เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง
ภาพ : ศรันย์ เสมาทอง, ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์
แต่งหน้า : บัณฑิต บุญมี
Exclusive...นอกคุกเขมร
ความสุขในบ้านสไตล์บาหลี พนิช วิกิตเศรษฐ์
16 วันแห่งความทรงจำ และของฝากจาก “เปรย์ซอว์”
สัมผัสความสุข “นอกคุก” ในบ้านแสนอบอุ่น พร้อมเรื่องราวความรักของ ส.ส.คนดัง ในวันที่มีภรรยาอยู่เคียงข้าง เผยบทเรียนสำคัญของชีวิตหลังถูกจับเข้าคุกเขมร... 16 วันกับฝันร้ายที่ไม่อาจลืม!!
บ้านพักสไตล์บาหลีในย่านเอกมัยของ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ คุณหนุ่ม-พนิช วิกิตเศรษฐ์ กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งหลังเจ้าของบ้านห่างหายไปนานกว่า 2 สัปดาห์ ด้วยพันธกิจที่ถูกจำกัดอิสรภาพในดินแดนกัมพูชาที่ชื่อว่า “เปรย์ซอว์”
บ้านทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าโทนสีเหลือง-น้ำตาล ครอบคลุมพื้นที่ 199 ตารางวา ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ราวกับบูติกโฮเต็ล เพียงก้าวเท้าเข้าประตูรั้ว คุณพนิชซึ่งปัจจุบันไว้ผมทรงสกินเฮด กล่าวทักทาย ด้วยใบหน้าแช่มชื่น “หายากไหมครับ” จากนั้นเขาจึงเดินนำไปยังห้องรับแขกที่เปิด โล่งมองเห็นมุมต่างๆ ของบ้านและสระว่ายน้ำได้พอดี
/// บ้านสไตล์บาหลี
ยังไม่ทันถามไถ่ถึงสไตล์การตกแต่งบ้านที่แสนน่าอยู่ คุณพนิช ก็รีบออกตัวว่า ศรีภรรยา คุณเจี๊ยบ-พัชรีภรณ์ เป็นคนตกแต่งและเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์จากที่ต่างๆ จนออกมาสวยอย่างที่เห็น ส่วนเขาในฐานะพ่อบ้านให้ข้อมูลได้เฉพาะเหตุผลของการเลือกซื้อบ้านหลังนี้เท่านั้น
“ตอนแรกผมพยายามหาที่ดินแถวสุขุมวิท พอดีมาเจอบ้านหลังนี้ที่สร้างเสร็จแล้ว ซึ่งเจ้าของเขาสร้างบ้านไว้ 2 หลังหน้าตาเหมือนกันเลย เป็นเหมือนภาพสะท้อนซึ่งกันและกัน เจ้าของตั้งใจจะให้เช่าหลังหนึ่ง อยู่เองหลังหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจขายหลังนี้ให้ผม” คุณพนิช เล่าถึงบ้านหลังงามที่ซื้อมาในปี 2549 ด้วยความคุ้นเคยกับเส้นทางในละแวกสุขุมวิท จึงพยายามเลือกทำเลใกล้กับบ้านหลังเดิมที่เคยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่มาตั้งแต่เด็ก และอนาคตบ้านหลังนี้คงยกให้ลูกชายคนโต เพราะคุณแม่ (ม.ล.สมพงษ์วดี จักรพันธุ์) ได้ซื้อที่ดินด้านหลังบ้านเพิ่มอีก 200 ตารางวา เพื่อเตรียมเอาไว้สร้างบ้านให้หลานสาวแล้ว
ด้วยขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เลิกเกินไปสำหรับสมาชิกครอบครัวเพียง 4 คน จึงทำให้เขารู้สึกอบอุ่นทุกครั้งเมื่อกลับมาถึงบ้าน โดยเฉพาะมุมโปรดบริเวณชั้น 2 ที่ใช้เป็นห้องสำหรับทำกิจกรรมกับครอบครัว อาทิ ออกกำลังกาย,ชกมวย และดูทีวี เป็นต้น
นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่ทำให้เขาหลงรักบ้านสไตล์บาหลี คือความเรียบง่าย และได้ใกล้ชิดธรรมชาติ “เวลาเข้าบ้านมา เราต้องสามารถใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายได้ ไม่ต้องหรูหราเกินไป บ้านที่เราอยู่เมื่อเดินเข้ามาจะเย็น เสียงไม่ดัง ถ้าพูดเป็นความหมายโดยรวมคือ เข้าบ้านมาเหมือน ได้พักผ่อน เหมือนเราได้อยู่ใน รีสอร์ทเล็กๆกลางเมือง” พูดจบพลางยกมือป้องหู ให้คู่สนทนาตั้งใจฟังเสียงน้ำไหลเอื่อยๆ จากสระว่ายน้ำบวกกับเสียงลมพัดโชยที่เข้ามา
ครั้นถามว่า มีโอกาสได้ใช้สระว่ายน้ำบ่อยไหน คุณพนิช คลี่ยิ้มที่มุมปากแล้วบอกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นภรรยาและลูกๆ มากกว่า “ผมชอบนั่งดูสระน้ำ ตอนกินข้าวในห้องครัวอยู่ใกล้สระ ผมก็จะนั่งดู เพลินๆ จะว่าไปแล้วผมมีความผูกพันกับบ้านมาก บ้านหลังนี้แม้ไม่ได้ออกแบบเอง แต่ก็มีการปรับ กับเฟอร์นิเจอร์ที่เราซื้อมา บอกได้เลยว่าผมหลงรักตั้งแต่แรกพบเลย (หัวเราะ) ตอนเปิดประตู เข้ามาก็สัมผัสได้ว่าบ้านหลังนี้อบอุ่นและเย็น ผมเชื่อว่า บ้านหลังนี้จะเป็นบ้าน ที่ทำให้ทุกคน ในครอบครัวได้ใกล้ชิดกัน ถ้าอยู่บ้านหลังใหญ่แต่ไม่ค่อยเจอกันก็เหมือนขาด ความอบอุ่น”
/// อิสระภายในบ้าน
ถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อบ้านอย่างออกรส คุณเจี๊ยบ ซึ่งเป็นกำลังหลักในการเลือกของ ตกแต่งบ้านได้ลงตัว ไม่ว่าจะเป็น ตู้ไม้สไตล์แอนทีค โต๊ะกลางบ้านแบรนด์ ราล์ฟ ลอว์เลน หรือจะเป็นโซฟาตัวเก๋ที่เข้ากันได้ดี โดยเธอบอกสิ่งสำคัญในการตกแต่งบ้านว่า เน้นความสบายเป็นหลัก ส่วนการเลือกใช้วัสดุนั้นต้องบ่งบอกถึงอารมณ์ของบ้านได้
“วัสดุที่ใช้จะต้องสัมผัสกับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นสีสันที่แสดงออกถึงความสดชื่น อบอุ่น และไม้เป็นอะไรที่ขาดไม่ได้ ถ้าบ้านสไตล์บาหลีขาดไม้คงทำให้บ้านขาดชีวิตชีวา ขาดความเป็นเอกลักษณ์ บ้านหลังนี้ภายในและภายนอกจะใช้ไม้เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นพื้นชั้นบน ฝ้าเพดาน ยกเว้นเสา และผนังที่ยังใช้ปูนเป็นส่วนประกอบ” หลังบ้านตัวจริงเผยเคล็ด ไม่ลับในการตกแต่งบ้านอย่างมีสไตล์ พร้อมนำชมแต่ละมุมต่อด้วยตัวเอง
เริ่มจากห้องทำงานของสามีซึ่งอยู่ติดกับห้องรับแขก แต่แยกเป็นสัดส่วนด้วยการใช้กระจกกั้น จากนั้นจึงเป็นห้องรับประทานอาหารแบบทางการ ที่เชื่อมต่อกับ ห้องครัวขนาดใหญ่ โดยเธอกระซิบว่า “ส่วนใหญ่จะรับประทานกันในครัวนี่แหละ” แต่ละห้องสามารถมองเห็น สระว่ายน้ำกลางบ้านได้ทุกองศา
ขยับมาที่ชั้น 2 ของบ้าน ถูกแบ่งออกเป็น 6 ห้องด้วยกัน ได้แก่ ห้องนอนลูกชาย - ลูกสาว ห้องนอนรวม ห้องแต่งตัวคุณพนิช ห้องแต่งตัวภรรยา และห้องออกกำลังกาย เรียกว่าคุณเจี๊ยบ จัดสรรพื้นที่ได้ลงตัวทุกมุม เพราะขนาดห้องแต่งตัวของเธอ ยังมีมุมสำหรับทำงานได้อีกด้วย
