เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง
ภาพ : นพพล ภาคสุทธิผล, พัฒนฉัตร มุลวงศ์ศรี
สถานที่ : โรงแรม JW Mariott กรุงเทพฯ
ทิพย์สุดา สุขารมณ์
หัวใจแม่ยังร่ำไห้
“หมอแจ๊ค”-ลูกชาย ปริญญาโท 2 ใบ เคยทำงานในองค์การนาซ่า
จบชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ฆาตกรรม หรือ อัตวินิบาตกรรม??
(โปรย) การจากไปอย่างกะทันหันของอดีตนักร้องหนุ่ม “แจ๊ค สุขารมณ์” หรือ นพ.พรเดชา สุขารมณ์ ทายาทโรงพยาบาลเดชา เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา
จากการพลัดตกจากสะพานลอยข้ามถนนช่วงแยกซอยศูนย์วิจัย
อุบัติเหตุ ฆาตกรรม หรือ อัตวินิบาตกรรม?!?
แต่สำหรับคนในครอบครัวและผู้เป็นแม่ เขายังไม่ได้จากไปไหน
(Body)ความทุกข์ระทมของคนในครอบครัว ที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ยังไม่จางหายแม้จนทุกวันนี้ ยิ่งหัวอกผู้เป็นแม่ ทิพย์สุดา สุขารมณ์ ด้วยแล้ว ความโศกเศร้ารันทดยังเป็นเจ้าเรือนความรู้สึกเธอไม่เคยสร่าง เอ่ยถึงบุตรชายทีไร น้ำตาเธอก็ไหลหลั่งพรั่งพรูทุกคราวไป เธอได้แต่เพียรพยายามปลอบใจตนเองอยู่ทุกวันว่า...ลูกชายยังไม่ได้จากไปไหน
ทันทีที่มีข่าวว่าอดีตนักร้องชื่อดังวัย 37 ปี แจ๊ค สุขารมณ์ หรือ นพ.พรเดชา สุขารมณ์ เจ้าของอัลบั้ม Soul Searching บุตรชายของทิพย์สุดา และ นพ.เดชา สุขารมณ์ เจ้าของโรงพยาบาลเดชา พลัดตกจากสะพานลอย บริเวณปากซอยศูนย์วิจัย ถนนเพชรบุรี เสียชีวิต เป็นข่าวที่ช็อกความรู้สึกของผู้ได้ยินอย่างที่สุด
ข่าวระบุไว้ ดังนี้ “นพ.พรเดชา สุขารมณ์ หรือ แจ๊ค สุขารมณ์ วัย 37 ปี อดีตนักร้องชื่อดังเสียชีวิต สาเหตุเพราะ แจ๊ค สุขารมณ์ พลัดตกสะพานลอยคนข้าม บริเวณปากซอยเพชรบุรี 40 ตรงข้ามซอยศูนย์วิจัย บาดเจ็บสาหัส ก่อนเที่ยงคืน วันที่ 9 พฤษภาคม 2553 ก่อนเจ้าหน้าที่จะนำร่าง แจ๊ค สุขารมณ์ ส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลา 02.45 น. ของวันที่ 10 พฤษภาคม
“ จากการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า แจ๊ค สุขารมณ์ เดินขึ้นสะพานลอยไปโดยที่ไม่ได้แสดงอาการอะไร จากนั้นก็ปีนข้ามรั้วสะพานลอยออกมานั่งยองๆ หันหน้าเข้าสะพาน และทิ้งตัวลงมาทันที ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้มีคนพบเห็น แจ๊ค สุขารมณ์ ปีนเสาไฟบริเวณปั๊มแห่งหนึ่ง ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตร แต่โชคดีมีคนผ่านไปเห็น จึงเกลี้ยกล่อมให้ปีนลงมาสำเร็จ แต่ต่อมา แจ๊ค สุขารมณ์ ก็ได้เดินไปที่สะพานลอยดังกล่าวและทิ้งตัวลงมาจนเสียชีวิต”
