็คือผิด คนไทยยังก้าวผ่านตรงนี้ไปไม่ได้ เพราะคนทำผิด ยังมองว่าไม่ผิด ถามผมว่า ผมสนใจการเมืองไหม ผมอยากบอกว่าถ้าเป็น สว.ก็น่าสนใจ เหมือนบทบาทของ พี่รสนา โตสิตระกูล ที่ถือเป็นตัวแทนของคนกรุงเทพฯ ซึ่งเลือกให้เข้ามาทำหน้าที่ และเป็นความหวังที่จะเดินก้าวไปในอนาคต”
แม้จะเป็นเพียงหนึ่งเสียง แต่หนึ่งเสียงของ “หมอตุลย์” ปลุกเสียงอีกมาก ที่ต่างเรียกร้องหาความเป็นชาติที่มีคุณภาพ “คิดต่างได้ แต่ต้องไปด้วยกัน”
ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ WhO? Magazine ฮู แมกกาซีน
http://www.whoweeklymagazine.com/
สอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายสมาชิกสัมพันธ์
โทร.086-389-5835
โทรสาร 02-654-7577
มีปัญหา ปรึกษา “หมอธุรกิจ” อาชีพขายความคิดของ ปราโมทย์ พรประภา
เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง
ภาพ : ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์
แต่งหน้า : เดชน์ดำรง เพ็งสา
มีปัญหา ปรึกษา “หมอธุรกิจ”
อาชีพขายความคิดของ ปราโมทย์ พรประภา
ในโลกของธุรกิจอันเต็มไปด้วยการแข่งขัน การมีโค้ชที่ดีคอยเป็นท่ีปรึกษาจึงเป็นสิ่งที่มิอาจมองข้ามได้ ทายาทตระกูลดังในแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์ซึ่งผันตัวเองออกจากธุรกิจของครอบครัว ตั้งตนเป็น “หมอธุรกิจ” รับวินิจฉัย ให้คำปรึกษา รวมทั้งแก้ไขปัญหาให้ทั้งเจ้าของธุรกิจซึ่งกำลังประสบปัญหาหรือต้องการดำเนินกิจการให้ก้าวสู่ระดับสากล
แม้จะเป็นคนในตระกูลนักธุรกิจแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ทว่า ปราโมทย์ พรประภา เลือกเดินในเส้นทางซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายในโลกธุรกิจที่การชิงไหวชิงพริบสำคัญไม่แพ้การวางแผนที่แยบยล
ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งของเมืองไทยที่เรียกตัวเองว่า “หมอธุรกิจ” เผยชีวิตโลว์โปรไฟล์ ณ บ้านพักภายในหมู่บ้านเอื้อสุข ย่านถนนพัฒนาการ
/// หมอธุรกิจ...กุนซือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ
วันนี้เรานัดคุยกับกุนซือธุรกิจใหญ่ในเมืองไทยที่ดำรงวิถีชีวิตเรียบง่ายภายในบ้านชั้นเดียว แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยนานาพรรณ ทิวทัศน์ต่างๆ ภายในสวนสวยรายล้อมรอบตัวบ้าน โดยเฉพาะมุมสุดโปรดบริเวณสวนหลังบ้านที่มีบ่อน้ำขนาดย่อมชวนผ่อนคลาย ซึ่งถูกจัดวางอย่างลงตัวด้วยฝีมือของภรรยาคนเก่ง คุณปุ้ย-วรรณพร (ล่ำซำ) พรประภา นักภูมิสถาปนิก พ่วงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท พี แลนด์สเคป จำกัด
ครั้นพาผู้มาเยี่ยมเยือนรื่นรมย์กับบรรยากาศรอบบ้านพอสมควร เขาจึงย้อนประวัติชีวิต หลังจากศึกษาจบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น (Northwestern University) ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา และปริญญาโท 2 ใบ โดยใบแรกสาขา MBA ด้านการตลาด จากสถาบันบริหารธุรกิจเคลลอกก์ (Kellogg School of Management) แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น และใบที่ 2 สาขา MPA in Business and Government, Kennedy School of Government มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University)
