จดหมายฉบับสุดท้าย “เสี่ยอู๊ด” งานสมโภชพระประธานวัดสมบูรณ์ งานเปิดน้ำพุอาคารสิทธิกร และการฉลองอาคารศูนย์มะเร็งฯ ผมก็มีโอกาสดูรูปถ่ายในงาน รู้สึกดีใจที่หลายท่านมาร่วมงาน เพราะยังระลึกถึง พอเสร็จงานนี้ทำให้รู้สึกว่าตัวเองหมดงานแล้ว หรือจะว่าหมดหน้าที่ก็ใช่ ตลอดระยะเวลาที่ทำงานก่อเกิดประโยชน์ต่างๆ รู้สึกเหมือนกันว่า“เหนื่อย” แต่ชีวิตเราก็ต้องทำเพราะรับภาระมาแล้ว ก่อนลงมือทำ มีความสุขมากที่จะได้ทำ ขณะทำมีความสุขมากๆที่ได้ทำตามความนึกคิด ทำเสร็จแล้วก็จะมีความสุขที่สุดเพราะได้เห็นในสิ่งที่ทำ ความสำเร็จนั้นมิใช่เป็นความสุขที่แท้จริง แต่ความสุขที่แท้จริงคือการได้ทำตามใจของตนเอง ในใจคิดแต่จะทำสิ่งดีๆให้เกิดขึ้น แต่มีน้อยคนนักที่จะล่วงรู้ความในใจ ดังนั้นความสำเร็จจึงไม่ได้มาอย่างราบรื่นเสมอไป เคยคิดตลอดว่าชีวิตนี้เราเกิดมาทำไม แต่ก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน รู้แต่ว่าทุกวันนี้ที่มีชีวิตอยู่ ต้องมีหน้าที่ หน้าที่ต่อตนเองและหน้าที่ต่อคนอื่น หน้าที่ต่อตนเองก็มี 1.ต้องสูดลมหายใจ, 2.ต้องรับประทานอาหาร, 3.ต้องขับถ่าย, 4.ต้องป้องกันโรคภัย และ5.ต้องพักผ่อน ส่วนหน้าที่ต่อคนอื่นก็มี 1.ช่วยเหลือตามที่มีคนร้องขอ, 2.ช่วยเหลือตามที่เราคิดช่วยเองและ3.ทำสิ่งที่ก่อเกิดคุณค่าต่อส่วนรวมแบบสาธารณะ หน้าที่ต่อตนเองก็ทำอยู่อย่างปกติ แต่ไม่ให้ความสำคัญเท่าไร จะให้ความสำคัญในหน้าที่ต่อส่วนรวมมากกว่า ดังนั้นจะคิดทำนั้นทำนี่ กิจกรรม กิจการต่างๆจึงเกิดขึ้นมากมาย ถ้าชีวิตเราเอาเงินสะสมสร้างฐานะให้ตนเองมั่นคง ป่านนี้คงรวยมหาศาล แต่ความจริงกลับไม่มีทรัพย์สินเงินทองอะไรเท่าไร ยิ่งหลังจากเกิดคดีความ ต้องรับภาระหนี้สินต่างๆที่เกิดผลกระบทจากการกระทำ และการละเว้นการกระทำของหลวงพ่อวัดสุทัศน์ อย่างมากมาย บางครั้งเคยคิดว่าทำไมเวลาทำสิ่งดีๆเกิดขึ้น ตัวเองต้องรับภาระทั้งหมด แต่เวลาได้ผลงานหลวงพ่อฯกลับได้รับเกียรติ พอเกิดความเสียหายเรากลับต้องมารับผลร้ายแทน ไม่เห็นหลวงพ่อฯจะต้องรับอะไร สร้างพระเครื่องทีไรถ้าประสพความสำเร็จ หลวงพ่อฯจะได้รับการยกย่อง แต่ถ้าไม่ประสพความสำเร็จ หรือเกิดคดีความ ต้องเข้าคุก อย่างเช่นการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว หลวงพ่อฯก็จะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรจากการสั่งการของท่าน พูดถึงหลวงพ่อฯทีไรอดเหนื่อยใจไม่ได้ แต่เอาเถอะถ้าชีวิตของผมต้องดับสูญและทำให้ชีวิตหลวงพ่อฯ กลับสว่างไสวรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้ ผมก็ยินดี หลังจากที่โดนศาลตัดสินให้ต้องโทษ และทราบข่าวว่าหลวงพ่อฯได้รับเลื่อนการสถาปนาเป็น สมเด็จพระราชคณะ ผมรู้สึกดีใจสุดๆเหมือนส่งท่านแล้ว ดีใจที่กีดกันท่านออกจากคดีได้สำเร็จ ความตั้งใจที่อยากเห็นท่านเป็นสมเด็จฯก็สมหวัง ดังนั้นเราก็คงหมดหน้าที่แล้ว แต่ใครๆก็อยากรู้ว่าเรื่องคดีความเกิดขึ้นมานั้น เกิดได้อย่างไร? เรื่องราวบางอย่างเป็นมาอย่างไร? ในจดหมายฉบับสุดท้าย จึงนำความเป็นมาเรื่องต่างๆ มาเขียนในจดหมายให้ทุกท่านทราบ ดังนี้ คดีความการจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว มีที่มาที่ไปตามเหตุการณ์ความจริง ดังนี้ 1.หลวงพ่อวัดสุทัศน์ได้รับดอกไม้พระราชทาน พุ่มใหญ่จากงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อ 8 มิถุนายน 2549 เมื่อดอกไม้เหี่ยวแห้งแล้วจึงมอบให้ข้าฯนำมาทำประโยชน์ต่อ 2.หลวงพ่อวัดสุทัศน์ ในฐานประธานมูลนิธิฯต้องการเงินสร้างอุโบสถ2กษัตริย์ ณ วัดโสดาประดิษฐาราม ในจังหวัดบ้านเกิด 3.หลวงพ่อวัดสุทัศน์ ปรึกษากับข้าฯในการสร้างสมเด็จเหนือหัว ให้มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นมูลนิธิของร.8 วโรกาสที่ ร.8 สวรรคตครบ 60 ปี ตรงกับ ร.9 ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี เช่นเดียวกัน 4.หลวงพ่อวัดสุทัศน์ให้เลขาฯแจ้งเรื่องสร้างพระสมเด็จฯให้ที่ประชุมประจำเดือนของ มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯ ได้รับทราบก่อน ภายหลังมีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ของมูลนิธิฯวันที่ 20 ก.ย.2550 ได้มีบันทึกการประชุมข้อ6.3เรื่องสร้างอุโบสถ 2 กษัตริย์ 5.หลวงพ่อวัดสุทัศน์ลงนามให้บริษัทฯข้าฯ เป็นผู้สร้างและโฆษณา โดยระบุว่า “ พระสมเด็จเหนือหัว สร้างจากดอกไม้พระราชทานเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เพื่อมอบให้ผู้ร่วมสร้างอุโบสถ 2 กษัตริย์” 6.หลวงพ่อวัดสุทัศน์ ในฐานประธานมูลนิธิฯได้ตรวจแก้ข้อความ และลงนามในหนังสือการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตการปลุกเสกพระสมเด็จเหนือหัว ณ วัดพระแก้ว ถึงราชเลขาธิการ โดยมีใจความสำคัญแจ้งเรื่องหลักๆ 3 ข้อที่เกี่ยวข้องกับการครั้งนี้ให้ราชเลขาธิการทราบ ดังนี้ 6.1 ในวโรกาสในหลวงร.8สวรรคตครบ60ปี ตรงกับร.9 ครองราชย์ครบ 60 ปี มูลนิธิฯจะจัดสร้างอุโบสถ 2 กษัตริย์ถวายเป็นพระราชกุศล 6.2 มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯ จะจัดสร้างพระสมเด็จ เหนือหัว ผสมดอกไม้พระราชทานจากเครื่องบูชา กัณฑ์เทศน์งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ซึ่ง ได้รับพระราชทาน ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ใน พระบรมมหาราชวัง วันที่ 8 มิ.