การนำเสนอข่าวต่างมีข้อสันนิษฐานถึงสาเหตุการเสียชีวิตของนายแพทย์หนุ่ม อดีตนักร้องไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าเป็นอุบัติเหตุ บ้างก็ว่าเป็นฆาตกรรม บ้างก็ว่าเขาตัดสินใจอำลาโลกเนื่องจากความเครียดรุมเร้าจากคดีทำร้ายเลขาฯ สาวจนอาการสาหัสเมื่อหลายเดือนก่อน แม้ที่สุดแล้วครอบครัวคู่กรณีไม่ติดใจเอาความ โดยถือเป็นอุบัติเหตุ เนื่องจากเจ้าตัวมีอาการหน้ามืด เป็นลมบ่อยครั้ง เพราะทำงานหนักและพักผ่อนน้อย แต่ข้อกังขาก็ยังไม่กระจ่าง แม้ในที่สุดเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุก็ตาม
วันเวลาล่วงเลยผ่านมาจนเจียนจะครบ 100 วัน ในวันที่ 17 เดือนสิงหาคมนี้ แต่ทุกครั้งที่เอ่ยถึงลูกชาย คุณแม่อ้อย-ทิพย์สุดา สุขารมณ์ ก็ยังไม่คลายจากความทุกข์โศก ร่องรอยแห่งความอาลัยยังเจืออยู่ในแทบทุกคำที่เอ่ยถึงหมอแจ๊ค หยดน้ำตายังคงพรั่งพรูทุกคราว ที่เล่าถึงลูกชายผู้เป็นที่รัก
//หมอ ศิลปินและปริญญาโท 2 ใบ เคยทำงานในองค์การนาซ่า
หมอแจ๊ค มีพี่ต่างมารดา 2 คนคือ วสิฐ สุขารมณ์ และ วิสุทธา สุขารมณ์ (จักรพันธุ์ ณ อยุธยา) มีพี่น้องที่คลานตามกันมาจากคุณแม่ทิพย์สุดา และ คุณหมอเดชา สุขารมณ์ 3 คน คือพี่ชาย-พรเดช สุขารมณ์ หมอแจ๊ค-พรเดชา เป็นบุตรชายคนที่สอง และน้องสาว-วรสุดา สุขารมณ์
ส่วนตัวหมอแจ๊คเองมีบุตร 2 คน คนโตเกิดจากภรรยาแรก เชอรี่-วีรินท์ อนันตพัฒนาวงศ์ คือ น้องทาช่า-ด.ญ.วีรัลพัชร สุขารมณ์ วัย 3 ขวบ ส่วนบุตรชายคนเล็ก น้องมาท่า-ด.ช.พลเดชา สุขารมณ์ วัย 3 เดือน เกิดจากภรรยาคนปัจจุบัน อุ๊-รสริน จันทร์เลขา
“ลูกสาวคนโตของหมอแจ๊คอยู่กับเชอรี่ (อดีตภรรยา) ตอนทำบุญครบ 50 วัน ทาช่าบ่นคิดถึงคุณพ่อ แม่ก็บอกหลานไปว่าคุณพ่อไปสวรรค์แล้ว (เล่าถึงหลานเสียงเครือ) พอเขากลับไปก็โทรศัพท์มาบอกว่า “คิดถึงคุณย่าค่ะ” (น้ำตาคลอ) ส่วนคนเล็กเพิ่ง 3 เดือน หลานทั้งสองคนน่ารักมาก ฉลาดเหมือนพ่อเขา คนโตพอเจอผู้ใหญ่ก็จะยกมือไหว้ ชอบสวดมนต์ไหว้พระ แถมขี้อ้อนเหมือนคุณพ่อเขา คนเล็กก็ไม่เคยงอแงเลย เหมือนจะรู้ว่าตัวเองกำพร้าพ่อแล้ว (เล่าไปน้ำตาก็ร่วงพรู)”
คุณอ้อย-ทิพย์สุดาว่าลูกชาย-หมอแจ๊ค เป็นเด็กเลี้ยงง่าย เมื่อตอนที่เธอมีลูกนั้น ครอบครัว “สุขารมณ์” ยังไม่มีโรงพยาบาลเดชา เป็นเพียงคลินิกรักษาโรคทั่วไปเท่านั้น ส่วนสามี นพ.เดชาก็ยังไม่ได้เล่นการเมือง จึงไม่มีภาระทางสังคมมากมายนัก ทั้งเธอและคุณหมอเดชาจึงมีเวลาส่งลูกๆ รวมทั้งหมอแจ๊คไปโรงเรียนและทำกิจกรรมพิเศษอื่นๆ เช่น เรียนว่ายน้ำ เทควันโด ฯลฯ เป็นครอบครัวอบอุ่นครอบครัวหนึ่ง
