เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง
ภาพ : ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์
แต่งหน้า : บัณฑิต บุญมี
สถานที่ : โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ
สารวัตรเนื้อหอม ฉายาผู้กอง Sorry
พ.ต.ต.พัดธงทิว ดามาพงศ์
ฝันต้นแบบตำรวจไทย...ไม่คอร์รัปชั่น
หลานชาย คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ทายาทตระกูล “ดามาพงศ์” เจ้าของฉายาผู้กอง Sorry กับเส้นทางตำรวจมืออาชีพที่มุ่งมั่นเป็นตำรวจสากลแห่งเอฟบีไอ พร้อมตั้งเป้าเป็น ส.ส.ในสภาหินอ่อนในอนาคต
ชีวิตที่เปลี่ยนไปของ “สารวัตรปืน” พ.ต.ต.พัดธงทิว ดามาพงศ์ สารวัตรฝ่ายอำนวยการ กองบังคับการตำรวจทางหลวง ซึ่งก่อนหน้านี้ตกเป็นข่าวหวือหวาอยู่พักใหญ่เมื่อครั้งสังกัดตำรวจท่องเที่ยวที่สลัดเครื่องแบบสีกากีอันน่าเกรงขามมาโยกย้ายส่ายสะโพกเต้นท่าสุดฮิตจากเพลง Sorry Sorry เลียนแบบ “ซูเปอร์จูเนียร์” วงดนตรีบอยแบนด์ชื่อดังแห่งแดนกิมจิ
กระทั่งมีคนนำออกมาเผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทูบจนโด่งดังชั่วข้ามคืน มีทั้งเสียงตอบรับอย่างชื่นชม โดยเฉพาะผู้กองรูปหล่อหน้าใสคนหนึ่งที่ทำให้กระแสในเว็บพันทิปต่างพากันสนใจ จนมีคำถามว่าตำรวจคนนี้เป็นใคร...สารวัตรเนื้อหอมเปิดใจให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรก
/// พัดธงทิว...นามไพเราะจากคุณย่า
ทายาทชายคนโตของ พงษ์เพ็ชร-เต็มใจ ดามาพงศ์ ซึ่งคุณพ่อของเขาเป็นบุตรคนโตในจำนวนลูก 4 คน ของ พ.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์ กับ พจนีย์ ณ ป้อมเพชร แต่ก่อนที่จะรู้จักเรื่องราวของสารวัตรหนุ่มให้มากยิ่งขึ้น จึงถามถึงที่มาของชื่อ “พัดธงทิว” ที่แปลกไม่เหมือนใคร ซึ่งคุณย่าพจนีย์เป็นผู้ที่ตั้งชื่อให้
“คุณย่าเป็นเจ้าบทเจ้ากลอน จึงตั้งชื่อให้ผมคล้องจองกับ พานทองแท้, พินทองทา, แพทองธาร ส่วนผม พัดธงทิว แปลว่า ธงที่กำลังพัดเป็นทิวปลิวไสว น้องสาวของผม คุณย่าตั้งชื่อให้ว่า พริ้งเพ็ญพักตร์ ชื่อทุกคนจะขึ้นต้นด้วย พ เหมือนกันหมด เพราะคุณย่าชื่อพจนีย์ ลูกๆ ของคุณย่าชื่อ พงษ์เพชร, พล.ต.อ.เพรียวพันธ์, พีระพงศ์ และ คุณหญิงพจมาน” เขาเล่าด้วยใบหน้าฉาบฉายด้วยรอยยิ้ม
ย้อนกลับไปเมื่อ 29 ปีก่อน สารวัตรปืน เกิดที่มลรัฐลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปเรียนต่อปริญญาเอกพอดี จึงทำให้สองครอบครัวสนิทสนมกัน พออายุ 10 ขวบ คุณแม่ย้ายมาอยู่เมืองไทย จึงไปเรียนต่อที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน กระทั่งจบปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงเดินทางไปคว้าปริญญาโท ด้านนโยบายสาธารณะและการจัดการ (รัฐประศาสนศาสตร์) มหาวิทยาลัย เซาว์เทอน์แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และสอบเข้ารับราชการเริ่มจากเป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติด ตามด้วยตำรวจท่องเที่ยว และล่าสุดย้ายมาเป็น ตำรวจทางหลวง
“ตอนที่เรียนผมเห็นเพื่อนๆจบไปจะทำงานแบงก์ ทำงานตลาดหุ้น คนรุ่นใหม่ๆ ไม่มีใครอยากรับราชการ และไม่อยากเป็นตำรวจ ในขณะที่ในครอบครัวของผมมีทั้ง คุณปู่ (พล.ต.อ.เสมอ) และ คุณอา (พล.ต.อ.เพรียวพันธ์) เป็นตำรวจ คุณพ่อก็เรียนจบจากโรงเรียนนักเรียนนายร้อยตำรวจ แต่แรกๆ ครอบครัวก็คัดค้าน ไม่อยากให้เป็นตำรวจ เพราะกลัวผมจะลำบาก
แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าคุณพ่อภูมิใจที่เห็นผมได้เป็นตำรวจ ชอบไปคุยกับเพื่อนๆ ว่าลูกชายเป็นสารวัตรแล้ว ยิ่งเห็นมาเต้นเพลง Sorry Sorry คุณพ่อไม่พูดอะไรได้แต่หัวเราะ แต่คุณพ่อก็บอกว่าเป็นตำรวจไม่จำเป็นต้องไปถึง ผบ.ตร. แค่ผมก้าวหน้าทางอาชีพตำรวจคุณพ่อก็ดีใจแล้ว” เจนเนอเรชั่นใหม่ของครอบครัวที่เดินตามรอยต้นตระกูลในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เล่าน้ำเสียงภูมิใจ
/// ผู้กอง Sorry ขวัญใจสาวแท้และสาวเทียม
เอ่ยถึงลีลานักเต้นสมัครเล่นตามแบบอย่างนักร้องบอยแบนด์แดนดิมจิของนายตำรวจหนุ่ม สมัยที่ยังทำงานเป็นตำรวจท่องเที่ยว ในตำแหน่ง รอง สว.งานสืบสวน กก.4 บก.ทท. บช.ก. จ.เชียงใหม่ ซึ่งโด่งดังจนเป็นข่าวหน้าที่ใครๆ ก็พูดถึง ทั้งที่ความจริงแล้วมิวสิกวิดีโอนี้ทำขึ้นมาเพื่อประกวดในงานเลี้ยงหลังจากร่วมกันฝึกความพร้อม เพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยวหากเกิดเหตุฉุกเฉินในรูปแบบต่างๆ ที่ จ.ระยอง
ภาพนายตำรวจนับสิบคนที่ปรากฎบนคลิปในเว็บไซด์ You Tube ซึ่งมีผู้เข้าชมเกือบล้านคนในเวลาเพียงไม่กี่วัน ทำให้นายตำรวจธรรมดาอย่างเขาโด่งดังจนเป็นที่รู้จักราวกับดาราคนหนึ่ง ไม่ว่าจะออกไปไหน ก็แต่มีคนเข้ามาทักทาย ถึงขั้นมีแฟนคลับตามขอลายเซ็นต์ ถ่ายรูปคู่ จนอดีตคนรักถึงกับบอกเลิก เพราะรับไม่ได้ที่แฟนหนุ่มถูกสาวๆ ห้อมล้อมตลอดเวลา แต่ถึงชีวิตจะต้องเปลี่ยนไปอย่างไร เขาก็ดีใจที่มีแฟนคลับอยู่ทั่วประเทศ
“บางคนเจอตัวขอให้เต้นดูหน่อย ไปกินข้าวก็มีคนมาทัก แรกๆ ผมเองไม่ชิน จะเขินๆ (หัวเราะ) ผมดีใจที่ทุกคนเข้ามาต่างชื่นชม บางคนบอกว่าเต้นน่ารักจังเลยนะ บางคนก็ถามว่าเมื่อไหร่จะมีผลงานใหม่ ผมก็บอกว่าย้ายมาอยู่ตำรวจทางหลวง ออกมาเต้นแบบนั้นอาจไม่ดูเหมาะสม” ผู้กอง Sorry ยิ้มเขิน พลางเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่คลิปโชว์ลีลาบอยแบนด์แดมกิมจิ ถูกเผยแพร่ไปในช่วงแรกๆ มีสาวๆ กระหน่ำโทรศัพท์ไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวทางโทรศัพท์ไม่ขาดสายทีเดียว “ผู้การฯ (พล.ต.ต.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ผบก.ทท.) แซวผมว่าผมเป็นตำรวจที่ทำสาย 1155 ไหม้ไปแล้ว”
นอกจากนี้ยังควบขวัญใจสาวประเภทสองไปอีกตำแหน่ง หลังจากมีคดีที่ต้องเข้าไปจับกุมสาวๆ เหล่านี้ที่เจ้าตัวเล่าอย่างเขินๆ ว่า “ตอนที่ผมไปจับพวกเขาแล้ว ยังไม่ทันได้แจ้งข้อหาเลย เขาก็บอกจับเลยค่ะๆ อยากติดคุก พูดประมาณว่าเขาประทับใจตำรวจอย่างเรา ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง(หัวเราะ) คราวนั้นทำให้ผมปวดหัวจริงๆ”
มิหนำซ้ำบ่อยครั้งที่เขากลายเป็นของขวัญวันเกิดให้กับญาติผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นวันเกิดคุณย่าพจนีย์ คุณหญิงพจมาน ที่เมื่อพบหน้าสารวัตรปืนมักจะขอร้องให้เต้นเพลง Sorry Sorry ให้ดูทุกคราไป
“เดี๋ยวนี้คุณย่า คุณหญิงอา ก็จะขอให้ผมเต้น ผมก็เต้นครับ จนผมไปไหนมาไหน ส่วนใหญ่เขาจะเรียกผู้กอง Sorry ลูกน้องที่ทำงานเห็นผมมาก็จะบอกว่า ผู้กอง Sorry มาแล้ว จน กลายเป็นแบรนด์ติดตัวเลย พอผมเต้นให้ดู เขาก็หัวเราะ ผมเห็นพวกเขามีความสุข ผมก็รู้สึกดี” ว่าจบก็ออกสเต็ปเพลงดังให้ดูกันสดๆ แบบไม่มีเขิน