ย.2549 6.3 พระสมเด็จเหนือหัว มีความหมายเป็นกุสโลบาย น้อมนำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยเทิดทูนสถาบัน มหากษัตริย์ไว้เหนือหัวเหนือเกล้าตลอดกาล 7. วันที่ 20 ก.ค. 2550 สำนักราชเลขาธิการ ลงเลขที่รับหนังสือจากหลวงพ่อวัดสุทัศน์ไว้แล้ว โดยจนท.ได้เสนอเรื่องให้ราชเลขาฯทราบตามขั้นตอน 8. ข้าฯเสนอให้หลวงพ่อวัดสุทัศน์ ตั้งผู้แทนจากมูลนิธิฯเป็นประธานเพื่อลงนามเรื่องต่างๆแทน แต่ท่านปฎิเสธและพูดว่า “พวกนี้ไม่มีใครเชื่อขี้หน้า ถ้ามีอะไรเอามาให้ท่านลงนามเอง” 9. ข้าฯเสนอให้หลวงพ่อวัดสุทัศน์ เปิดบัญชีรับเงินได้จากการจำหน่ายพระสมเด็จเหนือหัว โดยควรให้มีชื่อเจ้าคุณพระเทพปริยัติเวที ร่วมรับรู้ด้วย แต่ท่านไม่ทำตาม 10. หลวงพ่อวัดสุทัศน์ ลงนามในหนังสือหลายสิบฉบับ ถึงธนาคารฯต่างๆ และวัดสำคัญในประเทศ เพื่อขอความอนุเคราะห์การจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว 11.หลวงพ่อวัดสุทัศน์ลงนามในหนังสือถึงวัดทั่วประเทศเพื่อขอผงมวลสาร มาผสมกับดอกไม้พระราชทานฯ ทำการจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว พร้อมการประกาศทางนสพ.เพื่อขอรับบริจาคผงมวลสารจากประชาชนทั่วประเทศ เช่นกัน 12.หลวงพ่อวัดสุทัศน์ ลงนามขอใช้สถานที่กับวัดระฆังฯ 13.หลวงพ่อวัดสุทัศน์ มาเป็นประธานในพิธีปลุกเสกผงพุทธคุณจากวัดต่างๆทั่วประเทศ ที่วัดระฆังฯ 14.ช่างนำพระสมเด็จเหนือหัว พิมพ์มงกุฎใหญ่ ให้หลวงพ่อวัดสุทัศน์ตรวจดูก่อน และทำพิธีเจิมทั้งหมดสีละ 500 องค์จำนวน 5 สี หลวงพ่อฯขอกล้องส่องพระจากช่างพรหม มาตรวจส่องดูองค์พระแล้งพูดว่า “พระสวยดี” วันนั้นมีพระเถระที่เป็นกรรมการบริหารมูลนิธิฯร่วมพิธี 15.หลวงพ่อวัดสุทัศน์ ลงนามในหนังสือ เพื่อขอทำพิธีปลุกเสกใหญ่ พระสมเด็จเหนือหัว ณ วัดระฆังฯ อีกวาระ 16.หลวงพ่อวัดสุทัศน์ เป็นประธานปลุกเสกพระสมเด็จเหนือหัว วาระ 2 ที่วัดระฆังฯ ก่อนจะนำไปปลุกเสก 5 ภาค หลังจากนั้นท่านเดินทางไปศาสนกิจต่างจังหวัด โดยรถยนต์แล่นผ่านบนทางด่วน ท่านได้โทรมาชมข้าฯว่า “ป้ายโฆษณาพระสมเด็จเหนือหัว ใหญ่สวยงามดี” 17.หลวงพ่อวัดสุทัศน์โทรไปหา เจ้าคุณวัดโคกสมานคุณ อ.หาดใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าคณะภาค 18 ให้นิมนต์พระภาคใต้1,000 รูปเข้าร่วมพิธี ณ วัดพระบรมธาตุ จ.นครศรีธรรมราช 18.หลวงพ่อวัดสุทัศน์ลงนามในฎีกา เชิญเกจิอาจารย์ดังๆ เพื่อเข้าร่วมปลุกเสก ณ วัดหลวงต่างๆ 5 ภาค 19.หลวงพ่อวัดสุทัศน์ โทรคุยกับคุณนรินทร์ ดรุนัยธร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.กรุงไทย เพื่อขอให้เปิดจำหน่ายพระสมเด็จเหนือหัว ณ ที่ทำการธนาคารกรุงไทย ทั่วประเทศ 20. หลวงพ่อวัดสุทัศน์ นำเงินที่ข้าฯถวายไว้ 9 ล้านบาท เพื่อใช้ทำบุญสมโภชวัดฯ 200 ปี มาจัดซื้อที่ดิน ณ วัดโสดาฯ เพื่อเตรียมสร้างอุโบสถ 2 กษัตริย์ 21.ท่านผู้หญิงบุตรีฯ รองราชเลขาธิการ มาพบหลวงพ่อวัดสุทัศน์ เรื่องการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว แต่มาไม่เจอ 22. วันที่ 3 ธ.ค.2550 เปิดจำหน่ายพระสมเด็จเหนือหัว 23. หลวงพ่อวัดสุทัศน์ ขอให้นำพระสมเด็จเหนือหัว มาเปิดจำหน่าย ณ ที่ทำการมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯ 24.หลวงพ่อวัดสุทัศน์ แจ้งข้าฯว่า มีคนทักท้วงเรื่องการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ว่าไม่ถูกต้อง โดยท่านยังสั่งการข้าฯต่อว่า “ให้ทำไปก่อน มีอะไรค่อยว่ากัน” 25.กระแสข่าวเรื่องการสร้างพระสมเด็จเหนือหัวเริ่มไม่ดี ข้าฯแนะนำให้หลวงพ่อวัดสุทัศน์ โทรกลับไปหาท่านผู้หญิงบุตรี เพื่อปรึกษาหารือ ท่านฯรับปากจะโทร 26.ผ่านไป 7 วัน ข้าโทรหาหลวงพ่อวัดสุทัศน์เรียนถามว่า “ท่านโทรหาท่านผู้หญิงบุตรีหรือยังครับ?” หลวงพ่อฯตอบกลับมาว่า “ลืมว่ะอู๊ด ข้าฯแก่แล้วสงสัยหลง” 27.ข่าวเริ่มลงในหนังสือพิมพ์ ข้าฯจึงเรียนถวายหลวงพ่อว่า “อย่าเพิ่งไปประเทศจีนเลย” แต่ท่านปฎิเสธกลับมาว่า “เรารับนิมนต์เขาไว้นานแล้ว” 28.ทางวังออกหนังสือ เพื่อปฏิเสธไม่รู้เห็นกับการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ทำให้ข่าวเรื่องการสร้างสมเด็จเหนือหัว เริ่มจะครึกโครม ทุกคนรอการกลับมาของหลวงพ่อวัดสุทัศน์ ท่านจะว่าอย่างไร แต่ทางกรรมการมูลนิธิฯได้รับคำสั่งของหลวงพ่อฯจากเมืองจีน “ ให้ปลดป้ายโฆษณาพระสมเด็จเหนือหัว ซึ่งติดอยู่หน้าที่ทำการมูลนิธิฯ ลง” 29.คืนวันที่20ธ.ค.2550 หลวงพ่อวัดสุทัศน์ กลับมาจากประเทศจีน ข้าฯรีบโทรหาท่านฯเรื่องแถลงข่าว ท่านตอบรับจะแถลงข่าวที่วัดสุทัศน์ เวลา 13.09 น.ของวันที่ 21 ธ.