ต่อมาหลังจากทั้งคู่สร้างโรงพยาบาลเดชาจนเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปแล้ว คุณหมอเดชาก็เข้าสู่วงการเมือง โดยการเป็นสมาชิกพรรคกิจสังคม และย้ายมาสังกัดพรรคชาติไทย กระทั่งได้เป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อปี 2535 และในปี 2544 ก็ย้ายไปสังกัดพรรคไทยรักไทย เคยดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง ทั้งรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ช่วงที่คุณหมอเดชาลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรกนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่หมอแจ๊คถูกส่งไปเรียนไฮสกูล ที่รัฐอริโซนา พร้อมกับพี่ชาย โจ้-พรเดช สุขารมณ์ “หมอแจ๊คเรียนเก่งมาก ไม่เคยเหลวไหลเลย” คุณอ้อย-ทิพย์สุดาเล่าถึงบุตรชายอย่างภาคภูมิใจ เขาจบไฮสกูลด้วยคะแนนระดับท็อปเทน สามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยไหนในอเมริกาก็ได้ เขาจึงเลือกเรียนปริญญาตรี Biomedical Engineering ซึ่งก็สอบได้คะแนนสูงลิ่ว จนได้รับการติดต่อจากองค์การนาซ่าให้ไปทำงานด้วยระยะหนึ่ง จากนั้นเขาก็เรียนจนจบปริญาโทถึง 2 ปริญญาคือ Biomedical Engineering จาก University of Southern California และปริญญาโท MBA จาก University of Los Angeles
“หมอแจ๊คเป็นคน sensitive มีอารมณ์ศิลปิน อ่อนไหว ใจดี มีเพื่อนรักมาก ยิ่งไปอยู่เมืองนอกก็มีเพื่อนเยอะ เขาชอบเล่นดนตรี เคยแต่งเพลงส่งมาให้บริษัท กันตนา แล้วยังแต่งเพลงให้กับละครหลายเรื่อง ทั้งแต่งทั้งร้องเพลงเอง เขามักจะโทรศัพท์มาบอกว่า “คุณแม่อย่าลืมดูละครซีรีส์ บางรักซอย 9 นะ ผมเป็นคนร้องเพลงประกอบ” มีรอยยิ้มทั้งน้ำตาของผู้เป็นแม่
//เรียนหมอ ให้พ่อ-แม่
คุณทิพย์สุดา เล่าว่า ลูกชายมักจะทำให้กับครอบครัวมาตลอด จนทุกคนประทับใจ โดยนิสัยส่วนตัวเป็นคนอ่อนโยน ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนใดๆ เลยตั้งแต่เล็กจนโต
“หมอแจ๊คเขาเป็นคนที่ทำอะไรให้กับครอบครัวได้ก็จะทำ ขนาด นพ.เดชา (สามี) หวังที่จะให้มาช่วยดูแลกิจการโรงพยาบาลเดชา ก็ขอร้องให้ลูกกลับมาสอนให้ความรู้ที่โรงเรียนแพทย์ (ศิริราชพยาบาล) พร้อมเรียนแพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เพิ่มเติมอีก 2 ปี ซึ่งลูกก็ได้เป็นหมอตามความตั้งใจของคุณพ่อ”
อีกมุมหนึ่งของครอบครัวสุขารมณ์นั้น เธอว่าเป็นครอบครัวประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไรก็ต้องมีการโหวตแทบทุกครั้ง เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ลูกยังเล็ก อาทิ เมื่อตกลงกันว่าจะเดินทางไปต่างประเทศก็ต้องเดินทางไปด้วยกันทั้งหมด จนเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นครอบครัวหนึ่ง ทั้งเธอยังภูมิใจในลูกๆ ทุกคนของเธอมาตลอด