“เราทุกคนอยู่ในบ้านหลังนี้จะมีอิสระ ห้องแต่งตัวผมก็จะแบ่งเป็นห้องทำงานเล็กๆ และเป็นห้อง เก็บของ เก็บเสื้อผ้า ตอนนอนเรานอนรวมกัน แต่ทุกคนจะมีมุมส่วนตัวเล็กๆ ตรงนี้ไว้ให้ ด้านหลังห้องนอนผมจะมองเห็นโรงรถ ส่วนด้านหน้าก็เห็นสระว่ายน้ำ พอตื่นมาภรรยา อยากดูสระน้ำ ส่วนผมอยากดูโรงรถก็ดูได้(หัวเราะ)” คุณพนิชเอ่ยขึ้น ด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข เมื่อได้เอ่ยถึงของสะสมล้ำค่าที่อยู่ในโรงรถ
/// วันอาทิตย์ วันครอบครัว
ไม่เพียงความสุขในบ้านอันแสนอบอุ่น การได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวทุกวันอาทิตย์ เป็นเรื่องที่แฟมมิลีแมนคนนี้ปฏิบัติไม่เคยขาด แม้ปัจจุบันลูกชายคนโต จะเรียนหนังสืออยู่ต่างประเทศก็ตาม
“ผมมีลูกสองคน ลูกชายตอนนี้ไปเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ก็จะเหลือแต่ลูกสาว ที่อยู่บ้าน วันอาทิตย์เลยเป็นวันครอบครัว ผมพยายามที่จะไม่รับงานอะไร ยกเว้น จะเป็นงานที่สำคัญเท่านั้น ผมเชื่อว่าคนเราทำงานหนักแค่ไหน ก็ต้องมีวันที่หยุดพักผ่อน” ตารางเวลาที่เขาจัดสรรให้ ครอบครัวนอกเหนือจากการทำหน้าที่สส.กทม. เขต 6
กิจกรรมสำหรับวันหยุดของครอบครัว “วิกิตเศรษฐ์” คือ การได้ออกกำลังกาย เพียง 1-2 ชั่วโมงที่พ่อแม่ลูกได้ใช้เวลาด้วยกันอย่างมีคุณภาพ ก็สร้างความรักความอบอุ่น ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี
“หนึ่งเดือนที่ผ่านมาผมไม่ได้ออกกำลังกายเลย (หัวเราะ) ทุกวันอาทิตย์พอผมดูรายการของ ท่านนายกฯ จบ ผมก็จะชกมวย โดยมีเทรนเนอร์มาช่วยสอนให้ทั้งผม ภรรยา และลูกสาว จะซ้อมกันวันละ 3 ชั่วโมง อาทิตย์ละสองครั้ง ผมจะชกสลับกับภรรยาและลูก เป็นกีฬาที่ทำให้ ร่างกายแข็งแรง และใช้ป้องกันตัวได้ เราทุกคนจะสนุกมาก ที่ผมเลือกกีฬาชกมวย เพราะได้ ออกกำลังกายทุกสัดส่วนของร่างกาย ได้เหงื่อเร็วมาก” คุณพนิช กล่าวและย้ำว่าการชกมวย อย่างน้อยได้ความสนุก ระบายความเครียด แล้วยังทำให้มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นด้วย
เช่นเดียวกับศรีภรรยาที่พยักหน้าเห็นด้วยในคำอธิบายของสามี ก่อนจะกล่าวเสริมว่า สามีเป็นคนชอบออกกำลังกาย แล้วจะชอบทำกิจกรรมร่วมกัน “บางครั้งจะไปเล่นกอล์ฟ ลูกสาวไม่อยากไปก็มี ฉะนั้น การชกมวยจึงเป็นกีฬาที่ได้เล่นกันทั้งครอบครัว ชกแค่สองรอบก็ สลบเลย (หัวเราะ) ลูกสาวชอบชกมวยมาก เขาสามารถเตะแบบจรเข้ฟาดหางได้ด้วย”
/// จากนักธุรกิจ...สู่สนามการเมือง
หลายคนรู้จักคุณพนิช ในฐานะ สส.กทม.หน้าใหม่ ที่ก้าวสู่ถนนการเมืองอย่างเต็มตัวได้เพียง 6 เดือนเศษ ทว่าที่จริงแล้ว บุตรชายคนกลางของ ม.ล.สมพงษ์วดี (จักรพันธุ์) วิกิตเศรษฐ์ และ นิตย์ วิกิตเศรษฐ์ (อดีตผู้ก่อตั้งบริษัทอุตสาหกรรมพรมไทย และเจ้าของกระเบื้องคัมพาน่า) เคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่สาย การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา หรือ เอเจเอฟ ก่อนนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะชวนมาชิมลางการเมือง โดยให้มานั่งเป็นที่ปรึกษากรรมาธิการเศรษฐกิจ ที่มี จุติ ไกรฤกษ์ เป็นประธาน