ค.50 30.คืนนั้น(20ธค.50) มีพระที่สนิทกับหลวงพ่อฯโทรมาแจ้งข้าฯว่า เจ้าหน้าที่สำนักพระพุทธศาสนาฯ มาปรึกษากับหลวงพ่อวัดสุทัศน์ที่กุฎิ ต่อจากนั้นหลวงพ่อฯก็โทรหาข้าฯ และพูดว่า “อู๊ด มีคนจะขอคุยด้วย” จากนั้นมีเสียงผู้ชายพูดอ้างตัวว่าเป็นจนท.สำนักพุทธฯ เป็นชาวระยองบ้านเดียวกับข้า พูดว่า “อู๊ดก็รักหลวงพ่อฯ ดังนั้นอู๊ดรับแทนหลวงพ่อไปก่อนนะ” จากนั้นข้าฯก็พูดไปว่า “อะไร เงินก็ให้ออก งานก็ใช้ แล้วจะให้ข้าฯรับเรื่องแทนอีกหรือ” จากนั้นข้าฯก็วางสายไปด้วยความโกรธ 31.รุ่งเช้าวันที่ 21 ธ.ค.2550 นักข่าวมารอการแถลงข่าวที่วัดสุทัศน์ แต่ไม่มีการแถลงข่าวใดๆ ทราบว่าอธิบดี ดีเอสไอ ห้ามหลวงพ่อฯแถลงข่าว 32.วันที่ 22ธ.ค.2550 ข้าฯจุดธูปที่หิ้งพระบนตึกช้าง แล้วลงมาแถลงข่าว เพื่อประกาศให้รู้ว่า มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์สั่งการให้บริษัทของข้าฯจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว และข้าฯก็แจ้งว่า คืนนี้ข้าฯจะต้องพาพนง.เดินทางไปท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่น เพราะเตรียมการมา 3 เดือนแล้ว 33.หลังจากแถลงข่าว ข้าฯกลับห้องพักตึกช้าง ชั้น31 พบว่าธูปที่ข้าฯจุดในกระถาง ไฟไหม้หมด ข้าฯตกใจ จากนั้นข้าฯก็เตรียมตัวออกเดินทางไปสนามบินเพื่อพาพนง.ไปญี่ปุ่น 34.ที่สนามบิน ตำรวจจำนวนมากมาล้อมจับข้าฯ โดยหลังจากนั้นมีการนำเสนอข่าวออกทีวี ว่าข้าฯจะหลบหนีไปต่างประเทศ 35.ข้าฯได้ประกันตัว กลับมาบ้านมีคนโทรมามากมายเพราะเป็นห่วง แต่ไม่มีสายโทรจากหลวงพ่อวัดสุทัศน์แม้แต่สายเดียว 36.ดีเอสไอ ทำหนังสือมาขอให้ข้าฯ แสดงหลักฐานการได้รับอนุญาตสร้างพระสมเด็จเหนือหัว จากหลวงพ่อวัดสุทัศน์ในนามมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯ แต่ข้าฯปฎิเสธที่จะมอบให้ เพราะข้าฯกลัวว่าหลวงพ่อวัดสุทัศน์จะโดนดำเนินคดีไปด้วย ในฐานะผู้ลงนามสั่งการให้ข้าฯดำเนินการแทนทั้งหมด 37.วันที่ 9 มิย. พ.ศ.2551 คล้ายวันสวรรคตในหลวงร.8 จนท.ดีเอสไอ ส่งฟ้องข้าฯเพียงคนเดียวต่อสนง.อัยการสูงสุด ในคดีสร้างพระสมเด็จเหนือหัว “ข้าฯดีใจเป็นที่สุด” เพราะข้าฯกีดกันหลวงพ่อวัดสุทัศน์ให้พ้นจากคดีนี้ไปได้ วันนั้นเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหวหลายครั้ง อธิบดีอัยการฯพิเศษ ยังพูดว่า “คดีเสี่ยอู๊ด ดังจริงๆ” 38.วันที่ 20 มิย. 2550 อัยการฯมีความเห็นสั่งฟ้องข้าฯในคดีการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ระหว่างทางไปศาลอาญาอัยการรุจ พูดกับข้าว่า “ที่ต้องสั่งฟ้องข้าฯเพราะคำให้การของหลวงพ่อวัดสุทัศน์ และนายสมชาย จันทร์วังโส ที่ปฎิเสธว่ามูลนิธิฯไม่เกี่ยวข้อง” ท่านอัยการยังพูดต่ออีกว่า “แต่แปลกที่ไม่เห็นอู๊ดจะให้การใดๆ ทำให้หลวงพ่อวัดสุทัศน์เสียหายแม้แต่คำเดียว” จากนั้นก็เดินไปถึงศาล และศาลไม่ให้ประกันตัว ข้าฯต้องเข้าเรือนจำตั้งแต่วันนั้น ทำให้เป็นข่าวอึกทึกครึกโครมทั้งประเทศ 39.ต่อมามีคนมาเยี่ยมข้าฯที่เรือนจำมากมาย แต่ข้าฯแปลกใจทำไมตั้งแต่วันที่ข้าฯถูกจับ จนถึงวันที่เข้าคุก และขณะที่อยู่ในคุก(ถูกจับ20ธ.ค.50ถึงวันนี้ที่อยู่ในคุก20ธ.ค.53)รวมเวลา 3 ปีเต็ม กลับไม่เห็นแม้เงาหลวงพ่อวัดสุทัศน์จะมาเยี่ยม หรือจะส่งให้ใครมาเยี่ยมเยียน หรือจะสอบถามเรื่องสารทุกข์สุกดิบของข้าฯเลย 40.ระหว่างที่นัดไปสืบคดีในชั้นศาล ข้าฯได้เห็นเอกสารคำให้การของหลวงพ่อวัดสุทัศน์ ที่ท่านฯแอบให้การไว้กับดีเอสไอ ถึง 2 ครั้ง ใจความว่าว่า 40.1“ท่านไม่รู้เห็นเกี่ยวกับการนำดอกไม้พระราชทาน มาใส่ในพระสมเด็จเหนือหัว” 40.2“ท่านไม่รู้เห็นเรื่องการนำมงกุฎมาใส่หลังองค์พระ สมเด็จเหนือหัว” 40.3“ท่านไม่รู้เห็นเกี่ยวกับการโฆษณาจัดสร้าง และ การจำหน่ายพระสมเด็จเหนือหัว” 40.4ท่านให้การสุดท้ายว่า “นายสิทธิกร บุญฉิม ทำ ให้ท่าน และมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯเสื่อม เสียชื่อเสียง แต่ท่านเป็นพระไม่ขอเอาผิดติด ใจจะเอาความ” 41.จากคำพิพากษา ศาลยอมรับว่า 41.1มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯ สั่งการให้ข้าฯจัดสร้าง พระสมเด็จเหนือหัว จริงๆ เพราะมูลนิธิฯ ได้มีจด บันทึกการประชุมใหญ่ และนำไปจดทะเบียนเก็บ ไว้ที่สนง.เขตพระนคร เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2550 41.2หลวงพ่อวัดสุทัศน์เกี่ยวข้องกับการสั่งสร้างจริงๆ 41.3หลวงพ่อวัดสุทัศน์ให้ดอกไม้พระราชทานข้าจริง 41.4ข้าฯโฆษณาเรื่องสร้างอุโบสถ2กษัตริย์ไม่เป็นการ หลอกลวงประชาชน เพราะมีการดำเนินการสร้าง จริง และข้าฯได้รับข้อมูลให้หาทุนสร้างอุโบสถ2 กษัตริย์จากมูลนิธิฯจริงๆ 41.5มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯ ได้เงินจากการให้บูชา พระสมเด็จเหนือหัว จากข้าฯไปจริง เงินดังกล่าว อยู่ในบัญชี4ธนาคารฯ ชื่อของหลวงพ่อวัดสุทัศน์ 42. แต่คำพิพากษาระบุเอาผิดแก่ข้าฯ ว่าการโฆษณาใช้ดอกไม้พระราชทานฯ และการใช้ตรามงกุฎ ในการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ของมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯนั้น นายสิทธิกร ไม่ขอพระบรมราชานุญาต จากสำนักราชเลขาธิการก่อน ทั้งๆที่ศาลก็ยอมรับว่า หลวงพ่อวัดสุทัศน์เป็นผู้ลงนามสั่งการและเป็นผู้ขออนุญาต เรื่องเกี่ยวกับการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว กับคนอื่นและหน่วยงานต่างๆ โดยที่ข้าฯไม่มีอำนาจและไม่มีตำแหน่งใดๆในมูลนิธิฯที่สามารถจะลงนามได้ 43.