ทั้งยังผ่านประสบการณ์การทำงานในหลายบริษัทชื่อดัง พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) และโกลด์แมน แซ็กส์ (Goldman Sachs) รวมทั้งทำงานในบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (BCG) เป็นเวลาเกือบ 10 ปี กระทั่งก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารระดับภูมิภาค ที่สุดจึงลาออกมาเปิดบริษัท แคลริส จำกัด ดำเนินธุรกิจเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ
“บริษัทเน้นการปรึกษาทางกลยุทธ์เป็นหลัก เราเปรียบเสมือนหมอ แต่เป็นหมอให้กับนักธุรกิจ คือขายความคิดและการวิเคราะห์ที่เป็นหลักการ (Objective Assessment) เพี่อให้ลูกค้ามีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจ ที่ผ่านมา 6 ปี ต้องถือว่าเราโชคดีที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารในบริษัทชั้นนำในประเทศเข้าไปทำงานร่วมกันในหลายโครงการ ได้มีโอกาสทำงาน (และเรียนรู้) จากนักธุรกิจเก่งๆ เช่น คุณเจริญ และ คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ในกลุ่มไทยเบฟ คุณทศ จิราธิวัฒน์ ของกลุ่มเซ็นทรัล คุณธนาธร จึงรุงเรืองกิจ ของกลุ่มไทยซัมมิท และอีกหลายบริษัท แม้แต่บริษัทข้ามชาติ เช่น Tetra Pak ก็ใช้บริการของเรามาหลายครั้ง การที่เขาใช้เราซ้ำหลายครั้งก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเกินคาดครับ"
“ลักษณะงานที่ปรึกษาของผมจะเป็นโปรเจกต์ๆ ไป แล้วแต่โจทย์ของลูกค้าที่ให้มา งานช่วงหลังๆ จะเป็นในเรื่องการหาช่องทางการเติบโตที่เพิ่มมูลค่ามากที่สุดองค์กร พร้อมการปรับโครงสร้าง และการบริหารจัดการเตรียมพร้อมการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป็นวิชาชีพที่อาจเข้าใจยากเล็กน้อย ขนาดคุณพ่อ (ปริญญา) คุณแม่ (ลักษณา) ของผมยังไม่ค่อยเข้าใจเลยครับ (หัวเราะ) แต่วิชาชีพนี้ไม่ได้เป็นที่ปรึกษาการเงิน แต่จะเน้นเรื่องการบริหารจัดการ” รอยยิ้มภูมิใจปรากฏชัดเมื่อเอ่ยถึงผลงานที่ผ่านมา
/// ยึดหลักรับฟังและเคารพในความคิดของคนอื่น
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันทางธุรกิจที่ปรึกษาในปัจจุบันคู่แข่งทางธุรกิจนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำข้ามชาติ เช่น BCG หรือ McKinsey ก็เริ่มมีคู่แข่ง การที่แคลริสได้รับความไว้วางใจให้เป็นที่ปรึกษาในบริษัทชั้นนำหลากหลายแวดวงในเมืองไทย ทั้ง บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ กลุ่มเซ็นทรัล บมจ.ทีโอที ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทหารไทย เมืองไทยประกันชีวิต และโรงแรมอมารี ก็คงต้องมีวิถีปรัชญาการทำงานให้ประสบความสำเร็จที่มีความแตกต่าง
“คู่แข่งทางด้านธุรกิจที่ผมทำอยู่ถามว่าเยอะไหม ผมคิดว่าของเรามีความแตกต่าง ปัจจุบันบริษัทที่ปรึกษามีอยู่หลายประเภท และต้องยอมรับว่าวิชาชีพนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ดังนั้นความเข้าใจในธุรกิจที่ปรึกษาจึงยังไม่ชัดเจน แต่ในแง่คิดของผมจะใช้พื้นฐานของบริษัทเก่าของผม (BCG) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลก ผมโชคดีที่ได้ทำงานอยู่่นั่นถึงเกือบ 10 ปี ทำให้มีโอกาสรู้จักกับผู้ใหญ่หลายท่านที่ทำงานอยู่ในบริษัทใหญ่ค่อนข้างเยอะ จึงได้มีการต่อยอดความสัมพันธ์กันเรื่อยมา