จากนั้นในปี 2547 จึงลาออกจากบริษัทฯ เพื่อไปเป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมัยที่ อภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯ ไม่นานก็ได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ (กษิต ภิรมย์) และได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์ ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.เขต 6 แทน สส.ทิวา เงินยวง ที่เสียชีวิตไป
เบื้องหลังคนสำคัญที่คอยสนับสนุนคุณพนิชบนเส้นทางการเมือง คือ ภรรยา (พัชรีภรณ์ ณ สงขลา) ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในย่านราชประสงค์ อันเป็นมรดกตกทอดจากเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) คุณปู่ที่เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศ ปัจจุบันคุณเจี๊ยบกำลัง เรียนที่สถาบันพระปกเกล้า เรียนด้านการเมืองการ ปกครองขั้นสูง และเป็นคุณแม่ลูกสองของ น้องพรหม- พรพรหม อายุ 19 ปี และน้องพราว-พรรณพร อายุ 10 ปี
/// รอฉลองปีใหม่กับสามีข้ามปี
เมื่อถามเธอว่าอนาคตสนใจจะเล่นการเมืองไหม คุณเจี๊ยบส่งยิ้มหวานตอบกลับทันที “ตรงนั้นค่อยว่ากันอีกที ตามเหตุการณ์บ้านเมือง แต่วันนี้ขอเป็นหลังบ้านที่ดีก่อน” มิวาย เธอจะหันมากระเซ้าต่ออีกว่า “ตอนนี้รอฉลองปีใหม่จากสามีด้วย” ขณะที่คุณพนิช กระซิบบอกกับเราว่า “งานนี้คงฉลองรวบยอดทีเดียวเลย เพราะใกล้ถึงวันเกิด ภรรยาด้วย ส่วนเรื่องของขวัญผม คงไม่ต้องหา เดี๋ยวเขาก็เอาบิลมาเบิกครับ(หัวเราะ)”
เหตุที่เธอรอฉลองปีใหม่กับสามีข้ามปี ก็สืบเนื่องจากเหตุการณ์ในวันที่ 29 ธันวาคม 2553 คุณพนิช พร้อมกับพวกจำนวน 6 คน ลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องที่ได้รับเรื่องร้องเรียนว่าทหาร กัมพูชารุกล้ำเข้ามาในเขตไทย บริเวณ อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยได้ข้ามแดนบริเวณหลักเขตแดนที่ 46 บ้านภูมิโจกเจย (บ้านโชคชัย) ตำบลโอเบยเจือน อ.โจรว จ.บันเตียเมียนเจย และถูกทหารรักษาชายแดนที่ 503 ของกัมพูชา ควบคุมตัว พร้อมถูกตั้งข้อหาเดินทางข้ามพรมแดนโดยผิดกฎหมาย และรุกล้ำเขตทหารจนถูกนำตัวไปขังไว้ในเรือนจำเปรย์ ซอร์ นอกกรุงพนมเปญ
กระทั่งวันที่ 21 มกราคม 2554 ศาลกัมพูชาตัดสินคดี มีความผิดฐานเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยให้จำคุกคนละ 9 เดือน แต่ให้ลดเหลือ 8 เดือน และให้รอลงอาญาไว้ก่อน คุณพนิชและพวกรวม 5 คนจึงได้รับอิสรภาพและกลับสู่ประเทศไทย
/// 16 วันสุดทรมานในคุกเขมร
คุณพนิช เล่าย้อนประสบการณ์ครั้งสำคัญ ตลอดระยะเวลา 16 วัน ในห้องสี่เหลี่ยมขนาด 1.5 x 2 เมตร ซึ่งอยู่ลึกด้านในสุด มีเพียงช่องลูกกรงเป็นซี่ๆ ด้านบนให้มองออกไปได้เท่านั้น ภายในห้องมีสิ่งของ 3 อย่างที่เขาจดจำได้ติดตา ได้แก่ เทียนไข หม้อ 2 ใบสำหรับใส่อาหาร และชุดนักโทษ โดยเขาอยู่รวมกับ วีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ
ชีวิตที่ไร้อิสรภาพ และถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แม้กระทั่งวันเวลาก็ไม่อาจรู้ได้ คุณพนิชเล่าว่า จะรู้ว่าเช้าหรือยังก็จะอาศัยเสียงไก่ขัน และคอยสังเกตุแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ แต่ละวันจะได้มี โอกาสเจอกับผู้ร่วมชะตากรรมทั้ง 6 คน ระหว่างออกไปสูดอากาศและยืนตากแดดด้านนอกทุก ๆ 8 โมงเช้าราวชั่วโมงเศษ จากนั้นจึงเป็นช่วงบ่ายสามโมงอีกครั้งหนึ่ง
“ชีวิตในคุกจะเริ่มตั้งแต่เช้าประมาณ 6 โมง โดยจะมีหัวหน้าตึกจะมาปลุกนักโทษทุกคน อาบน้ำทำภาระกิจส่วนตัวให้เสร็จ ก่อนที่ผมจะออกมาจากมุ้งจะต้องรอจังหวะดีๆ เพราะผมจะต้องเอามือไปตบยุงที่เกาะอยู่กับมุ้งซึ่งมีนับพันตัว เราจะไม่ค่อยได้เห็นมัน เพราะยุงพวกนี้จะแอบอยู่แถวเสื้อผ้า แค่หยิบผ้าขนหนูก็จะเห็นยุงบินว่อนเป็นพันๆตัวเลย ตอนแรกผมตกใจก็วิ่งกลับเข้าไปในมุ้งเลย” ย้อนประสบการณ์ในคุกด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน
เวลา 07.30 น. ผู้คุมจะเปิดห้องขังให้กับนักโทษออกมาเจอเพื่อนนักโทษด้วยกัน ซึ่งคุณพนิช จะมีนักโทษชั้นดีมาดูแลถึงสองคน คนแรกเป็นเขมรแดงนักโทษชั้นดีที่ใกล้จะออกแล้ว พูดภาษาอังกฤษได้ ส่วนคนที่สองเป็นนักโทษที่เคยเป็นทหารไปยิงคนตาย พูดภาษาไทยได้เพราะมีภรรยาเป็นคนไทยอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ
“ผมอยากเจอทั้งสองคนนี้เพราะจะได้ถามเรื่องข่าวสาร แล้วจะมีสองคนนี้หิ้วปีกของ ผมไปไหนตลอด หนีบไม่ใช่กลัวเราหนี แต่เขากลัวคนอื่นจะมาทำร้าย เพราะนักโทษเวลาปล่อย ก็จะปล่อยพร้อมๆกัน นักโทษบางคนไปรู้ข่าวมาว่าเราแอบเข้าประเทศเขากลัวพวกนี้จะทำ อันตรายเราขึ้นมาจะกลายเป็นเรื่องใหญ่มาก
เขาคุมเราแจเลย แล้วพาเราออกไปข้างนอก ไปอยู่มุมตึกมุมหนึ่ง แล้วจะกั้นเชือกไว้ ห้ามให้นักโทษคนอื่นเข้า ผมออกไปนั่งตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อโรค แล้วก็นั่งคุยกัน อยู่หลายๆวัน ตรงนี้ก็สามารถเอาผ้าที่ซักเองมาตากได้ วันแรกจะได้ชุดนักโทษกันคนละชุด ผมก็มีชุดธรรมดา อีกหนึ่งชุด แต่พอตอนหลังมีความรู้สึกว่าใส่ชุดตัวเองจะไม่ปลอดภัย ชุดธรรมดาซักก็ลำบาก ทำไปทำมาชุดคุกซักวันนี้ชั่วข้ามคืนก็แห้งแล้ว”
นอกจากชุดนักโทษที่ทางเรือนจำให้แล้ว ยังให้ผ้าขาวม้า ผ้าเช็ดตัว ยาสีฟัน แปรงสีฟัน และน้ำเปล่าวันละสองขวด
“วันที่สามก็ให้ชุดนักโทษมาอีกหนึ่งชุด จริงๆชุดนักโทษเหล่านี้จะดีมาก ซักกลางคืนเช้ามาแห้ง แต่ยุงจะเกาะเต็มเลย วันแรกผมโชคร้ายมาก เอาผ้าไปตากก็ถูกขโมยกางเกงใน ตั้งแต่นั้นมาสองอาทิตย์ผมอยู่โดยไม่ได้ใส่กางเกงในอีกเลย มันก็แปลกนะที่ผมโดน คนเดียวคนอื่นไม่โดน ” คุณพนิชหัวเราะให้กับตลกร้ายที่ไม่อยากเจอ
ความเป็นอยู่ที่ลำบากอาจปรับตัวได้ง่ายกว่ารสชาติของอาหารที่ยากจะกลืน จนสถานทูตไทยต้อง นำอาหารกล่องส่งตรงให้ถึงเรือนจำ โดยก่อนเดินกลับเข้าไปในห้องขังรอบแรก อาหารจะถูกส่งมาให้คนละสองกล่องเพื่อเก็บไว้กินตอนเที่ยงกับตอนเย็น แต่หากใครมีเงินก็สามารถหาสิ่งอำนวยความสะดวกสบายได้ เนื่องจากจะมีร้านขายของชำเล็กๆ ที่ขายตั้งแต่เนื้อวัว เนื้อหมู เตาแก๊ส ซึ่งนักโทษสามารถสั่งซื้อมาปรุงอาหารมื้อพิเศษได้ จนมีคนพูดเล่นๆว่าหากไฟไหม้ในคุกคงตาย เหมือนหมูปิ้งเป็นแน่
