นิตยสาร WhO?
เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : พงษ์พันธ์ แพเพ็ชร
แต่งหน้า : บัณฑิต บุญมี
วินาทีแห่งความสูญเสีย
พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาค 1
“แม้ความตายอยู่ข้างหน้า...ก็ต้องเดินไปหา”
ความจริงจากแม่ทัพภาค 1 กับโศกนาฎกรรมเฮลิคอปเตอร์ตก ที่เขื่อนแก่งกระจาน นาทีชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชา และปฏิญญาทหาร “หน้าที่อยู่เหนือความตาย”
เหตุการณ์ระทึกขวัญจากโศกนาฎกรรมเฮลิคอปเตอร์ตก 3 ลำ ได้แก่ รุ่น ยูเอช-1 เอช (ฮิวอี้) แบล็กฮอว์ก และ เบลล์ 212 ติดต่อกันภายในระยะเวลาเพียง 9 วัน ณ อุทยานแห่งชาติ แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของกองทัพบก เพราะไม่เพียงมีผู้เสียชีวิต 17 ราย บาดเจ็บ 1 นาย ความรู้สึกโศกเศร้าของญาติพี่น้อง และประชาชน ตลอดจนคำถามต่างๆ จากสังคมที่โหมแรง ยังส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ของกองทัพบกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้เวลาจะช่วยให้สถานการณ์ต่างๆ คลี่คลาย ทว่าในฐานะผู้บังคับบัญชาที่เข้าไปอำนวยการ ค้นหาตั้งแต่เกิดเหตุวันแรกจนกระทั่งเสร็จสิ้นภารกิจ “บิ๊กโด่ง” พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 เผยความจริงและความรู้สึกอันแสนเจ็บปวด ณ บ้านพักย่านเกษะโกมล
/// สดุดีวีรกรรม พล.ต.ตะวัน
วันที่ 16 กรกฎคม หลังได้รับรายงานจาก พล.ต.ตะวัน เรืองศรี ผู้บัญชาการกอง พลทหารราบที่ 9 แจ้งว่า เฮลิคอปเตอร์ ฮิวอี้ ที่จะไปรับกำลังพลซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในการลาดตระเวณชายแดน และภารกิจของการดูแลพิทักษ์ป่าไม้ร่วมกับทางอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานประสบอุบัติเหตุ ที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานมีทหารเสียชีวิต 5 นาย นาทีนั้นเป็นใครก็ย่อมตกใจ
“พอรู้ข่าวผมก็โทรไปเรียนกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ท่านก็ตกใจ เช่นเดียวกัน ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นให้ระมัดระวังในเรื่องของการเข้าไปพิสูจน์ซาก ช่วยเหลือผู้ประสบเหตุให้ดี แต่ให้ระมัดระวัง ผมจำคำที่ท่านพูดเอาไว้ตั้งแต่แรกว่า ระวังอย่าให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีก ท่านคงรู้สภาพอากาศตามที่ได้อธิบาย ให้ฟังว่าสภาพเป็นยังไง ท่านก็เลยเตือน ซึ่งจริงๆท่านเตือนมาตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว
จนมาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเป็นครั้งที่ 2 ทำให้พล.ต.ตะวัน เสียชีวิต ซึ่งจากที่ฮ.ตก ครั้งแรก ผมเข้าพื้นที่ไป ผมยังได้คุยกับ พล.ต.ตะวัน ท่านก็ขึ้นเครื่อง ซึ่งไม่ใช่ขึ้นครั้งนี้แล้วตกนะ เพราะก่อนหน้านี้ขึ้นเครื่องไปตอนสภาพอากาศดีเพื่อปรับแผนกันว่าจะเอาเครื่องไปรับศพ แล้วพิสูจน์ซากที่ฮ.ตกกันได้อย่างไรโดยเร็ว” แม่ทัพภาค 1 ย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แม่นยำ