“สิ่งที่แม่ภูมิใจที่สุดคือ หมอแจ๊คเรียนจบทางด้านเทคนิคการแพทย์ การสร้างเครื่องมือแพทย์ ซึ่งน้อยคนนักที่จะทำอย่างเขาได้ เพราะเขามาเรียนแพทย์ให้กับเรา คือคุณพ่อกับคุณแม่ตั้งใจอยากให้ลูกเรียนหมอ และหมอแจ๊คก็เรียนได้ ไม่เคยเกี่ยงงอน กลายเป็นเรื่องประทับใจของทุกคนในครอบครัว
“การสูญเสียหมอแจ๊คครั้งนี้ ทำให้ครอบครัวสูญเสียสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แม่รู้สึกว่าเหมือนแม่เสียของรักที่ยิ่งใหญ่ไปจริงๆ วันที่เขาเสียชีวิต ก็ไม่มีลางบอกเหตุ หรือมีลางสังหรณ์อะไรเลย จริงๆ แล้วหมอแจ๊คเป็นคนที่รักตัวเองมากๆ เขาทำงานได้เงินเดือนเดือนละหลายๆ แสน ก็บอกว่าผมจะแบ่งให้แม่ใช้เดือนละ 2-3 แสนนะ คุณแม่จะได้ไม่ต้องทำงาน คือตอนนี้เราทำงานร่วมทุนกับมาเลเซียที่จะสร้างโรงแรมและคอนโดในเมืองไทย” เล่าไปน้ำตาแม่ก็ไหลพรั่งพรูอีกครั้ง
//นาทีที่...สูญเสียลูก
แม้แม่จะพยายามทำใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฟ้าลิขิต และเชื่อว่าวันนี้ลูกชายได้ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว แต่หัวใจเธอก็ยังก่นเศร้าถึงลูกชายอยู่มิวาย
“แม่รู้สึกว่าหมอแจ๊คไปสบายแล้ว อยากจะบอกเขาว่า เขาเกิดมาไม่เสียชาติเกิดจริงๆ เพราะหมอแจ๊คได้ทำดีที่สุดแล้ว ให้กับครอบครัวเรา ยิ่งพอเขาเสียไป เราเพิ่งรู้ว่าเพื่อนฝูงเขาเยอะมาก มาร่วมงานศพกันเยอะมาก เพื่อนๆ เขาหลายคนโทร.เข้ามาหาแม่แล้วก็ร้องไห้กันใหญ่ แต่วันนี้เราทำใจได้ เพราะรู้ว่าเขาไปสบายแล้ว ตั้งแต่เสียไปก็ไม่เคยมาเข้าฝันเหมือนอย่างที่หลายคนเขาเคยฝันเห็นกันเลย”
ทุกวันนี้สิ่งที่คุณแม่ทำให้ลูกชายผู้ล่วงลับได้คือ การสวดมนต์ นั่งสมาธิ และเปิดเทปธรรมะให้ฟังประมาณ 1 ชั่วโมง
“ถ้าแม่ไม่ทำให้เขา ก็ไม่รู้ใครจะทำให้หรือเปล่า ถึงจะมีญาติพี่น้อง มีภรรยา ก็ทำได้ไม่เท่าหัวอกแม่หรอก (ประโยคหลังเสียงเบาราวสะอื้นไห้ในอก) แม่ทำก็เพื่อให้เขาได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดี แม่คิดว่าเขาต้องไปอยู่ในภพภูมิที่ดี ตอนมีชีวิตอยู่ เขาก็ทำบุญไว้เยอะ เช่น ช่วยชีวิตคนไข้ ช่วยเหลือเพื่อนๆ ในยามเดือดร้อน ซึ่งต้องมาเป็นอันดับแรก จนเพื่อนเขาที่มาร่วมงาน ต่างบอกเหมือนกันว่า แม่มีอะไรให้พวกผมช่วย ให้โทร.หาผมได้ตลอด แม่ก็เหมือนเป็นแม่ผมอีกคนหนึ่ง แม่ได้ยินแบบนั้น ก็เหมือนเป็นกำลังใจให้กับเรา แม่ดีใจในความดีของหมอแจ๊คที่มีต่อเพื่อนๆ
“เสียหมอแจ๊คไป ถือเป็นการเสียของรักที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของแม่ ไม่มีอะไรมาชดเชยได้ (น้ำตาร่วง สะอื้นฮัก) แม่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหมอแจ๊คจะอายุสั้น เพราะอนาคตของเขาน่าจะยังไปได้อีกไกล สิ่งสำคัญคือเขามีความตั้งใจสูงกับการทำงานอย่างมาก แม่ไม่เคยคิดว่ามันจะไวขนาดนี้ ถ้าใครเคยสูญเสียแบบแม่ก็คงจะเข้าใจในหัวอกของแม่คนหนึ่งว่า หัวใจปวดร้าวเพียงใด เชื่อไหมว่าแม่อยู่กับเขาตลอดตั้งแต่เขานำร่างของหมอแจ๊คมาส่งที่โรงพยาบาลเดชา และนำส่งไปสแกนสมองที่ศิริราช จนเขาจากไป”