จากคำฟ้องของดีเอสไอและสนง.อัยการสูงสุด ในคดีการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ตั้งแต่เริ่มแรกระบุกล่าวหาว่า 43.1ข้าฯโฆษณาเกินความจริง โดยฉ้อโกงหลอกลวง ประชาชนเรื่องสร้างอุโบสถ 2 กษัตริย์ 43.2ข้าฯไม่ได้ใส่ดอกไม้พระราชทานในพระสมเด็จฯ 43.3การสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ไม่เกี่ยวข้องกับ มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯ(มูลนิธิฯในรัชกาลที่8) กล่าวหาว่าข้าฯแอบอ้างชื่อมูลนิธิฯหากิน 43.4สำนักพระราชวัง และสำนักราชเลขาธิการ 1.ไม่เคยรู้เรื่อง การนำดอกไม้พระราชทานจากเครื่องกัณฑ์เทศน์ฯมาจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ,2.ไม่รู้เรื่องการสร้างอุโบสถสองกษัตริย์ของมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯ 44.จากคดีพระสมเด็จเหนือหัว ได้เกิดผลเสียดังนี้ 44.1ทำให้ข้าฯต้องเสียชื่อเสียงที่สร้างสมมา 44.2ทำให้ข้าฯสูญเสียอิสรภาพจนทุกวันนี้ 44.3ทำให้ธุรกิจของข้าฯต้องล่มสลายทั้งระบบ 44.4โครงการสร้างอุโบสถ2กษัตริย์ เพื่อถวาย ร.8-ร.9 ต้องพังทลาย พร้อมการสร้างโรงเรียนวัดโสดาฯ 44.5ทำให้หลวงพ่อวัดสุทัศน์ เสียความเป็นผู้ใหญ่ โดยขาดคุณธรรมที่เรียกว่า“เทวธรรม” จนต้อง ล้มป่วยหนักจนทุกวันนี้ 44.6ทำให้โครงการต่างๆที่ข้าฯสร้างสาธารณะกุศล ต้องยุติล้มเลิกเกือบทุกโครงการ 44.7วงศาคณาญาติของข้าฯต้องอับอายเพราะเสื่อม เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล 44.8นักเรียนทุนที่ข้าฯส่งให้เล่าเรียนต้องขาดเงินทุน เล่าเรียนต่อ บางคนต้องลาออก 44.9ทำให้คู่ค้าที่ต้องได้รับเงินค่าผลิต ต้องขาดทุน เพราะไม่ได้รับเงินค่าชำระ 44.10ทำให้คนเสื่อมศรัทธาในตัวหลวงพ่อวัดสุทัศน์ 44.11ทำให้มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯต้องขาดความ น่าเชื่อถือ เพราะไม่มีรับผิดชอบต่อบันทึกการ ประชุมใหญ่ที่ลงมติไปแล้วเมื่อ20ก.ย.2550 45.คดีการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว เกิดเรื่องมาจาก 45.1ความอิจฉาของพลเอกนิพนธ์ ซึ่งเคยเป็นผู้จัดเวรราชองค์รักษ์ ได้ร่วมกับพรรคพวกเอาชื่อพลเอกพิจิตร องค์มนตรี เป็นประธานสร้างพระพุทธชินราช รุ่นพ่อ แล้วออกจำหน่ายชนกับการสร้าง พระพุทธชินราช เหรียญพ่อ-เหรียญแม่ ที่ข้าฯสร้างให้ศูนย์มะเร็ง ทำให้พลเอกท่านนี้และคณะอ้างว่าขาดทุนไม่มีเงินนำขึ้นทูลเกล้าฯ เลยพาล ข่มขู่รีดไถเรียกร้องเอาเงินค่าเสียหาย 30 ล้าน จากศูนย์มะเร็ง ลพบุรี และหลวงพ่อวัดสุทัศน์ เมื่อไม่ได้เงิน 30 ล้านบาท ก็จึงใช้บารมีของพรรคพวกในวัง กลั่นแกล้งทำให้การจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว เกิดเป็นคดีขึ้นครั้งแรก 45.2ความอิจฉาริษยาของนายสัมพันธ์ และนายประเสริฐ ที่โกรธและอาฆาตแค้นข้าฯเป็นการส่วนตัวมาตั้งแต่พ.ศ.2543 จึงพยายามใช้บารมีของ พลโท นายแพทย์ธำรงรัตน์ (สามีคุณหญิงยี่ภู่) ที่ชอบแอบอ้างบารมีจากวัง โดยมาโทรจี้ และคอยสั่งการนายจรัล และอธิบดีศาลอาญา ให้ดำเนินคดีเป็นเรื่องราวใหญ่โต 45.3ความโลภของ รองสมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่ง ที่อยากขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ก่อนหลวงพ่อวัดสุทัศน์ จึงใช้กลวิธี ทำทุกวิถีทางพูดให้ข้อมูลในทางที่เสียหายกับคนระดับสูงในวัง เพื่อจะทำให้หลวงพ่อวัดสุทัศน์ ต้องคดีความเป็นมลทิน จะได้สกัดกั้นการขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ของหลวงพ่อวัดสุทัศน์ 45.4ความพยาบาทผูกใจเจ็บ ของนักข่าวพระเครื่อง, นักสร้างพระเครื่อง ,อดีตพระครู และเจ้าคุณบางองค์ภายในวัดสุทัศน์ ซึ่งคนทั้ง 4 กลุ่ม ต่างโกรธแค้นหลวงพ่อวัดสุทัศน์ ที่ท่านให้ข้าฯ ได้สร้างพระกริ่งวัดสุทัศน์ หลายต่อหลายรุ่น 45.5กลุ่มข้าราชการ ของกระบวนการยุติธรรมไทย ทีหมายเอาผลประโยชน์จากการทำคดีเสี่ยอู๊ด เพราะทุกคนคิดว่าข้าฯรวย อย่างไรเสียต้องได้เงินบ้าง อย่างเช่น การปลดอายัดเงิน ข้าฯต้องเสียเงินค่าดำเนินการ 13 ล้านบาท ผ่านทางทนายความของอดีตนายกทักษิณ ให้อธิบดีฯจึงทำให้ได้เงินคืนบางส่วน 45.6เพราะหลวงพ่อวัดสุทัศน์ ที่กลัวคดีความจะเป็นมลทินไม่ได้ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ จึงโยนความผิดให้ข้าฯคนเดียว 45.7หลวงพ่อวัดสุทัศน์ และกรรมการมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯ ที่จะเอาแต่เงินและผลงานอย่างเดียว แต่ไม่แสดงความกล้า ที่มีมติในบันทึกการประชุมใหญ่ให้จัดสร้าง แต่ปฎิเสธ จึงทำให้จนท.