กระทั่งค่ำของวันที่ 18 กรกฎาคม ได้มีการปรับแผนและย้ำว่าให้ระมัดระวังความปลอดภัย ถ้าหลังวันที่ 19 กรกฎาคม เวลา 11.00 น. ดูแล้วสภาพอากาศปิดไม่ต้องพยายามใช้เฮลิคอปเตอร์ เข้าไปรับ ให้ลำเลียงผู้เสียชีวิต 5 รายลงมาด้วยเท้าเลย แม้จะเสียเวลาก็ไม่เป็นไร ซึ่ง พล.ต.ตะวัน ก็รับทราบดี
“พอวันที่เกิดเหตุก็น่าเสียใจ ผมคิดว่า ท่านคงขึ้นไปจากการรายงานว่าอากาศเปิด ตามที่เราได้ รับข่าวตามลำดับอยู่แล้ว ส่วนในเรื่องของความปลอดภัยท่านคงระมัดระวังอย่างเต็มที่ แต่ด้วย ช่วงสภาพอากาศที่เลวร้าย ซึ่งมันเข้ามาเร็วมาก บางครั้งอากาศเปิดเพียงแค่ 20 นาที ไม่เกิน 30 นาที ก็จะมีกลุ่มเมฆ กลุ่มหมอก และมีลมมีพายุเข้ามาซึ่งแปรปรวนมาก เลยทำให้เกิด อุบัติเหตุครั้งที่ 2 ขึ้น
ผมเสียใจมากครับ เสียใจจริงๆ เพราะ พล.ต.ตะวัน เป็นคนดีตั้งใจทำงานสูงมาก เป็นคนที่มี อุปนิสัยดี มีวินัยสูงมาก เชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ที่ดีมาก และเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดีมากด้วย เขาไม่เคยแสดงออกถึงการเอาเปรียบผู้ใต้ บังคับบัญชา มีแต่อยากจะให้ มีหลายอย่างที่ผมประทับใจ พล.ต.ตะวัน ต่อตัวเขาเองและกับ ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผมติดตามงานของเขามา ตั้งแต่่ผมเป็นผู้บัญชาการทหารราบที่ 9 พล.ต.ตะวัน ก็มาเป็นรองผู้บัญชาการ คือเขาเป็นคนที่ห่วงใยผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชามาก” น้ำเสียงเศร้าเมื่อเอ่ยถึงผู้ใต้บังคับบัญชาที่ล่วงลับ พร้อมถ่ายทอดความรู้สึกดีๆ ที่มีแก่ พล.ต.ตะวัน ต่อว่า
“มีบางครั้งที่ต้องไปตรงจุดที่เสี่ยง พล.ต.ตะวัน ก็จะบอกว่า ‘พี่ตรงนั้นอย่าเพิ่งไปเลย ผมขอ ไปดูเอง’ ซึ่งเราประทับใจในตัวเขา จริงๆ เราออกไปปฏิบัติงานด้วยกันนั่นแหละ แต่ความที่เขา เป็นคนซึ่งครบถ้วน ทั้งอุปนิสัย ความประพฤติส่วนตัว ความเป็นผู้นำ การแสดงออกของเขา ก็สมควรจะต้องใช้คำว่า เป็นทหารนักรบที่มีคุณธรรม ผมเสียดาย และเสียใจมากพอรู้ว่า พล.ต.ตะวันเสียชีวิตแน่นอนแล้ว ตอนที่มีรายงานว่าแบล็คฮอร์กตก แต่ไม่ระเบิด ซึ่งตกในลักษณะ ตกกระแทก ผมยังมีความหวัง ผมก็ย้ำว่า พวกเรากำลังออกไปทำงานช่วยชีวิตคนที่เขากำลังรอ แล้วคนๆ นั้นคือคนที่เรารัก ฉะนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชา ทุกคนอยากจะทำ แม้ว่าพื้นที่นั้น จะยากลำบาก เสี่ยงอันตรายเขาก็ยังอยากออกไป
ต้องบอกว่าสุดเสียดายแล้วเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ผมคุยกับ ผบ.ทบ. ท่านนิ่ง แล้วก็มีความรู้สึก เดียวกัน เพราะท่านรู้จัก พล.ต.ตะวัน แล้วท่านเป็นผู้คัดเลือกให้ พล.ต.ตะวัน เป็นผู้บัญชาการกอง พลทหารราบที่ 9 ซึ่งถือว่าสำคัญมาก สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า หน่วยรบระดับกองพลใดๆ วันที่ 18 กรกฎาคมเราได้คุยกันเพื่อมอบแนวทาง มีมาตรการให้ระมัดระวังไปแล้ว พอวันที่ 19 ผมจำเป็นต้องเดินทางออกมาเพื่อไปเป็นประธาน วันสถาปนา คือหน่วยที่ขึ้นตรงกับกองทัพภาคที่ 1 คือ กรมทหารพรานที่ 24 จ.กาญจนบุรี