เธอเฝ้าดูอาการของลูกชายตลอดทั้งวันทั้งคืน จนนาทีสุดท้าย หวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น แต่นาทีชีวิตดูเหมือนจะไม่ยอมรั้งรอ ในที่สุดเขาก็จากไป โดยไม่มีโอกาสรับรู้ว่าหัวใจผู้เป็นแม่ที่เฝ้ารออยู่นั้นแหลกสลายไปแล้วเพียงใด
//เป็ดย่าง…อาหารมื้อสุดท้ายที่ต้องรอเก้อ
ก่อนเสียชีวิตเพียง 1 วัน เที่ยงคืนก่อนนั้น หมอแจ๊คโทร.มาคุยกับคุณแม่ว่า ไม่ต้องเป็นห่วง หากเขาเปิดคลินิกใหม่เมื่อไร คุณแม่ก็จะสบายขึ้น หลังจากนั้นก็ปลอบใจ “แม่อ้อย” ในเรื่องต่างๆ อีกหลายเรื่อง
“วันรุ่งขึ้นเขาโทร.มาหาภรรยาเขาว่าจะกลับมากินข้าวเย็นด้วย แม่ก็เลยเตรียมอาหารเอาไว้ให้เรียบร้อย โดยเฉพาะเป็ดย่าง ซึ่งเป็นอาหารโปรดของเขา พอสี่ทุ่มกว่าๆ ก็ได้ข่าวว่าหมอแจ๊คเกิดอุบัติเหตุ แม่ช็อกจนทำอะไรไม่ถูก ในที่สุดเขาก็จากแม่ไปอย่างไม่มีวันกลับ (น้ำเสียงกลั้นสะอื้น)”
เธอเล่าไปก็หยิบของแทนตัวลูกชายขึ้นมาให้ดู อาทิ ปากกาปาร์กเกอร์ซึ่งได้รับพระราชทานจาก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ล็อกเกตพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 หยกลิงจากเมืองจีน หมีหยกและแหวน เธอว่าของเหล่านี้คือของส่วนตัวของเขาที่ทำให้เธอรำลึกได้ว่าทุกวันที่เขาอยู่นั้นเป็นอย่างไร ส่วนเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆ เธอบริจาคให้ผู้อื่นไปจนหมดสิ้น “แม่นึกถึงหมอแจ๊คทีไร ก็นึกว่าเขายังมีชีวิตอยู่เสมอ เขาทำให้กับแม่ตลอด ไม่เคยลืมว่าวันเกิดแม่ทุกวันที่ 21 เมษายน เขาจะพาเพื่อนๆ มาจัดงานวันเกิดให้แม่ พาไปทำบุญให้เด็กกำพร้าบ้านราชวิถี และทำบุญให้คนตาบอดที่โรงเรียนสอนคนตาบอด จนเป็นความรู้สึกว่าหมอแจ๊คยังไม่ได้ไปไหน”
เมื่อ WhO? เอ่ยถามถึงคุณหมอเดชาซึ่งเป็นสามีของเธอและเป็นคุณพ่อของหมอแจ๊ค เนื่องจากมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่ดูจะสูญเสียและโศกเศร้าเสียใจอย่างหนัก ดูจะเป็นคุณแม่ทิพย์สุดาคนนี้มากกว่า โดยไม่เห็นคุณหมอเดชาปรากฏกายเคียงข้างอย่างที่ควรจะเป็น
คุณทิพย์สุดาบ่ายเบี่ยงที่จะเอ่ยถึงประเด็นดังกล่าว เธอบอกแต่เพียงสั้นๆ ว่า