ดีเอสไอ เข้าใจว่าข้าฯแอบอ้างชื่อมูลนิธิฯ 45.8เพราะหลวงพ่อวัดสุทัศน์ ไม่เห็นแก่ข้าฯ ที่เคยสร้างคุณูปการ ให้ท่านได้มีผลงานต่อสาธารณะชนมากมาย 45.9เพราะหลวงพ่อวัดสุทัศน์ ที่ลงนามสั่งการตามเอกสารให้ข้าฯจัดสร้างแทน, ให้ข้าฯโฆษณา และให้ข้าฯใช้ดอกไม้พระราชทานฯใส่พระรุ่นนี้ เมื่อโยนคดีให้ข้าฯรับผิดแทนทั้งหมดแล้ว กลับไม่ออกตัวปกป้อง ไม่เคยช่วยเหลือ แต่ กลับกล่าวร้ายว่าข้าฯ ทำให้ท่านและมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งๆที่ผ่านมาข้าฯต้องเหนื่อยยากหาเงินให้มูลนิธิฯ ได้มีทุนจนครบ 100 ล้านบาท “ พระสมเด็จเหนือหัว ” คือ.. 1. อนุสรณ์ แห่งดอกไม้พระราชทานการทำบุญงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ซึ่งจนท.สำนักราชเลขาธิการ แจ้งต่อศาลว่า “ถวายให้พระสงฆ์เป็นเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ฯ มิใช่ถวายเพื่อการอื่น ดังนั้นถ้าพระสงฆ์จะเอาดอกไม้ที่ทรงพระราชทานแล้วไปทำการอื่นต่อ ต้องขออนุญาตก่อนอีกครั้ง” 2. อนุสรณ์ความบาป ของกลุ่มผู้มีอำนาจ ที่รุมเล่นงานหลวงพ่อวัดสุทัศน์ เพราะความโลภ ความอิจฉาริษยา โดยมีข้าราชการของกระบวนการยุติธรรมไทย ร่วมกันนำกฏหมายมาเป็นเครื่องมือ ทำให้ข้าฯต้องรับกรรมแทน 3. อนุสรณ์การแสดงบทบาท ของหลวงพ่อ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม 4. อนุสรณ์แห่งน้ำใจ-ไมตรี จากหน่วยงาน, องค์กร, พระเถระ,นักเรียน,ญาติพี่น้อง,บุคคลต่างๆและผู้ใหญ่ ที่เคยได้รับคุณูปการจากข้าฯ สิ่งต่างๆที่ข้าฯได้สร้างคุณูปการ ให้เป็นผลงานแก่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม มีดังนี้ 1.หาเงิน 13.9 ล้านบาท มอบให้ท่านฯ ได้บูรณะถนนภายในเขตสังฆาวาสและจัดระบบสายไฟฟ้าลงใต้ดิน 2.ตั้งกองทุนการศึกษา ให้ท่านฯได้มอบเงินทุน ส่งเด็กนักเรียนได้ศึกษาในระดับชั้นที่สูงขึ้น 3.หาเงินมอบให้ท่านฯได้จัดทำบุญใหญ่ ครบ 100 ปีเกิด สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม) 4.หาเงินให้ท่านฯบริจาคสร้างอาคารภัททจารีมหาเถร ณ โรงเรียนจันทร์ทองเอี่ยมมูลค่า 4 ล้านบาท 5.พูดขอเงิน 4 ล้านบาท จากวัดนาคราช ให้ท่านฯได้สร้างศาลาบำเพ็ญกุศล เพื่อใช้รับเสด็จงานพระราชทานเพลิงศพโยมมารดาของท่านฯ ณ วัดโสดาประดิษฐาราม จ.ราชบุรี 6.หาเงิน 85 ล้านบาท มอบให้ท่านฯทูลถวายสมเด็จพระบรมฯ เพื่อพระราชทานให้สร้างอาคารหอฉัน มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 7.หาเงินจัดทำบุญให้ท่านฯเมื่อมีอายุครบ 71 ปี ณ วัดสุทัศนเทพวราราม 8.มอบเช็คเงิน 5 ล้านบาท มอบให้ท่านฯ ได้ถวายส่วนพระองค์ แก่สมเด็จพระบรมฯ 9.หาเงิน 10 ล้านบาท มอบให้ท่านฯได้ทูลถวาย สมเด็จพระเทพฯ เพื่อสมทบทุนโรงพยาบาลศิริราช 10.หาเงิน 12 ล้านบาทเศษ มอบให้มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯ ครบ 100 ล้านบาท ตามความประสงค์ของท่านฯ 11.หาเงิน 5 ล้านบาท มอบให้ท่านฯได้บริจาคทำบุญมอบให้วัดสุวรรณรังสรรค์ อ.บ้านฉาง ในงานกฐินที่บ้านข้าฯ 12.หาเงิน 1 ล้านบาท มอบให้ท่านฯทำบุญถวาย ท่านปัญญานันทภิกขุ สร้างอาคารในมหาจุฬาฯ 13.หาเงิน 2 ล้านบาท มอบให้ท่านฯ ทูลถวายมูลนิธิพอสว.และถวายส่วนพระองค์สมเด็จพระพี่นางเธอฯ 14.หาเงิน 100 ล้านบาท ระบุให้ท่านฯมีชื่อเป็นประธานอุปถัมภ์ สร้างหอประชุม มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 15.หาเงิน 12.5 ล้านบาท มอบให้ท่านฯทำบุญบริจาคพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 16.หาเงิน 94 ล้านบาท ระบุให้ท่านฯเป็นผู้อุปถัมภ์หาทุนให้สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ทำให้ท่านฯได้รับพระราชทานโล่ มหิดลวรานุสรณ์ จากสภาสังคมฯ 17.หาเงิน 9 ล้านบาท มอบให้ท่านฯเก็บไว้ทำบุญถวายพระเถรานุเถระ ที่เชิญมาร่วมงานสมโภชพระอาราม 200 ปี แต่ท่านฯนำไปจัดซื้อที่ดินให้ วัดโสดาประดิษฐาราม เพื่อเตรียมย้ายโรงเรียนสร้างใหม่ จักได้สร้างอุโบสถ2กษัตริย์ในที่ดินเดิมของโรงเรียนฯ 18.มอบเงินสด 6 ล้านบาท ให้ท่านฯได้ทำบุญกู้หน้าแทนคณะสงฆ์วัดสุทัศนเทพวราราม ที่ไปรับปากจะเป็นเจ้าภาพสร้างอาคารสำนักงานเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อเป็นอนุสรณ์ 200 ปีวัดสุทัศน์ แต่คณะสงฆ์วัดสุทัศน์ขาดทุนจากการสร้างพระกริ่งสมโภชวัดฯครบ 200 ปี จึงไม่มีเงินให้คณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ 19.หาเงิน 130 ล้านบาท ให้ท่านได้เป็นประธานอุปถัมภ์ การสร้างอาคาร ณ ศูนย์มะเร็ง ลพบุรี โดยก่อนหาเงินมาได้ ท่านฯขอร้องให้ข้าฯไปเยี่ยมชมศูนย์มะเร็งฯ เพื่อหาแนวทางการหาเงินมาสร้างอาคารฯ ภายหลังเมื่อหาเงิน130ล้านบาทได้แล้ว ศูนย์มะเร็งได้ทูลเชิญพระองค์โสมฯวางศิลาฤกษ์ หลวงพ่อวัดสุทัศน์จึงไปรับเสด็จฯ ในฐานะผู้อุปถัมภ์การหาเงิน เพื่อก่อสร้างเพียงคนเดียว โดยไม่ชวนข้าฯไปร่วมงาน 20.