ตอนนั้น ผู้บัญชาการทหารบกโทรมาครั้งหนึ่ง ซึ่งผมกำลังอยู่ในพิธีการ เลยไม่สามารถ รับโทรศัพท์ได้ พอจบพิธีการช่วงหนึ่งเลยโทรกลับไปหาท่านประมาณ 11 โมง ท่านก็บอกว่า เมื่อสักครู่โทรมาหาผม ผมไม่รับโทรศัพท์ ท่านเลยโทรตรงไปที่ พล.ต.ตะวัน ท่านบอกว่าคุยกันแล้ว ก็เน้นแล้วบอกว่าให้ระมัดระวัง ท่านเรียกชื่อเล่นผมว่า โด่ง ให้โด่งโทรกลับมาเพื่อทราบว่า ท่านห่วงใย ให้ระวังเพราะรู้ว่าอันตราย ผมเลยโทรไปหา พล.ต.ตะวันอีก เขารับสายก่อน ที่จะขึ้นเครื่อง ผมก็เน้นแบบนี้ โดยผมบอกว่า ถ้าเลย 11 โมง ตามที่คุยกัน ให้ลงมาทางเท้าเลย พล.ต.ตะวัน เขาก็รับทราบ ผมเลยเข้าใจว่า ตอนที่ฮ.ขึ้นไป สภาพอากาศน่าจะดีอยู่ แล้วคงเกิดปัญหารวดเร็ว ซึ่งไม่น่าเกิดจากความประมาท พอประมาณ 11 โมงครึ่ง ถึงได้รับทราบว่า แบล็คฮอร์กตก ผมตกใจมาก เป็นไปได้ยังไง ทำไมสิ่งที่ผู้บัญชาการ ทหารบกท่านเน้นให้ระวัง อย่าให้เกิดซ้ำสอง มันเกิดขึ้นจนได้จริงๆ” เสียงย้ำทางโทรศัพท์กับ พล.ต.ตะวัน ยังคงก้องอยู่ในใจของแม่ทัพภาคที่ 1
/// ไม่หนักใจในการทำหน้าที่
เมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสุดวิสัยซึ่งไม่มีใครคาดคิด สิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ของแม่ทัพภาค 1 คือ การปลอบขวัญผู้ใต้บังคับบัญชาให้กลับสู่ภาวะปกติ โดย พล.ท.อุดมเดช ย้ำว่า ไม่มีความลำบากใจอะไร
“มันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องทำต่อไปให้ดีที่สุด ทำอย่างไรผู้ใต้บังคับบัญชาจะไม่เสียขวัญ ทำอย่างไร ให้เขาตั้งใจทำงานต่อไป ผมไม่ค่อยต้องห่วยใยในความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งสอง เหตุการณ์ว่าเขาจะไม่เข้าใจหรือ กลัว เพราะได้พูดคุยสอบถามทุกคนที่ออกมาจากพื้นที่แล้ว เหนื่อยกันทุกคน เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเล็กสำหรับทหาร พักเสียหน่อยก็หาย ซึ่งทุกคนคงต้อง มุ่งมั่นต่อไป แต่ว่าเราน่าจะเอาสิ่งที่เกิดขึ้นกับการสูญเสียในครั้งนี้มาเป็นบทเรียน ผมฟังจาก คนรอบๆข้างว่า ประชาชนเข้าใจและเห็นใจ เราก็ดีใจ”
//บทเรียนแห่งการสูญเสีย
เพราะการปฏิบัติหน้าที่ตามชายแดน หรือพื้นที่แม้กระทั่งภาคกลางต่างก็เป็นพื้นที่อันตราย พล.ท.เดชอุดม กล่าวว่า การปฏิบัติหน้าที่บางครั้งก็เลือกเวลาไม่ได้ เมื่อทราบว่า กำลังมีผู้กระทำความผิด แล้วความผิดเหล่านั้นกำลังขยายตัวไปสู่ความเสียหายกับประเทศ เจ้าหน้าที่ก็ไม่อาจเพิกเฉยได้