“เราจะเน้นเรื่องการสานความคิดให้เป็นจริง เป็นรูปธรรมขึ้นมา ไม่ใช่เป็นแค่เอกสารอีกชุดบนชั้นหนังสือ ที่ยากคือการทำให้ได้ดั่งใจคิด เราต้องทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ยกตัวอย่างเช่นการถามคำถามให้ตรงประเด็น ผมชอบใช้คำว่า Clarity of Thought หรือการมีความชัดเจนด้านความคิด การคิดให้ชัดก่อนจะช่วยเราตอนปฏิบัติจริง พอลงมือทำแล้วรายละเอียดจะมากมายและซับซ้อน ทั้งหมดนี้เราไม่สามารถคิดและทำเองได้หมด การรู้จักพึ่งพาผู้อื่นทั้งลูกน้องร่วมงานและลูกค้าเพื่อเกื้อกูลกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ เราเป็นคนไทยจะเข้าใจลูกค้าคนไทยด้วยกันมากกว่า
“ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือลูกค้า ให้ความสำคัญกับเรื่องจิตใจค่อนข้างมาก สังเกตดูสิครับ คำศัพท์ไทยที่มีคำว่า ‘ใจ’ มีอยู่มาก ที่ไหนยืดหยุ่นได้ก็จะทำ จะเอาใจเขามาใส่ใจเราเพื่อผสมผสานกับข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ สิ่งเหล่านี้จะช่วยเราได้มากตอนลงมือปฏิบัติจริง เพราะยังไงเราก็ต้องพึ่งคนเวลาปฏิบัติจริง ผมจะเตือนลูกน้องเสมอว่าฉลาดอย่างเดียวไม่พอ ต้องฉลาดคิด ฉลาดเลือกที่จะโง่ และฉลาดอ่านความรู้สึกของคนที่ทำงานด้วยเสมอ หรือถ้าเป็นฝรั่งก็จะบอกว่า They don’t care how much you know until they know how much you care.” ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงอธิบายฉะฉาน เล่าที่มาของสายสัมพันธ์ทางธุรกิจ รวมทั้งวิธีคิดในการทำงาน ซึ่งเป็นแนวทางหลักปฏิบัติในแบบฉบับของเขา
/// ไม่สะสมสิ่งของ...แต่สะสมประสบการณ์
พักเรื่องเครียด หันมาถามไถ่เรื่องไลฟ์สไตล์กันบ้าง นอกจากมีความสุขในการได้ท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศกับครอบครัว โดยเฉพาะกิจกรรมทางน้ำที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ ทั้งตระเวนดำน้ำตามหมู่เกาะต่างๆ ที่นักดำน้ำใฝ่ฝันจะไปสัมผัสมาเกือบทั่วโลก
ทว่าความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำเป็นประจำทุกเช้าวันอาทิตย์อย่างการตักบาตรกับภรรยา พร้อมด้วยลูกสาววัย 11 ปี น้องดอกปีบ-วรินยุพา รวมทั้งแบ่งเวลาไปรับประทานอาหารกับครอบครัวของภรรยาเป็นประจำทุกสัปดาห์ ล้วนเป็นกิจวัตรที่เติมเต็มความสุขทางใจโดยไม่ต้องไปซื้อหาจากไหนและไม่สามารถทดแทนได้ด้วยสิ่งอื่น
คุณพ่อยังหนุ่มยิ้มพร้อมบอกว่าเขาไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวัตถุหรือนิยมการสะสมสิ่งของเท่าไหร่นัก แต่กลับชื่นชอบการสะสมประสบการณ์และให้ความสำคัญกับจิตใจมากกว่า “ทุกวันนี้พยายามสะสมประสบการณ์ดีๆ โดยเฉพาะกับครอบครัว หาความสมดุลให้กับตัวเอง ทำชีวิตให้ดี และทำใจให้เป็นบุญมากที่สุด”
ทว่าก่อนหน้าที่จะเปลี่ยนแนวความคิดได้อย่างที่ว่าข้างต้น เดิมทีชีวิตมุ่งแต่หนทางสู่ความเป็นเลิศมาโดยตลอดตั้งแต่วัยเด็กล่วงเข้าสู่วัยทำงาน ทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัย ไปจนถึงบริษัทที่ตัดสินใจร่วมงานล้วนต้องพ่วงคุณสมบัติ “ดีที่สุด” เนื่องจากคุณแม่อบรมบ่มเพาะให้เห็นถึงความยากลำบากของบรรพบุรุษที่เดินทางมาจากเมืองจีนนั้นต้องผ่านความเหนื่อยยาก อดทน ขยันหมั่นเพียร เพื่อสร้างฐานะจนมั่งคั่งมาถึงปัจจุบัน
กระทั่งก้าวสู่ตำแหน่งผู้บริหารชั้นนำระดับเวิลด์คลาสโดยใช้เวลาสั้นที่สุด แต่แล้ววันหนึ่งจึงเกิดคำถามกลับเมื่อมองมายังชีวิตตัวเองว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นใช่ความสุขจริงหรือ
“หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่คนเราสรรหาให้กับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง หรือลาภยศต่างๆ นานา ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ตอนนั้นดูแล้วเหมือนครบทุกอย่าง และน่าจะมีความสุข แต่ก็ไม่ ทำให้ตัดสินใจลาออกจาก BCG แล้วไปบวชที่วัดสระเกศฯ จำวัดอยู่ 5 วัน จากนั้นออกเดินทางไปจำพรรษาที่วัดป่านานาชาติ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ของ พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) ปลีกวิเวกอยู่ในป่าเป็นเวลา 3 เดือน
“ช่วงบวชยอมรับว่าได้เปลี่ยนทัศนคติในชีวิตของผมไปประมาณ 80-90% เป็นการเปลี่ยนที่ไม่ได้มาจากการอ่าน แต่มาจากการปฏิบัติและประสบการณ์ในช่วงเวลาบวช เช่น มีอยู่วันหนึ่งกวาดใบไม้บริเวณลานสนามหญ้า ก็ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องกวาดให้เรียบกริบ ไม่ให้มีใบไม้แห้งสักใบเหลืออยู่บนลาน อากาศก็ร้อน แมลงก็ตอม ใบไม้ก็แซมอยู่ตามหญ้า ทำให้กวาดยาก พอกวาดเกือบเสร็จ จู่ๆ ลมพัดมา ใบไม้ที่กวาดไว้ปลิวไปกองอยู่ที่เดิม จิตตอนนั้นยอมรับว่าโมโหขึ้นมา แต่เพราะเราภาวนาอยู่ ทำให้สติเรารู้เท่าทันสภาวะของอารมณ์ ก็จะรู้ทันทีว่าจิตเราเป็นอกุศลแล้ว อยู่ดีๆ แวบขึ้นมาเลย แบบที่เขาเรียกกันว่า สติมา ปัญญาเกิด จึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตผิดมาตลอด ผิดที่ความสุขของเราไปยึดติดกับเป้าหมายที่เราควบคุมไปได้ไม่หมด
“หลังจากบวชเรียนทำให้ได้เรียนรู้การอยู่กับปัจจุบัน ทำงานให้ดีีที่สุด ณ เวลานั้น รู้จักปล่อยวางมากขึ้น ทำให้ความคิดที่จะแข่งขันในการทำงานลดน้อยลง บางคนอาจมองว่าไม่ดี แต่ผมคิดว่าทุกอย่างน่าจะอยู่ในความพอดี ไม่ใช่วันๆ ขี้เกียจ ไม่ทำอะไร แต่เราทำอยู่ในความพอดี เช่นเดียวกับพระราชดำริของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง และความเพียงพอ” ชายหนุ่มเล่ามุมทางศาสนาซึ่งสอนให้รู้จักชีวิตที่พอดี
/// เคล็ดลับนักบริหารรุ่นพี่...สู่นักบริหารรุ่นใหม่
แม้ทุกวันนี้สามารถดำเนินธุรกิจแบบค่อยเป็นไป แต่กว่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่เรื่องง่ายหากใจไม่สู้ที่จะก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จอันเป็นเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเขามีมุมมองถึงหลักการทำงานที่น่าสนใจ โดยให้ความสำคัญกับเรื่องของคำว่า “ใจ” ในการทำงานอย่างมาก ทั้งใส่ใจ เกรงใจ ดีใจ เห็นใจ ถูกใจ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่มีต่อลูกค้าและทีมงานทุกคน
“ผมว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่เรื่องธุรกิจอย่างเดียว ผมคิดว่าคนสมัยนี้มีคุณธรรมและหลักการน้อยกว่าคนสมัยก่อน เดี๋ยวนี้ทำอะไรฉาบฉวยจนเกินไป คิดถึงแต่ผลประโยชน์ระยะสั้น จนบางครั้งลืมหลักการ ความถูกต้อง และผลกระทบในระยะยาวไปหมด
“เห็นว่าคนสมัยก่อนจะมีหลักการในการดำรงชีวิตที่ชัดเจน จนทำให้แนวทางการดำเนินชีวิตของเขามีคุณค่ามากกว่าคนในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าที่ให้กับสังคม คนรอบข้าง และตัวเอง เพราะเขามีหลักยึดที่มั่นคง ที่เห็นได้ชัดคือสถาบันครอบครัวที่อบอุ่นกว่าสมัยนี้”