มอบเงินสด 1 ล้านบาท ให้ท่านฯได้ทำบุญนพเคราะห์ถวายพระราชกุศลแก่ในหลวง ณ วัดสุทัศน์ 21.มอบเงิน 2 ล้านบาท ให้ท่านฯบริจาคทำบุญช่วยเหลือกิจการของโรงพยาบาลสงฆ์ 22.มอบเงิน 1 ล้านบาท ให้ท่านฯทำบุญถวายเจ้าอาวาสวัดพระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก 23.มีหน้าที่จัดพระเครื่องอันล้ำค่าให้ท่านฯ เพื่อมอบให้ผู้อื่นในโอกาสต่างๆ สิ่งที่ข้าฯผิดหวัง จากการกระทำและคำพูดของ พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม มีดังนี้ 1.เวลานำเงินที่ข้าหามาด้วยความเหนื่อยยาก เพื่อให้ท่านนำไปทำบุญต่างๆ ท่านไม่เคยแจ้ง หรือกราบทูล ให้ผู้รับเงินได้ทราบ ว่าเป็นผลงานของข้าฯ หรือจะเอ่ยชมข้าฯให้ใครรับทราบก็ไม่มี 2.เมื่อครั้งที่พระราชพิพัฒน์โกศล ผู้แทนของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แจ้งท่านว่าจะขอเครื่องราช อิสริยาภรณ์ชั้น ปฐมดิเรกคุณาภรณ์(สายสะพาย)ให้ข้าฯ เพื่อเป็นรางวัลที่ข้าฯเหนื่อยหาเงินสร้างหอฉัน หลวงพ่อวัดสุทัศน์กลับไม่ยินดี โดยพูดกับข้าฯว่า “จะเอามาทำไม จะเอาไปใส่โชว์ที่ไหน” 3.เมื่อครั้งที่ข้าฯจะแสดงความกตัญญู จัดงานพิธีฉลองและบรรจุอัฐิธาตุ ให้คุณย่าปุ่น บุญฉิม ข้าฯมาขอให้ท่านทำหนังสือขอรับพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ ให้แก่งาน เพื่อเป็นเกียรติแก่คุณย่าที่ท่านสั่งสอนข้าฯมา และเป็นเกียรติแก่สกุลบุญฉิม แต่หลวงพ่อฯท่านปฏิเสธ โดยพูดกับข้าฯว่า “เรามีหน้ามีเกียรติอะไรจะไปขอเขา” ข้านั่งฟังแล้วเสียใจเป็นที่สุดถึงกับน้ำตาไหล และข้าฯพูดตอบกลับไปว่า “ผมไม่มีเกียรติอะไรหรอกครับ เพราะหลวงพ่อฯไม่เคยขอเกียรติอะไรให้เลย แต่งานนี้ผมจะขอเกียรติให้คุณย่าที่ตายไปแล้ว คุณประโยชน์ที่ผมทำไว้มากมาย พ่อแม่,ตายายและปู่ไม่มีใครเคยรู้ มีแต่ย่าที่เคยเห็นผมทำแต่สิ่งใหญ่ๆ แม้ผมจะไม่มีศักดิ์ที่จะขอได้ แต่มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ฯ ก็ได้เงินครบ100ล้านจากผมไป ซึ่งหลวงพ่อฯไม่เคยยกย่องผมเลย ผมทำคุณประโยชน์ให้คนอื่น เขายังขอเกียรติยศให้” 4.เมื่อแรกเกิดคดีความพระกริ่งเส้าหลิน มีลูกศิษย์ท่านซึ่งมาหลอกให้ท่านและข้าฯ ช่วยขายพระกริ่งจากประเทศจีน พอเป็นคดีความว่าหลอกลวงประชาชน ข้าฯแจ้งกลับมาจากอังกฤษ ว่าท่านฯอย่าเชื่อใคร ให้รอข้าฯกลับมาก่อน สุดท้ายท่านไม่เชื่อข้า ท่านได้ลงนามย้อนหลังรับเป็นผู้สั่งผลิตพระกริ่งเส้าหลินว่าหล่อในเมืองไทยเป็นเหตุให้ท่านโดนดำเนินคดี ข้าฯต้องวิ่งเต้นเกือบตาย กว่าท่านจะหลุด 5.เมื่อครั้งสร้างพระกริ่งหลวง หาเงินทุน 94 ล้านบาทด้วยความเหนื่อยยาก ให้สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ท่านไม่ยินดีที่จะให้เปิดอุโบสถจัดพิธี แต่ข้าฯอ้างว่าเราต้องพึ่งประธานสภาฯในการวิ่งคดีพระกริ่งเส้าหลิน ท่านจึงยอมเปิดให้ เมื่อได้เงิน 94 ล้านบาทให้สภาสังคมฯแล้ว ข้าฯพูดกับประธานสภาฯว่า หลวงพ่อวัดสุทัศน์เป็นห่วงกลัวสภาฯสร้างพระกริ่งไม่ได้เงิน สภาสังคมสงเคราะห์ฯจึงขอพระราชทานโล่ มหิดลวรานุสรณ์ให้หลวงพ่อฯ โดยข้าฯเป็นผู้รวบรวมประวัติและผลงาน เมื่อต้องเข้าเฝ้ารับพระราชทานฯ หลวงพ่อฯไม่ชวนข้าฯไปด้วยเลย 6.เมื่อก่อนเกิดคดีการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ท่านโทรมาหาข้าฯและให้ใครไม่รู้พูดกับข้าฯ เพื่อให้รับผิดแทนท่านไปก่อน ข้าฯเสียใจมากๆ ทำไมท่านไม่พูดกับข้าฯเอง ทั้งๆที่ท่านก็สนิทกับข้าฯ 7.เมื่อเกิดคดีการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ข้าฯโดนจับเป็นข่าวใหญ่โต มีคนโทรมาให้กำลังใจมาก แต่ท่านไม่โทรมาหาข้าฯเลย ท่านไม่ถามสารทุกข์สุกดิบแม้แต่คำเดียว 8.เมื่อข้าฯ ตกเป็นจำเลยในคดีสมเด็จเหนือหัวแล้ว ช่วงนั้นเงิน130ล้าน ที่ข้าฯหาให้สร้างตึกศูนย์มะเร็งฯได้แล้ว ฝ่ายหลวงพ่อก็ไปลพบุรี เพื่อเข้าเฝ้าพระองค์โสมสวลี วันวางศิลาฤกษ์ ในฐานะผู้อุปถัมภ์การหาเงิน โดยท่านไม่พาข้าฯไปร่วมงาน ไม่เหมือนทีแรกที่ขอร้องข้าฯให้ไปดูศูนย์มะเร็ง เพื่อหาวิธีหาเงิน และท่านก็ไม่บอกกับใครๆให้รับรู้ ว่าข้าฯเป็นคนที่เหนื่อยกับการหาเงินก้อนนี้จนต้องโดยแกล้ง 9.ข้าฯไม่ยอมยื่นเอกสารที่ท่านลงนามสั่งการ ให้จัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ซึ่งมีระบุว่า “ใส่ดอกไม้พระราชทานจากเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์” เพราะข้าฯกลัวว่า ดีเอสไอจะสั่งฟ้องหลวงพ่อฯ เมื่อข้าฯไม่ยื่นเอกสารนี้แล้วทำให้ท่านพ้นจากคดีการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว แต่ภายหลังที่ข้าฯเข้าคุกแล้ว ข้าฯต้องไปศาล ทำให้ข้าฯได้เห็นคำให้การที่หลวงพ่อฯท่านปฏิเสธความรับผิดชอบ และยังกล่าวร้ายแก่ข้าฯ ทำให้ข้าฯต้องแพ้คดีความ ข้าฯเสียใจเป็นที่สุด 10.ตั้งแต่ข้าฯ เข้าคุกเพราะปกป้องท่านแล้ว ท่านไม่เคยมาเยี่ยม ไม่เคยส่งใครมาเยี่ยม ไม่เคยยื่นมือมาช่วยเหลือ ในยามที่ข้าฯตกต่ำลำบาก 11.