“ถ้าเราไม่เข้าไปหยุดยั้งไว้ แล้วบอกว่า ตอนนี้ขอหยุดไว้ก่อน มันยังลำบากอยู่นะ เราจะไม่ เดินเข้าไปคงไม่ได้ เพราะว่าป่าที่ถูกตัดไปแต่ละเดือน ก็ถูกไล่ถางไปเป็นโซนเล็กๆ ออกไป เป็นจำนวนมาก ถ้าเราไม่ไปหยุด หรือไม่ไปจับกุมอะไรจะเกิดขึ้น เราทำร่วมงานกับเจ้าหน้าที่ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานอยู่ในเฉพาะพื้นที่่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีอุทยานส่วนอื่นอีก ที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นภาคที่ 1 ภาค 2 ภาค 3 หรือ ภาค 4 แต่ว่าโซนนี้มันเป็นพ้ืนที่ป่าต่อเนื่อง ด้านตะวันตก ผมรับผิดชอบพื้นที่ป่าจากจังหวัดตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบฯ ซึ่งถ้ามันถูกทำลายไปเราเสียดาย
มีคำสอนของทหารที่พูดคุยหรือสอนกันมา ซึ่งปลูกฝังกันเองกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า แม้ความตาย อยู่ข้างหน้า แต่เราเป็นทหาร ถ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่เราควรทำ เราต้องเดินเข้าไปหา เพราะเป็น หน้าที่ คนที่ขึ้นไปรู้ว่าจะต้องเจอสภาพนั้นอีก รู้ว่ามันเสี่ยง แต่ทำไมเขาถึงขึ้นไป เพราะนั่นคือ หน้าที่ของเขา มันเป็นสิ่งถูกต้องที่เขาต้องเข้าไปช่วย และต้องเห็นใจครอบครัวผู้สูญเสีย 5 ชีวิต แรก ทุกคนอยากเห็นร่างกลับมาโดยเร็ว แม้รู้ว่าอันตรายก็ไป และแม้ว่าจะแลกมาด้วยชีวิตถึง 17 ชีวิตก็ตาม ถ้าผู้เสียชีวิตรู้ว่าประชาชนให้ความเห็นใจ อย่างนี้ผมว่าเขาคงภูมิใจ” พล.ท.อุดมเดช กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ซ่อนความสุขุมเยือกเย็น
/// กระแสโจมตีกองทัพ
หลายบทวิเคราะห์ของสาเหตุ ฮ.ตก พาดพิงไปถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง หรือ การจัดซื้อจัดหาเฮลิคอปเตอร์ และคุณภาพ ของเครื่องที่เหมาะสมกับการใช้ในภารกิจต่างๆ ประเด็นนี้ย่อมส่งผลต่อความรู้สึกของแม่ทัพภาค 1 โดยตรง “ผมได้รับกำลังใจจากผู้บังคับบัญชา เพราะท่านรู้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ ความผิดของใคร แต่เกิดขึ้นจากปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ เป็นสภาพที่เราต้องแก้ปัญหา ท่านก็ให้กำลังใจ เราให้กำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชาต่อไปว่า ให้เขานึกถึงความน่าภาคภูมิใจ เพราะผู้บังคับบัญชา ของเขาตั้งใจทำงานจนเสียชีวิต สิ่งที่สำคัญผู้บัญชาการชั้นสูงได้เยียวยา ด้วยการทดแทน ตามระเบียบ และดูแลไปถึงครอบครัว ภรรยา ลูก
ผมคิดว่าทุกคนคงเข้าใจ ผู้บังคับบัญชาห่วงใยดูแลทุกคน เชื่อว่าทุกคนไม่เสียกำลังใจ จริงๆ เราสูญเสียมาตลอด ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้ อย่างที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีขึ้นเรื่อยๆ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้มันใหญ่ และเกิดติดต่อกัน แล้วเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมานาน เป็นเรื่องที่ผู้คนให้ความสนใจ เพราะของที่สูญเสียไปมีมูลค่าเป็นพันล้าน แต่คงเทียบกับ ผู้เสียชีวิตไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องหนักพอสมควร”