“หมอเดชากับแม่ก็เป็นผู้สูญเสียด้วยกันทั้งคู่ คงไม่มีอะไรที่จะมาแทนความรักตรงนี้ได้ เราคิดกันว่าเรายังมีลูก ยังมีหลานที่จะต้องเลี้ยงดูพวกเขา จะมาฟูมฟายไม่ได้ ก็ต้องทำหน้าที่เดินหน้าต่อไป ทำเพื่อหลาน และเพื่อลูกที่ยังเหลือคนอื่นๆ ด้วย ทุกวันนี้เจอลูกๆ ก็ยังพูดเล่นๆ ว่า หมอแจ๊คเขาไปเที่ยวต่างประเทศนะ เหมือนเป็นการปลอบใจกันและกันมากกว่า หมอเดชาก็จะพูดให้คิดว่า ตอนนี้หมอแจ๊คไปเรียนต่างประเทศก็แล้วกัน อย่าคิดว่าเขาจากเราไป แม้จริงๆ เราต่างก็รู้ว่าหมอแจ๊คจากเราไปแล้วก็ตาม” แม้จะเพียรพยายามบอกตัวเองและคนรอบตัวสักเท่าใดว่า เธอทำใจได้กับการสูญเสีย แต่น้ำตาของผู้เป็นแม่ก็รินไหลไม่ขาดสาย
//ตั้งมูลนิธิหมอแจ๊ค…เพื่อผลิตนักเรียนแพทย์
การสูญเสียที่ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้ ทำให้เธอตั้งใจที่จะชดเชยบางอย่างให้แก่ลูกชาย โดยเธออยากก่อตั้งมูลนิธิให้หมอแจ๊ค เพื่อชดเชยในบางสิ่งที่เคยขาดหายไปในช่วงวัยเด็ก
“ตั้งใจเอาไว้ว่า ชีวิตที่เหลือจะต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด เรายังมีลูกที่ต้องการกำลังใจจากแม่ เราก็ต้องอยู่เป็นกำลังใจให้ลูกๆ ทั้ง 4 คน หลานอีกหลายคน รวมทั้งญาติพี่น้อง สิ่งที่แม่ต้องการทำมากที่สุด หากมีโอกาสได้ทำอะไรสักอย่างหนึ่งคือ อยากตั้งมูลนิธิให้หมอแจ๊ค เพื่อส่งแพทย์เรียน นี่เป็นความตั้งใจที่อยากจะทำให้ลูก ถ้างานแม่ประสบความสำเร็จ ก่อนหน้านี้ก็ได้คุยกับเพื่อนหมอแจ๊คว่า ทุกปีเราอาจจะจัดกิจกรรมอะไรสักอย่างหนึ่ง ได้เงินมาก็จะนำมาสมทบทุนตั้งมูลนิธิ จัดตั้งเป็นกองทุนขึ้นเพื่อช่วยนักเรียนแพทย์ที่ยากจนและขาดทุนทรัพย์ เพราะการเรียนหมอต้องใช้ทุนเยอะมาก
“แม่คิดว่าอย่างน้อยก็เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับหมอแจ๊ค และยังเป็นบุญกุศลที่แม่จะทำให้กับลูกเราได้ ได้สักปีละ 2-3 ทุนก็ยังดี เพื่อส่งให้เรียนจะได้เป็นกำลังใจให้พวกเขา โครงการนี้คงได้พูดคุยกันอีกครั้งในวันครบ 100 วัน ตอนนี้เลยไม่เดินทางไปต่างประเทศ แต่จะปฏิบัติธรรมและอยู่กับเขาจนกว่าจะครบ 100 วัน ที่วัดเทพศิรินทร์ แม่ยังเสียใจที่สมัยก่อนไม่ได้ทำอะไรให้ลูกแจ๊คมากนัก วันนี้แม่เลยขอทำปัจจุบันให้กับเขา ซึ่งแม่เชื่อว่าเขาคงรับรู้ว่าสิ่งที่คุณแม่คุณพ่อ ญาติพี่น้องและเพื่อนๆ ได้ทำอะไรให้กับเขานั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว”
สำหรับเธอ คงไม่อยากค้นหาสาเหตุอีกต่อไปว่า ไฉนลูกชายคนเดียวจึงลาลับก่อนวัยอันควร เพราะสำหรับหัวใจผู้เป็นแม่ที่ยังร่ำไห้นี้ จะอย่างไร เขาก็คือลูกชายผู้เป็นที่รัก...เสมอ
ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ WhO? Magazine ฮู แมกกาซีน
ทุกวันที่ 1 และวันที่ 16 ของเดือน
http://www.whoweeklymagazine.com/
สอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายสมาชิกสัมพันธ์
โทร.086-389-5835
โทรสาร 02-654-7577 02-654-7577
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น