“ตอนแรกท่านรัฐมนตรีกษิตจะให้เงินไว้ปึกหนึ่งเลย เป็นพันดอลล่าร์ แต่ผมไม่เอา ความคิดแรก คือ กลัวนักโทษเหล่านั้นมาทำร้ายเรา เพราะเป็นเงินด้วย จนตอนหลังผู้คุมให้แลกเป็นคูปอง แต่มีข้อจำกัดห้ามแลกเกินคนละ 50 ดอลล่าร์ เราก็เลยแลกมา 200 กว่าดอลล่าร์ อย่างแรก ที่ผมซื้อเป็น ธูป กับไฟแช็ค เพราะมันจะไปดับกลิ่นอับและไล่ยุงในคุกได้”
บทเรียนของการดำรงชีวิตในแต่ละวัน ทำให้คุณพนิชเริ่มเรียนรู้มากขึ้น จนมารู้ในสัปดาห์สุดท้าย ว่ามีสเปรย์ฉีดยุงขายด้วย “ก่อนหน้านั้นผมจุดธูปทุกวัน เพราะห้องขังผมติดกับบ่อพักส้วมเลย แล้วทุกอาคารก็จะมีท่อน้ำทิ้ง เลยทำให้มีกลิ่น คุณวีระก็พูดที่เล่นทีจริงว่า ผมติดคุกก็คงไม่ได้ติดคุกหัวโตตาย แต่จะตายเพราะ สส.พนิช ที่จุดธูปตลอด ควันธูปคงเข้าไปในปอด หรือธูปมันลามแล้วไฟไหม้ตาย (หัวเราะ) เพราะเราอยู่ห้องสุดท้าย แล้วออกไม่ได้”
นอกจากนี้ คุกเขมร ยังมีความแตกต่างจากคุกในประเทศไทย... แม้เจ้าตัวจะไม่เคยมี ประสบการณ์มาก่อน แต่ก็พอเล่าได้จากบทสนทนาระหว่างเพื่อนร่วมห้อง โดยเฉพาะภาคกลางคืน “คุณวีระเล่าให้ฟังว่า คุกบ้านเราประมาณสามทุ่มทุกคนต้องเงียบ แต่คุกที่นี่พิเศษมากเลย ยิ่งดึกยิ่งดัง สามทุ่มไฟดับหมด ก็ยังได้ยินเสียงนักโทษต่างร้องเพลงเสียงดัง เหมือนมีคอนเสิร์ตเลย เปิดวิทยุแบบใส่ถ่านเสียงดังตลอดทั้งคืน ผมนอนหลับได้ไม่เกิน 3-4 ชั่วโมงเลย (ทำท่าหลับตาด้วยการเอามือปิดตา) จะเงียบลงตอนประมาณตีสาม”
/// ผจญภัยกับแมลงสาบ ยุง แมลงวัน ตุ๊กแก
ไม่เพียงความเป็นอยู่อันแร้นแค้น แต่สิ่งที่ สส.คนดังต้องเผชิญตลอดทั้ง 16 วัน ได้แก่สัตว์ประเภทต่างๆ เช้าเจอยุง กลางวันเจอแมลงวัน ตกกลางคืนก็มี แมลงสาบ หนู ตั๊กแตนและตุ๊กแก คอยเป็นเพื่อน
“ด้านหลังของห้องขังจะมีการเผาขยะวันเว้นวัน กลางวันแมลงวันจะเยอะมาก (ลากเสียง) คุณวีระอยู่ชอบอยู่ในมุ้ง แต่ผมไม่ชอบมันร้อน ผมนั่งอยู่แมลงวันก็จะมาเกาะตามตัว เกาะจนเบื่อที่จะปัด มีอยู่วันหนึ่งผมนั่งเอามุ้งคลุมไว้เฉพาะหัว แต่ตัวอยู่ข้างนอก ยอมนั่งให้มันตอมไปเรื่อยๆ พอตกกลางคืนก็ต้องสู้กับตั๊กแตนตัวเล็กสีดำที่มาเล่นไฟ แล้วก็จะตอมเราอีก
ส่วนแมลงสาบไม่ต้องพูดถึงมันวิ่งเข้าวิ่งออกตลอด ต้องทนอยู่ถึง 7-8 วัน จึงยอมซื้อสเปรย์มาฉีดก่อนนอน จนคุณวีระบอก สส.พอแล้วครับผมจะตายเพราะธูปแล้ว ยังต้องมาตายเพราะสเปรย์อีก(หัวเราะ) พอเช้าตื่นมาแมลงสาบตายเป็นกองเลย ส่วนหนูก็จะวิ่ง จากหลังคามาหากล่องอาหารของพวกเรา เชื่อไหมว่าหนูตัวใหญ่เหมือนแมวเลย(หัวเราะ)”