//ทหารเป็นได้ทั้งเหยี่ยว-พิราบ
ในฐานะแม่ทัพภาค 1 ซึี่งดูแลภารกิจพื้นที่ในจัดหวัดแถบภาคตะวันออกและตะวันตก “บิ๊กโด่ง” กล่าวถึง หลักการทำงานที่ยึดถือปฏิบัติมาตลอดช่วงชีวิตข้าราชการว่า ต้องให้เกียรติ เพื่อนร่วมงาน ให้เกียรติผู้ใต้บังคับบัญชา พร้อมยึดถือนโยบายของผู้บังคับบัญชา ที่สำคัญต้องรับ ฟังเสียงรอบด้าน
“ทำอะไรก็ตาม ถ้าเราฟังอะไรรอบด้าน ตัดสินใจได้ทันเวลา เหมาะสมมันก็คือความสำเร็จ เพราะฉะนั้นคำว่าถูกต้องกับทันเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราให้เกียรติผู้ใต้บังคับบัญชาเสนอข้อมูล ต่างๆ มา มีโอกาสฟังได้เราก็ต้องฟัง ระบบของทหารสอนกันมาตั้งแต่เรียนนายร้อย นักเรียนเสนาธิการ วิธีการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชามีขั้นมีตอนอยู่ผมก็ปฏิบัติตามนั้น พอเราได้เป็นผู้บังคับบัญชา เราก็ต้องฟังเสียงของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย แต่ถ้าช้าก็อาจเสียโอกาส เสียการได้
บางครั้งพูดกันว่า ทหารคนนั้นเป็นเหยี่ยว เป็นพิราบ ผมยังคิดว่า ทหารทุกคนไม่ควรเป็น ทั้งเหยี่ยวและพิราบแต่ต้องเป็นได้ทั้งสองอย่าง โอกาสใดก็ตามที่เราควรเด็ดขาด เราก็ต้องเด็ดขาด แต่จะเอาความเด็ดขาดไปทำในทุกเรื่องมันก็เสียหาย ถ้าใครมาบอกว่า ผมเป็นเหยี่ยว เป็นพิราบ ผมจะบอกว่าผมเป็นทั้งสองอย่าง เพราะผมจะไม่เป็นพิราบ ในโอกาสที่ควรจะเป็นเหยี่ยว แล้วผมจะไม่เป็นเหยี่ยวในโอกาส ที่เราต้องใจเย็น หรือใช้การพูดคุย บางครั้งเราต้องแข็งหรืออ่อนอยู่ที่ ความเหมาะสม ของแต่ละเรื่อง” เปรียบเทียบสไตล์การบังคับ บัญชาที่ต้องใช้ความเด็ดขาดราวเหยี่ยวและใช้ความอ่อนโยนเฉกเช่นนกพิราบ
/// ข้อกล่าวหา “ทหารแตงโม”
ที่ผ่านมาสถานการณ์การเมืองร้อนแรง จนทำให้หลายฝ่ายออกมาโจมตีทหาร กล่าวหาว่า เป็นทหารแตงโม แม่ทัพภาค1 เผยว่า “ผมเองไม่เคยถูกใครว่าเป็นทหารแตงโม แต่เราทำตาม คำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยเคร่งครัดอยู่แล้ว ผมเคารพรักผู้บัญชาการทหารบกและผมยังยืนตามคำ ที่ผู้บังคับบัญชาทำก็คือ ท่านไม่ได้เป็นสีหนึ่งสีใด บางเรื่องสีหนึ่งอาจมีข้อดี บางเรื่องก็ไม่ดี ทุกสีวันนี้คือ มีทั้งข้อดีและไม่ดี ผมยกตัวอย่างนี้ละกัน ในกลุ่มทุกสีก็มีผู้ที่ไม่นิยมความรุนแรง แต่คนที่ชอบความรุนแรงอาจจะมีสอดแทรก อยู่ในกลุ่มเหล่านี้ เป็นต้น ไม่ได้คิดว่าจะเหมาใดๆเลย เรื่องของสีบางทีมีสิ่งที่ไม่ดีเราจะไม่รับ แต่บางสีเราดูว่าจะไม่เป็นปัญหาอะไรเราก็พยายาม ทำความเข้าใจ” พล.ท.เดชอุดม ในวัย 55 ปี กล่าวทิ้งท้าย ก่อนบอกต่อว่า
ทุกวันนี้เขามีความสุขกับครอบครัวเล็กๆ โดยมีภรรยาและลูก ทั้งสองคนคอยเป็นกำลังใจ อยู่เคียงข้าง เพื่อให้พร้อมที่จะยืนหยัด ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติในทุกสถานการณ์
//////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น