/// พบเพื่อนตายกลางมรสุมการเมือง
ด้วยนามสกุลพ่วงท้าย จึงไม่แปลกที่สารวัตรปืนจะต้องทนแรงกดดันจากกระแสคลื่นลมของสถานการณ์การเมือง ด้วยความเป็นหลานของพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ และ คุณหญิงพจมาน อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ในขณะเดียวกันสถานการณ์เช่นนั้น ก็ทำให้ได้พบกับเพื่อนแท้ และเพื่อนตาย
“สมัยที่การเมืองยังปกติ ผมมีเพื่อนเป็นร้อยคน เฮไหนเฮนั้น มีปาร์ตี้กันประจำ แต่พอเกิดเหตุการณ์ทางการเมือง ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากเพื่อนร้อยคน วันนี้เหลือเพื่อนสิบคน ไม่ว่าผมจะทุกข์แค่ไหน เพื่อนทั้งหมดนี้จะอยู่กับเราตลอด ถือว่าโชคดีที่ได้พบเพื่อนแท้ ถามว่าแค่นี้ผมมีความสุขไหม มันก็มีความสุขนะ อย่างน้อยเราได้เห็นธาตุแท้ของคน เพื่อนๆ บางคนยังดีใจว่า พอเกิดเรื่องทำให้สนิทกันมากขึ้น” เขาเชื่อว่าการมองชีวิตในมุมบวกทำให้มีความสุขได้ มากกว่าการจมปรักอยู่กับอดีต
/// เป้าหมาย...ฝึกเอฟบีไอ เล็งเส้นทางการเมือง
ใช่ว่าสารวัตรปืนจะมีแต่วีรกรรมสนุกๆ แต่ภารกิจการฝึกเข้มๆ แบบตำรวจเต็มขั้นก็ไม่ใช่เบา เมื่อปีที่แล้วเขาได้ไปร่วมอบรมตำรวจสากล สำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ เอฟบีไอ ตลอดระยะเวลา 20 วัน ที่ฝึกเจ้าตัวบอกว่า ตื่นเต้นเร้าใจสุดๆ และทำให้ได้เห็นมุมมองตำรวจอาชีพแบบเอฟบีไอ ที่ปราศจากการรับส่วย และคอรัปชั่น กระทั่งเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาอยากจะไปฝึกเอฟบีไอที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ตามรอย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. คนปัจจุบัน
“ผมคิดว่าถ้าผมต้องเป็นตำรวจอาชีพ ต้องไปฝึกเอฟบีไอศูนย์ของอเมริกาให้ได้ มันเป็นเป้าๆ หนึ่งที่ผมจะต้องไป ผมอยากไปฝึกเป็นเรื่องเป็นราว ผมไปก็ไม่อยากให้เสียหน้า แต่ก่อนจะไปก็ต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งและพร้อม ตอนนี้กำลังเรียนภาษาจีนจะได้พูดได้ 3 ภาษา (ไทย-อังกฤษ-จีน) จะได้ไม่เสียหน้าตำรวจไทย (ยิ้ม)” น้ำเสียงภาคภูมิใจ พร้อมบอกว่าถ้าได้ไปจะไม่ทำให้เสียชื่อประเทศ
ทว่าก่อนหน้านี้เดิมทีหลัจากเรียนจบกลับมาจากสหรัฐอเมริกา สารวัตรปืนตั้งใจจะรับราชการตำรวจเพียง 1-2 ปี จากนั้นจะไปเป็นนักการเมือง หวังเดินตามรอย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีศักดิ์เป็นอาเขย แต่ด้วยสถานการณ์บ้านเมือง ที่สุดจะคาดเดาจึงทำให้เขาต้องผันตัวเองมาเป็นตำรวจอาชีพในที่สุด
“เห็นการเมืองเป็นแบบนี้ ผมจึงถามตัวเองว่า เราไหวหรือเปล่า ถ้าเป็นนักการเมืองต้องทนรับแรงกดดันได้แค่ไหน ตอนนั้นจบมาใหม่ๆ ไฟยังแรงอยู่ อยากเป็นนักการเมืองหนุ่ม แม้ตอนนี้ไฟจะมอดไปนิดหนึ่ง (หัวเราะ) แต่ในใจก็ยังอยากเป็นนักการเมือง แต่ตอนนี้ขอเต็มที่กับอาชีพตำรวจ อนาคตถ้าได้เป็นนักการเมืองจะได้แข็งแรง และมีประสบการณ์ ทนแรงกดดันได้ ผมคิดว่าอายประมาณุ 40 หรือ 50 อาจเป็นนักเมืองอย่างที่หวังไว้” และทั้งหมดคือตัวตนของ นายตำรวจหนุ่มอนาคตไกลที่มุ่งมั่นตามล่าฝันของเขาต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น