นอกจากนี้ยังมี ตุ๊กแก ซึ่งเป็นสัตว์ที่คุณพนิชไม่ถูกชะตามาแต่อดีต แต่ปัจจุบันตุ๊กแกกลาย เป็นเพื่อนที่คุ้นเคยไปเสียแล้ว “ตอนที่ออกจากห้องขังผมจะไปนั่งอยู่ตรงศาลาเล็กๆ ตุ๊กแกก็จะอยู่ตรงนั้น เดินขึ้นเดินลงตรงเสา ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป ทุกวันก็จะเจอตุ๊กแก ตัวนี้ มีวันหนึ่งผมถูกย้ายให้ไปอยู่ข้างบนตึก ไม่รู้ว่าภรรยาผมร้องเรียนไปหรืออย่างไร ซึ่งผมโกรธมาก ทางผู้คุมบอกต้องย้ายเพราะรัฐมนตรี สั่งมา ผมรู้ว่าตุ๊กแกต้องอยู่บนตึกแน่ แล้วมันก็อยู่ ตรงนั้นจริงๆ กลางคืนผมปวดฉี่ ผมก็ยืนอยู่ตรงส้วมซึม (เล่าพลางลุกขึ้นทำท่าประกอบ) หลังคาก็เตี้ย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตุ๊กแกร้อง ตุ๊กแก ๆ ผมเงยหน้าขึ้นไป ตุ๊กแกอยู่บนหน้าพอดี ตกใจ ขาที่เจ็บลื่นตกลงไปที่ส้วมเลย เช้าตื่นขึ้นมาก็ยังเห็นตุ๊กแกว่ายน้ำอยู่ในตุ่มอีก” เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ร่วมวงครืนใหญ่
/// ทรงผมใหม่...ที่ระลึกจากเปรย์ซอว์
และเพราะคุกไม่ใช่สถานที่จำกัดอิสรภาพของผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่สภาพทางกายภาพ ยังเอื้อต่อการอาศัยของสัตว์ที่คุ้นเคย ในค่ำคืนที่คุณพนิช กำลังนั่งสวดมนต์อยู่ในมุ้งโดยไม่รู้ว่ามี แมลงสาบกำลังไต่ขึ้นไปตามตัว มารู้สึกตัวอีกทีก็ถูกแมลงสาบกัดไปที่ศีรษะแล้ว
“ผมรู้สึกเจ็บๆ ผมก็เอามือตบไปเลย ได้ยินเสียงดังแปะ มันคงตายคาหัวผม(หัวเราะ) แล้วกลิ่นมัน เหม็นมาก ผมไม่ได้คิดอะไร ก็เดินไปล้างออก แต่ไม่ได้สระผมตอนนั้นมันดึกมากแล้ว ตลอด 4 วัน ที่อยู่ในห้องขังไม่ได้สระผมเลย เพราะน้ำไม่ค่อยสะอาด สระผมต้องใช้น้ำเยอะ แล้วตอนนั้นเรา ต้องประหยัดน้ำ อีกอย่างปกติผมสระผมจะต้องเป่าให้แห้ง แน่นอนที่นั่นไม่มีเครื่องเป่าผม ขนาดหวี ยังไม่มี ถ้าสระผมก่อนนอนจะทำให้หัวชื้นแล้วจะเป็นไข้ทุกที ผมจึงไม่อยากสระผม แต่รู้สึกว่าคันหัวมาก หลังจากนั้นก็เริ่มเกา (ทำท่าเกาอย่างเมามัน)
วันต่อมาก็ถูกแมลงสาบกัดเข้าที่เท้า ระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ นิ้วบวมแบบว่าเดินไม่ได้เลย เขาถึงพาผมไปหาหมอที่โรงพยาบาล หัวก็บวมจนเป็นแผลตกสะเก็ด เหมือนแมลงสาบมีพิษ เลยกลายเป็นที่มาของการตัดสินใจโกนศรีษะ ครั้งแรกที่จะโกนผู้คุมเขาบอกว่าห้ามโกน ผมก็นึกว่าเขาพูดเล่น เพราะเขาคิดว่าผมโกนเพื่อประท้วงคุกเปรย์ ซอร์ จนตอนหลังเขาบอกว่า ถ้าโกนจะต้องได้รับอนุญาตก่อน ผมเลยให้ภรรยาเซ็นรับทราบ ” ที่มาของผมทรงสกินเฮด ที่เจ้าตัวบอกว่าภรรยาชอบมากและอยากให้ทำมาตั้งนานแล้ว
แม้ผมทรงใหม่ดูแปลกตาจากเดิมไปบ้าง แต่เจ้าของฉายา “หล่อกลาง” แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังคงเค้าความหล่ออยู่ครบเครื่อง จะมีก็แต่รูปร่างที่ผอมลงอย่างเห็นได้ชัด จนหลายคนอด ทักไม่ได้ ซึ่งเจ้าตัวยิ้มรับ ก่อนบอกว่า “ช่วงนี้ผอมลง 2-3 กิโล เสื้อผ้าที่มีใส่ไม่ได้แล้ว เลยต้องยืมเสื้อลูกชาย มาใส่แทน”
/// น้ำตาลูกผู้ชาย
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในคุกเขมร ผ่านมาได้เพราะความอดทน และมั่นใจในความบริสุทธิ์ แต่ความเข้มแข็งที่มีอยู่ในใจ ก็มิอาจต้านน้ำตาลูกผู้ชายเมื่อได้เห็นหน้าผู้เป็นแม่ ภรรยาและลูกมาเยี่ยมในวันที่ 5 ของการอยู่ในสถานะ “นักโทษ”