แฟมิลีแมนตัวจริงเล่าพลางยิ้มอบอุ่นกับชีวิตเรียบง่าย สบายๆ แบบไม่ฟู่ฟ่า รวมทั้งให้ความสำคัญกับครอบครัวและเพื่อนร่วมงานด้วยใจเต็มร้อย เพียงเท่านี้ความสำเร็จที่ว่าก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ WhO? Magazine ฮู แมกกาซีน
http://www.whoweeklymagazine.com/
สอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายสมาชิกสัมพันธ์
โทร.086-389-5835
โทรสาร 02-654-7577
ภาพ : ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์
แต่งหน้า : เดชน์ดำรง เพ็งสา
มีปัญหา ปรึกษา “หมอธุรกิจ”
อาชีพขายความคิดของ ปราโมทย์ พรประภา
ในโลกของธุรกิจอันเต็มไปด้วยการแข่งขัน การมีโค้ชที่ดีคอยเป็นท่ีปรึกษาจึงเป็นสิ่งที่มิอาจมองข้ามได้ ทายาทตระกูลดังในแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์ซึ่งผันตัวเองออกจากธุรกิจของครอบครัว ตั้งตนเป็น “หมอธุรกิจ” รับวินิจฉัย ให้คำปรึกษา รวมทั้งแก้ไขปัญหาให้ทั้งเจ้าของธุรกิจซึ่งกำลังประสบปัญหาหรือต้องการดำเนินกิจการให้ก้าวสู่ระดับสากล
แม้จะเป็นคนในตระกูลนักธุรกิจแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ทว่า ปราโมทย์ พรประภา เลือกเดินในเส้นทางซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายในโลกธุรกิจที่การชิงไหวชิงพริบสำคัญไม่แพ้การวางแผนที่แยบยล
ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งของเมืองไทยที่เรียกตัวเองว่า “หมอธุรกิจ” เผยชีวิตโลว์โปรไฟล์ ณ บ้านพักภายในหมู่บ้านเอื้อสุข ย่านถนนพัฒนาการ
/// หมอธุรกิจ...กุนซือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ
วันนี้เรานัดคุยกับกุนซือธุรกิจใหญ่ในเมืองไทยที่ดำรงวิถีชีวิตเรียบง่ายภายในบ้านชั้นเดียว แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยนานาพรรณ ทิวทัศน์ต่างๆ ภายในสวนสวยรายล้อมรอบตัวบ้าน โดยเฉพาะมุมสุดโปรดบริเวณสวนหลังบ้านที่มีบ่อน้ำขนาดย่อมชวนผ่อนคลาย ซึ่งถูกจัดวางอย่างลงตัวด้วยฝีมือของภรรยาคนเก่ง คุณปุ้ย-วรรณพร (ล่ำซำ) พรประภา นักภูมิสถาปนิก พ่วงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท พี แลนด์สเคป จำกัด
ครั้นพาผู้มาเยี่ยมเยือนรื่นรมย์กับบรรยากาศรอบบ้านพอสมควร เขาจึงย้อนประวัติชีวิต หลังจากศึกษาจบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น (Northwestern University) ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา และปริญญาโท 2 ใบ โดยใบแรกสาขา MBA ด้านการตลาด จากสถาบันบริหารธุรกิจเคลลอกก์ (Kellogg School of Management) แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น และใบที่ 2 สาขา MPA in Business and Government, Kennedy School of Government มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University)
ทั้งยังผ่านประสบการณ์การทำงานในหลายบริษัทชื่อดัง พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) และโกลด์แมน แซ็กส์ (Goldman Sachs) รวมทั้งทำงานในบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (BCG) เป็นเวลาเกือบ 10 ปี กระทั่งก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารระดับภูมิภาค ที่สุดจึงลาออกมาเปิดบริษัท แคลริส จำกัด ดำเนินธุรกิจเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ
“บริษัทเน้นการปรึกษาทางกลยุทธ์เป็นหลัก เราเปรียบเสมือนหมอ แต่เป็นหมอให้กับนักธุรกิจ คือขายความคิดและการวิเคราะห์ที่เป็นหลักการ (Objective Assessment) เพี่อให้ลูกค้ามีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจ ที่ผ่านมา 6 ปี ต้องถือว่าเราโชคดีที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารในบริษัทชั้นนำในประเทศเข้าไปทำงานร่วมกันในหลายโครงการ ได้มีโอกาสทำงาน (และเรียนรู้) จากนักธุรกิจเก่งๆ เช่น คุณเจริญ และ คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ในกลุ่มไทยเบฟ คุณทศ จิราธิวัฒน์ ของกลุ่มเซ็นทรัล คุณธนาธร จึงรุงเรืองกิจ ของกลุ่มไทยซัมมิท และอีกหลายบริษัท แม้แต่บริษัทข้ามชาติ เช่น Tetra Pak ก็ใช้บริการของเรามาหลายครั้ง การที่เขาใช้เราซ้ำหลายครั้งก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเกินคาดครับ"
“ลักษณะงานที่ปรึกษาของผมจะเป็นโปรเจกต์ๆ ไป แล้วแต่โจทย์ของลูกค้าที่ให้มา งานช่วงหลังๆ จะเป็นในเรื่องการหาช่องทางการเติบโตที่เพิ่มมูลค่ามากที่สุดองค์กร พร้อมการปรับโครงสร้าง และการบริหารจัดการเตรียมพร้อมการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป็นวิชาชีพที่อาจเข้าใจยากเล็กน้อย ขนาดคุณพ่อ (ปริญญา) คุณแม่ (ลักษณา) ของผมยังไม่ค่อยเข้าใจเลยครับ (หัวเราะ) แต่วิชาชีพนี้ไม่ได้เป็นที่ปรึกษาการเงิน แต่จะเน้นเรื่องการบริหารจัดการ” รอยยิ้มภูมิใจปรากฏชัดเมื่อเอ่ยถึงผลงานที่ผ่านมา
/// ยึดหลักรับฟังและเคารพในความคิดของคนอื่น
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันทางธุรกิจที่ปรึกษาในปัจจุบันคู่แข่งทางธุรกิจนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำข้ามชาติ เช่น BCG หรือ McKinsey ก็เริ่มมีคู่แข่ง การที่แคลริสได้รับความไว้วางใจให้เป็นที่ปรึกษาในบริษัทชั้นนำหลากหลายแวดวงในเมืองไทย ทั้ง บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ กลุ่มเซ็นทรัล บมจ.ทีโอที ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทหารไทย เมืองไทยประกันชีวิต และโรงแรมอมารี ก็คงต้องมีวิถีปรัชญาการทำงานให้ประสบความสำเร็จที่มีความแตกต่าง
“คู่แข่งทางด้านธุรกิจที่ผมทำอยู่ถามว่าเยอะไหม ผมคิดว่าของเรามีความแตกต่าง ปัจจุบันบริษัทที่ปรึกษามีอยู่หลายประเภท และต้องยอมรับว่าวิชาชีพนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ดังนั้นความเข้าใจในธุรกิจที่ปรึกษาจึงยังไม่ชัดเจน แต่ในแง่คิดของผมจะใช้พื้นฐานของบริษัทเก่าของผม (BCG) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลก ผมโชคดีที่ได้ทำงานอยู่่นั่นถึงเกือบ 10 ปี ทำให้มีโอกาสรู้จักกับผู้ใหญ่หลายท่านที่ทำงานอยู่ในบริษัทใหญ่ค่อนข้างเยอะ จึงได้มีการต่อยอดความสัมพันธ์กันเรื่อยมา
“เราจะเน้นเรื่องการสานความคิดให้เป็นจริง เป็นรูปธรรมขึ้นมา ไม่ใช่เป็นแค่เอกสารอีกชุดบนชั้นหนังสือ ที่ยากคือการทำให้ได้ดั่งใจคิด เราต้องทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ยกตัวอย่างเช่นการถามคำถามให้ตรงประเด็น ผมชอบใช้คำว่า Clarity of Thought หรือการมีความชัดเจนด้านความคิด การคิดให้ชัดก่อนจะช่วยเราตอนปฏิบัติจริง พอลงมือทำแล้วรายละเอียดจะมากมายและซับซ้อน ทั้งหมดนี้เราไม่สามารถคิดและทำเองได้หมด การรู้จักพึ่งพาผู้อื่นทั้งลูกน้องร่วมงานและลูกค้าเพื่อเกื้อกูลกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ เราเป็นคนไทยจะเข้าใจลูกค้าคนไทยด้วยกันมากกว่า
“ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือลูกค้า ให้ความสำคัญกับเรื่องจิตใจค่อนข้างมาก สังเกตดูสิครับ คำศัพท์ไทยที่มีคำว่า ‘ใจ’ มีอยู่มาก ที่ไหนยืดหยุ่นได้ก็จะทำ จะเอาใจเขามาใส่ใจเราเพื่อผสมผสานกับข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ สิ่งเหล่านี้จะช่วยเราได้มากตอนลงมือปฏิบัติจริง เพราะยังไงเราก็ต้องพึ่งคนเวลาปฏิบัติจริง ผมจะเตือนลูกน้องเสมอว่าฉลาดอย่างเดียวไม่พอ ต้องฉลาดคิด ฉลาดเลือกที่จะโง่ และฉลาดอ่านความรู้สึกของคนที่ทำงานด้วยเสมอ หรือถ้าเป็นฝรั่งก็จะบอกว่า They don’t care how much you know until they know how much you care.” ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงอธิบายฉะฉาน เล่าที่มาของสายสัมพันธ์ทางธุรกิจ รวมทั้งวิธีคิดในการทำงาน ซึ่งเป็นแนวทางหลักปฏิบัติในแบบฉบับของเขา
/// ไม่สะสมสิ่งของ...แต่สะสมประสบการณ์
พักเรื่องเครียด หันมาถามไถ่เรื่องไลฟ์สไตล์กันบ้าง นอกจากมีความสุขในการได้ท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศกับครอบครัว โดยเฉพาะกิจกรรมทางน้ำที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ ทั้งตระเวนดำน้ำตามหมู่เกาะต่างๆ ที่นักดำน้ำใฝ่ฝันจะไปสัมผัสมาเกือบทั่วโลก
ทว่าความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำเป็นประจำทุกเช้าวันอาทิตย์อย่างการตักบาตรกับภรรยา พร้อมด้วยลูกสาววัย 11 ปี น้องดอกปีบ-วรินยุพา รวมทั้งแบ่งเวลาไปรับประทานอาหารกับครอบครัวของภรรยาเป็นประจำทุกสัปดาห์ ล้วนเป็นกิจวัตรที่เติมเต็มความสุขทางใจโดยไม่ต้องไปซื้อหาจากไหนและไม่สามารถทดแทนได้ด้วยสิ่งอื่น
คุณพ่อยังหนุ่มยิ้มพร้อมบอกว่าเขาไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวัตถุหรือนิยมการสะสมสิ่งของเท่าไหร่นัก แต่กลับชื่นชอบการสะสมประสบการณ์และให้ความสำคัญกับจิตใจมากกว่า “ทุกวันนี้พยายามสะสมประสบการณ์ดีๆ โดยเฉพาะกับครอบครัว หาความสมดุลให้กับตัวเอง ทำชีวิตให้ดี และทำใจให้เป็นบุญมากที่สุด”
ทว่าก่อนหน้าที่จะเปลี่ยนแนวความคิดได้อย่างที่ว่าข้างต้น เดิมทีชีวิตมุ่งแต่หนทางสู่ความเป็นเลิศมาโดยตลอดตั้งแต่วัยเด็กล่วงเข้าสู่วัยทำงาน ทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัย ไปจนถึงบริษัทที่ตัดสินใจร่วมงานล้วนต้องพ่วงคุณสมบัติ “ดีที่สุด” เนื่องจากคุณแม่อบรมบ่มเพาะให้เห็นถึงความยากลำบากของบรรพบุรุษที่เดินทางมาจากเมืองจีนนั้นต้องผ่านความเหนื่อยยาก อดทน ขยันหมั่นเพียร เพื่อสร้างฐานะจนมั่งคั่งมาถึงปัจจุบัน
กระทั่งก้าวสู่ตำแหน่งผู้บริหารชั้นนำระดับเวิลด์คลาสโดยใช้เวลาสั้นที่สุด แต่แล้ววันหนึ่งจึงเกิดคำถามกลับเมื่อมองมายังชีวิตตัวเองว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นใช่ความสุขจริงหรือ
“หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่คนเราสรรหาให้กับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง หรือลาภยศต่างๆ นานา ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ตอนนั้นดูแล้วเหมือนครบทุกอย่าง และน่าจะมีความสุข แต่ก็ไม่ ทำให้ตัดสินใจลาออกจาก BCG แล้วไปบวชที่วัดสระเกศฯ จำวัดอยู่ 5 วัน จากนั้นออกเดินทางไปจำพรรษาที่วัดป่านานาชาติ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ของ พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) ปลีกวิเวกอยู่ในป่าเป็นเวลา 3 เดือน