“จริงๆ ผมเป็นคนค่อนข้างเข้มแข็งมาก แต่ผมรู้สึกแย่ เพราะทำให้หลายคนเป็นห่วง ตั้งแต่ท่านนายกฯ ท่านสุเทพ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม พูดง่ายๆว่าทุกคน ผมไปสร้างภาระให้กับเขาในช่วงปีใหม่ โดยเฉพาะกับครอบครัวที่เรา จะไปอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่ เพราะลูกเพิ่งกลับมาจากอังกฤษ ผมร้องไห้ครั้งนั้นครั้งเดียว เป็นการร้องที่ไมได้ตั้งใจ น้ำตามันไหลออกมาเพราะความรู้สึกดีใจที่ได้เจอคุณแม่ คุณแม่ก็ร้องไห้ ลูกก็ร้อง แต่ภรรยาเข้มแข็งมากที่ไม่ร้องไห้เลย”
โดยเฉพาะเมื่อลูกชาย กล่าวโทษตัวเอง ที่ไม่ได้ไปกับพ่อด้วย ทำเอาน้ำตาพ่อไหลรินอาบแก้ม “ลูกชายพูดว่า เป็นห่วงพ่อมาก จริงๆ เขาต้องการเดินทางไปด้วย แต่พอเขาไม่ได้ไปแล้วเกิด เหตุการณ์แบบนี้ ลูกชายก็รู้สึกผิด สังเกตจากใบหน้าเขาแล้ว ดูเขาซึมมาก เหมือนเขามองว่า ปล่อยให้พ่อออกไป แล้วต้องเจอชะตากรรมคนเดียว ผมก็ตื้นตันใจว่า ผมโชคดีที่ไม่ได้เอา เขาไปด้วย เพราะถ้าเอามาแล้วถูกจับเข้าเรือนจำด้วย ความรู้สึกที่เป็นพ่อ ทำให้ลูกต้องเดือดร้อน แม้เขาจะได้ประสบการณ์ แต่มันไม่เหมาะกับเด็กอายุ 19 ปี ที่กำลังเรียนในมหาวิทยาลัย ทางด้านการเมือง แล้วจะต้องไปอยู่ในคุก มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับอนาคตของลูกเรา ชั่วโมงนั้นผมเข้าใจ ลูกก็สงสารเรา เราก็สงสารลูก มันเลยตื้นตันใจ”
ขณะที่ภรรยาก็เปรียบเสมือนเป็นยาชูกำลังชั้นดี เพราะไม่เพียงให้กำลังใจเธอยังเอายารักษาโรค ประจำตัวมาให้ด้วย “ผมมีโรคประจำตัวเป็นความดัน ภรรยาก็ถามแล้วอยู่ยังไง ผมบอกไปว่า ก็อยู่แบบในคุก ผมก็อธิบายไม่ถูก เพราะไม่เคยเข้าไปในเรือนจำประเทศไทยด้วย อากาศก็ไม่ค่อยดีก็ต้องทน”
/// ไม่ได้อยากดัง
16 วันในคุกเขมร ชื่อของคุณพนิช กลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ ต่างจากการทำหน้าที่ สส. 6 เดือนนั้นแทบไม่มีคนรู้จัก เมื่อมาดังแบบนี้เจ้าตัวรู้สึกเช่นไร? “มีคนมาพูดกับผมว่ามีเงิน 10 ล้าน ก็ทำโฆษณาให้ดังไม่ได้แบบนี้ ผมเลยตอบกลับไปว่า ขอโทษเถอะ ถ้าผมดังแล้วกลับมามี พระเดินนำหน้า หรือมีพระรับผมมาโดยอยู่ในกล่อง คุณคิดว่ามันคุ้มไหม ผมไม่ได้อยากดังแบบนี้ ผมมีอย่างอื่นที่ทำให้ดังได้ มีพิธีกรท่านหนึ่งถามผมว่า ดังแบบนี้รู้สึกยังไงคุ้มไหม ผมก็ตอบกลับ ไปว่า เรื่องที่จบไปแล้วมันพูดง่าย แต่ก่อนที่มันจะดัง ผมผ่านอะไรมาคนไม่รู้อีกเยอะ ถ้าผมเข้าไป แล้วถูกซัดตาย ก็ไม่รู้จะดังไปทำไม”
เพราะความดังที่เสี่ยงต่อการดับ ย่อมไม่คุ้มค่า และแน่นอนว่าแม้เรื่องราวร้ายๆ จะผ่านไปแล้ว แต่ทุกวันนี้ คุณพนิชยังมีอาการผวาอยู่ เวลาตื่นนอนเขาจะค่อยๆ ลืมตาและภาวนาขออย่าให้มีมุ้ง ...เมื่อไหร่ที่เห็นมุ้งนั่นบ่งบอกว่าเขากำลังตกอยู่ในฝันร้ายที่ไม่มีใครอยากเจอ.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น