“ช่วงบวชยอมรับว่าได้เปลี่ยนทัศนคติในชีวิตของผมไปประมาณ 80-90% เป็นการเปลี่ยนที่ไม่ได้มาจากการอ่าน แต่มาจากการปฏิบัติและประสบการณ์ในช่วงเวลาบวช เช่น มีอยู่วันหนึ่งกวาดใบไม้บริเวณลานสนามหญ้า ก็ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องกวาดให้เรียบกริบ ไม่ให้มีใบไม้แห้งสักใบเหลืออยู่บนลาน อากาศก็ร้อน แมลงก็ตอม ใบไม้ก็แซมอยู่ตามหญ้า ทำให้กวาดยาก พอกวาดเกือบเสร็จ จู่ๆ ลมพัดมา ใบไม้ที่กวาดไว้ปลิวไปกองอยู่ที่เดิม จิตตอนนั้นยอมรับว่าโมโหขึ้นมา แต่เพราะเราภาวนาอยู่ ทำให้สติเรารู้เท่าทันสภาวะของอารมณ์ ก็จะรู้ทันทีว่าจิตเราเป็นอกุศลแล้ว อยู่ดีๆ แวบขึ้นมาเลย แบบที่เขาเรียกกันว่า สติมา ปัญญาเกิด จึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตผิดมาตลอด ผิดที่ความสุขของเราไปยึดติดกับเป้าหมายที่เราควบคุมไปได้ไม่หมด
“หลังจากบวชเรียนทำให้ได้เรียนรู้การอยู่กับปัจจุบัน ทำงานให้ดีีที่สุด ณ เวลานั้น รู้จักปล่อยวางมากขึ้น ทำให้ความคิดที่จะแข่งขันในการทำงานลดน้อยลง บางคนอาจมองว่าไม่ดี แต่ผมคิดว่าทุกอย่างน่าจะอยู่ในความพอดี ไม่ใช่วันๆ ขี้เกียจ ไม่ทำอะไร แต่เราทำอยู่ในความพอดี เช่นเดียวกับพระราชดำริของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง และความเพียงพอ” ชายหนุ่มเล่ามุมทางศาสนาซึ่งสอนให้รู้จักชีวิตที่พอดี
/// เคล็ดลับนักบริหารรุ่นพี่...สู่นักบริหารรุ่นใหม่
แม้ทุกวันนี้สามารถดำเนินธุรกิจแบบค่อยเป็นไป แต่กว่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่เรื่องง่ายหากใจไม่สู้ที่จะก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จอันเป็นเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเขามีมุมมองถึงหลักการทำงานที่น่าสนใจ โดยให้ความสำคัญกับเรื่องของคำว่า “ใจ” ในการทำงานอย่างมาก ทั้งใส่ใจ เกรงใจ ดีใจ เห็นใจ ถูกใจ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่มีต่อลูกค้าและทีมงานทุกคน
“ผมว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่เรื่องธุรกิจอย่างเดียว ผมคิดว่าคนสมัยนี้มีคุณธรรมและหลักการน้อยกว่าคนสมัยก่อน เดี๋ยวนี้ทำอะไรฉาบฉวยจนเกินไป คิดถึงแต่ผลประโยชน์ระยะสั้น จนบางครั้งลืมหลักการ ความถูกต้อง และผลกระทบในระยะยาวไปหมด
“เห็นว่าคนสมัยก่อนจะมีหลักการในการดำรงชีวิตที่ชัดเจน จนทำให้แนวทางการดำเนินชีวิตของเขามีคุณค่ามากกว่าคนในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าที่ให้กับสังคม คนรอบข้าง และตัวเอง เพราะเขามีหลักยึดที่มั่นคง ที่เห็นได้ชัดคือสถาบันครอบครัวที่อบอุ่นกว่าสมัยนี้”
แฟมิลีแมนตัวจริงเล่าพลางยิ้มอบอุ่นกับชีวิตเรียบง่าย สบายๆ แบบไม่ฟู่ฟ่า รวมทั้งให้ความสำคัญกับครอบครัวและเพื่อนร่วมงานด้วยใจเต็มร้อย เพียงเท่านี้ความสำเร็จที่ว่าก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ WhO? Magazine ฮู แมกกาซีน
http://www.whoweeklymagazine.com/
สอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายสมาชิกสัมพันธ์
โทร.086-389-5835
โทรสาร 02-654-7577
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)