เมื่อท่านสุขสมหวัง ได้รับการโปรดเกล้าสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะแล้ว ท่านเอาผลงานที่ข้าฯหาเงินต่างๆ จัดพิมพ์เผยแพร่ประกาศให้เป็นผลงานของท่านโดยไม่นึกถึงข้าฯเลย ในคดีความการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ตัวข้าฯก็มีความผิดมิใช่น้อย ความผิดที่ว่า คือ 1.ข้าฯผิดเอง ที่ไม่ควรคิดหาเงินให้หลวงพ่อวัดสุทัศน์ ได้จัดสร้างอุโบสถ 2 กษัตริย์ และสร้างอาคารใหม่ให้โรงเรียนวัดโสดาประดิษฐานราม เพื่อเป็นผลงานการสร้างมหากุศลไว้ที่บ้านเกิดของหลวงพ่อฯ 2.ข้าฯผิดเอง ที่ไม่ควรคิดนำดอกไม้พระราชทาน จากเครื่องกัณฑ์เทศน์งานฉลองสิริราชสมบัติฯ ที่หลวงพ่อฯให้ มาผสมใส่ในองค์พระสมเด็จเหนือหัว เพื่อหวังให้เป็นการทำกุศลดีกว่าเอาไปทิ้งถังขยะ และไม่ควรหวังดีอยากให้ประชาชนได้มีพระเครื่องที่มีดอกไม้นี้ โดยไม่ได้ให้หลวงพ่อฯ ทำการขอพระบรมราชานุญาต ให้ถูกต้องก่อน 3.ข้าฯผิดเอง ที่ไม่ควรคิดเอาตรามงกุฎมาใส่ หลังพระสมเด็จเหนือหัว เพราะเพียงหวังอยากให้ชาวไทย รวมเทิดทูนรักสถาบันไปนานๆ และหวังให้สัญลักษณ์แห่งองค์เหนือหัว อยู่คู่องค์พระสมเด็จฯสืบไปเป็นพันๆปี โดยไม่ได้ให้หลวงพ่อฯ ทำการขอพระบรมราชานุญาต ก่อน 4.ข้าฯผิดเอง ที่ไม่ควรคิดสร้างอุโบสถให้เป็นอนุสรณ์แก่ 2 พระมหากษัตริย์ โดยไม่ได้ให้หลวงพ่อฯทำการขอพระบรมราชานุญาต ก่อน 5.ข้าฯผิดเอง ที่ไม่ประสานงานให้ดี โดยไม่บังคับและควบคุมให้หลวงพ่อวัดสุทัศน์ได้กระทำในสิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับการขออนุญาตต่างๆ จึงเป็นเหตุให้เกิดช่องแห่งความผิดเป็นแผลให้โดนเล่นงานได้ 6.ข้าฯผิดเอง ที่ไม่จ่ายเงิน 30 ล้านบาท ให้กลุ่มพลเอกนิพนธ์ ที่มาข่มขู่เรียกร้อง จึงทำให้เขาโกรธแค้นเล่นงานภายหลัง 8.ข้าฯผิดเอง ที่ไม่ประสานใจและประสานผลประโยชน์ กับกลุ่มต่างๆทำให้ทุกกลุ่มรุมเล่นงาน ใช้ช่องทางและอำนาจบารมี จี้ จนท.ขบวนการยุติธรรมไทยให้ดำเนินคดี 9.ข้าฯผิดเอง ที่ทำให้พระสมเด็จเหนือหัว โด่งดังเกินไปทำให้คนที่ไม่ชอบข้าฯ ได้หาช่องทางกลั่นแกล้ง 10.ข้าฯผิดเอง ที่มีภาพลักษณ์ส่วนตัวไม่ดีต่อสังคม จึงทำให้เป็นที่น่ารังเกียจของคนต่างๆ ความผิดทั้งหมด 10 ข้อนี้ ยังไม่ร้ายแรงเท่าความผิดที่ข้าฯนำเรื่องราวมาบอกเล่าให้คนต่างๆได้รับทราบ ทำให้หลวงพ่อวัดสุทัศน์ท่านต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง แม้ใครจะด่าว่าข้าฯอย่างไรก็ตาม แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดนี้ ข้าฯไม่อยากให้ผ่านไปเฉยๆ อย่างน้อยก็ให้เรื่องราวที่ข้าฯเล่าได้เป็นอุทาหรณ์สอนใจคนต่างๆที่คิดจะทำงานใหญ่ และที่คิดจะเป็นใหญ่ ให้ตระหนักไว้ถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทั้งปวง ความผิดทั้งหลายดังที่กล่าว ก็เหมาะสมแล้วที่เขาสั่งให้เอาข้าฯมาขังคุก อีกทั้งสมควรแล้ว ที่เขาทำให้คดีความมีข้อยุติ ข้าฯมานึกย้อนดูแล้ว ตลอดชีวิตการสร้างสาธารณกุศลของข้าฯ หลวงพ่อวัดสุทัศน์ ไม่เคยขอรางวัล หรือให้ข้าฯได้รับรางวัลใดๆ แม้แต่ใบอนุโมทนา ใบประกาศ เหรียญตรา เครื่องราช หรือเสาเสมาธรรมจักร เพราะท่านฯคิดเสมอว่า การสร้างกุศลต่างๆของข้า เป็นผลงานของท่านฯที่จะได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติต่อสังคมเพียงผู้เดียว ดังปรากฏเมื่อ วันที่ 3 เมษายน 2550 ข้าฯทำบุญอายุครบ 3 รอบ 36 ปี ณ วัดสุวรรณรังสรรค์ จ.ระยอง ครั้งนั้นพิธีกรได้อ่านผลงานการทำสาธารณกุศลต่างฯ ที่ข้าฯทำไว้ให้พระเถรานุเถระ,พ่อค้า ,ประชาชน และนักเรียนกำพร้า 1,412 คน ได้รับทราบ เมื่ออ่านจบ ข้าฯสังเกตสีหน้าหลวงพ่อวัดสุทัศน์ แสดงอาการไม่พอใจ และเมื่อถึงเวลาที่ท่านต้องกล่าวสัมโมทนียกถา ท่านฯได้พูดด้วยอาการที่ไม่ดีประโยคหนึ่งว่า “ผลงานที่พิธีกรอ่าน มิได้มีเท่านี้หรอก ยังมีมากกว่านี้อีก” ตลอดชีวิตของข้าฯ ข้าฯพึ่งรู้ว่าคนที่เป็นพระที่ข้าฯรักที่สุดในชีวิต ท่านจะไม่รักข้าฯเลย ข้าฯรู้ดีทุกวันนี้ว่า ข้าฯต่ำต้อยด้อยค่ายิ่งกว่าสุนัขที่ท่านเลี้ยงไว้ในกุฏิเสียอีก มันผิดที่ข้าฯเองที่ข้าฯรักและเทิดทูนท่าน มันผิดที่ข้าฯเองเพราะทุกครั้งที่ข้าฯทำงานเพื่อสาธารณะประโยชน์ ข้าฯจะยกย่องเอาชื่อหลวงพ่อวัดสุทัศน์ออกหน้าให้ได้รับคุณงามความดี ให้ได้รับคำชมคำสรรเสริญเยินยอจากสังคม มันผิดที่ข้าฯเอง เพราะทุกครั้งที่ข้าฯคุยกับใคร หรือคุยกับผู้มีอำนาจท่านไหน ข้าฯจะแอบอ้างคำพูดดีๆที่ทำให้คนต่างๆนั้นฟังแล้ว รู้สึกว่าหลวงพ่อวัดสุทัศน์ พูดหวังดีกับเขา หรือหวังดีต่อสังคมและส่วนรวม ทั้งที่จริงแล้วหลวงพ่อฯไม่เคยพูดเลย พอข้าฯแอบอ้างคำพูดว่าท่านพูดแล้ว ทำให้คนต่างๆรักและศรัทธาหลวงพ่อวัดสุทัศน์มากยิ่งขึ้น ยายของข้าฯซึ่งเป็นน้าสาวแท้ๆของแม่ข้าฯ ท่านฯอยู่หลังวัดสุทัศน์ ยายท่านฯเป็นผู้อุปถัมภ์สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ มาตั้งแต่สมัยเป็นพระมหาวีระ อุปถัมภ์ดูแลมานานหลายสิบปี สมัยที่ยายยังไม่ตาย ขณะที่ยายนั่งล้างถ้วยชามอยู่ในบ้าน ยายเคยพูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่า “เดี๋ยวนี้หลวงพ่อท่านเป็นใหญ่แล้ว ท่านลืมพวกเราหมดแล้ว” พูดเรื่องการลืมของหลวงพ่อวัดสุทัศน์ ท่านมิได้ลืมแค่ตัวข้าฯคนเดียว แต่ท่านลืมแม้แต่ตัวท่านเอง เรื่องใดเป็นภาระหน้าที่ของท่าน ท่านก็ลืม ท่านอยู่ในฐานะใด ต้องทำอะไร ต้องพูดอะไร ท่านก็ลืมหมด ท่านลืมแม้แต่คนที่คนช่วยเหลือเกื้อหนุนท่านมา ผมจำได้ลุงนองรับใช้ท่านมาเป็นสิบปี รับใช้จนวันตาย แต่หลวงพ่อฯไม่ไปงานศพซักวัน พอตายครบ 100 วัน ผมเลยพูดกับท่านว่า “ถ้าวิญญาณลุงนองรับรู้ แก่คงเสียใจ หลวงพ่อฯน่าจะแสดงน้ำใจอย่างน้อยเป็นเจ้าภาพทำบุญครบ 100 วันก็ได้ คนอื่นรู้เห็นเขาจะได้ไม่ตำนิว่าท่านลืมลุงนอง” จากนั้นท่านจึงไปเป็นเจ้าภาพ คราวที่ข้าฯสร้างพระกริ่งจักรพรรดิ มอบเงิน 85 ล้านให้มหาจุฬาลงกรณฯสำเร็จงดงามแล้ว ยังเหลือเงินอีก ผมเรียนให้ท่านบริจาคเงินสร้างอาคารอีกหลังในมหาจุฬาฯ ให้ใส่ชื่อ “อาคารอนุสรณ์ พระวิสุทธิวงศาจารย์ วัดเทพธิดาราม” เพื่อเป็นการบูชาพระคุณอาจารย์ที่เคยสอนท่านมา แต่ท่านปฏิเสธ ข้าฯก็งงว่า สงสัยท่านคงลืมพระอาจารย์เหมือนอย่างที่ยายเคยพูดหรือเปล่า? หลายต่อหลายเหตุการณ์ ทำให้ผมเสียใจในตัวหลวงพ่อวัดสุทัศน์ เพราะการชอบลืม แม้แต่การกระทำที่ผมกอบกู้หน้าท่านหลายครั้ง ท่านลืมหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการหาเงินสร้างหอฉัน มหาจุฬาฯมาขอเงินจากท่าน85ล้าน ท่านขอความเห็นจากผม ผมรับปากจะหาเงินให้ แต่ผมไม่ให้หลวงพ่อฯรับปากกับมหาจุฬาฯเด็ดขาด จากนั้นท่านแอบนำเรื่องนี้ไปคุยกับลูกศิษย์กลุ่มซีพี สรุปลูกศิษย์รับจะให้เงินท่าน 85 ล้าน ท่านดีใจจึงรีบโทรแจ้งมหาจุฬาฯว่าจะได้เงินแล้ว ฝ่ายมหาจุฬาฯจึงรีบจัดพิธีวางศิลาฤกษ์เพื่อผูกมัดท่าน ท่านโทรตกลงกันเองกับมหาจุฬาฯโดยผมไม่รู้ สรุปก่อนวันวางศิลา ลูกศิษย์กลุ่มซีพีไม่สามารถให้เงิน 85 ล้านแก่ท่านได้ ท่านก็กลุ้มใจมากๆ สุดท้ายต้องไปวางศิลาฤกษ์ และผมต้องเป็นคนเหนื่อยเกือบตายเพื่อหาเงินให้ 85 ล้านบาท เป็นการกู้หน้าให้ท่านครั้งยิ่งใหญ่ ที่วางศิลาฤกษ์แล้วแต่ยังไม่มีเงินให้ เรื่องนี้ท่านก็ลืม อีกครั้งเรื่องคดีการขายพระกริ่งเส้าหลิน ท่านรับหน้าจากนายเฉินเจินรุย ที่หอบเอาพระมาจากเมืองจีน มาให้ผมช่วยขายพระกริ่งให้เขา พอเกิดเป็นคดีความว่าพระกริ่งไม่ได้เสียภาษี ผมอยู่ที่อังกฤษ โทรแจ้งท่านห้ามเชื่อใคร นายเฉินเขาก็ต้องเอาตัวรอด จึงแอบเอาเอกสารมาให้ท่านลงนามย้อนหลัง ว่าท่านเป็นผู้สั่งสร้างพระกริ่ง ให้ผลิตในเมืองไทย ทำนายเฉินรอดตัว แต่ตำรวจกลับหันมาเล่นงานผมกับท่านว่าร่วมกับหลอกลวงประชาชน ผมต้องเหนื่อยวิ่งเต้นเสียเงิน กว่าจะทำให้คดีพระกริ่งเส้าหลินยุติ ทำให้ท่านรอดคุก เรื่องนี้ท่านก็ลืม ท่านชอบเชื่อคนง่าย สุดท้ายเกิดเรื่องไม่รู้กี่ครั้งกี่หน อีกเรื่องหนึ่งที่ท่านลืมไปแล้ว คือ ตอนที่คณะสงฆ์วัดสุทัศน์สร้างพระกริ่ง 200 ปี ให้ความหวังกับท่านไว้ว่า จะหาให้เงินท่านไปบริจาคเป็นเจ้าภาพ สร้างอาคารสำนักงานเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อให้เป็นอาคารอนุสรณ์วัดสุทัศน์ครบ 200 ปี ท่านจึงแจ้งเรื่องนี้ให้เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์รับทราบ ทางนครสวรรค์จึงดำเนินการสร้างอาคารใกล้แล้วเสร็จ แต่คณะสงฆ์วัดสุทัศน์กลับขาดทุนจากการสร้างพระกริ่ง 200 ปี จึงไม่มีเงินให้ ท่านก็กลุ่มใจเพราะได้สัญญากับเจ้าคณะจังหวัดไปแล้ว การก่อสร้างก็ใกล้เสร็จแล้ว แต่ไม่มีเงินให้เขา สุดท้ายผมก็รับที่จะออกเงินแทนวัดสุทัศน์ เพื่อไม่อยากให้หลวงพ่อวัดสุทัศน์และคณะสงฆ์เสียสัจจะ เหตุการณ์ครั้งนั้นยังผ่านไปไม่นาน ท่านก็ลืมอีกแล้ว แม้แต่เงินที่ท่านได้จากผมไปกว่า 9 ล้าน ที่ผมหาให้เตรียมไว้ทำบุญครบ 200 ปีวัดสุทัศน์ แต่ท่านเอาไปซื้อที่ดิน ณ วัดโสดาประดิษฐาราม เพื่อเตรียมสร้างอุโบสถ 2 กษัตริย์ พอเกิดเป็นคดีความเรื่องการสร้างสมเด็จเหนือหัว ทางดีเอสไอ สั่งไม่ฟ้องท่าน มีเหตุผลหนึ่งที่สั่งไม่ฟ้อง โดยอ้างว่าท่านไม่มีเจตนาฉ้อโกงประชาชน เพราะท่านบอกกับ ดีเอสไอ ว่าท่าน “ได้นำเงินไปซื้อที่ดิน เตรียมการก่อสร้างอุโบสถไว้แล้ว” โธ่เวรกรรม ท่านให้การแบบนี้ คงจะท่านลืมว่าเงินที่ซื้อที่ดินได้จากผมไป พอเริ่มเกิดเรื่องใหม่ๆท่านผู้หญิงบุตรี มาพบท่านว่าการสร้างพระสมเด็จเหนือหัวไม่ถูกต้อง แต่มาแล้วไม่พบ ผมจึงขอให้ท่านโทรไประงับไฟแต่ต้นลม ท่านรับปากว่าจะโทร พอเวลาผ่านไปผมโทรไปถามท่านว่าโทรหรือยัง ท่านกลับพูดกับผมว่า “ลืม” พอเป็นคดีความแล้ว ท่านก็ให้การมอบความผิดแก่ผมคนเดียว ท่านพูดว่าไม่รู้เรื่อง โดยเงินจากการจำหน่ายพระสมเด็จเหนือหัว ยังอยู่ในบัญชีชื่อท่านทั้ง 4 ธนาคารฯ เอกสารประสานงานต่างๆท่านก็ลงนาม แต่ท่านกลับให้การว่าไม่รู้เรื่อง ผมคิดว่าท่านคงลืม แม้แต่ดอกไม้พระราชทาน ผมไม่เคยขอจากท่าน เพราะผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าท่านได้รับพระราชทานอะไรมาบ้าง ผมรู้แต่ที่ทีวีถ่ายทอดสดเห็นท่านรับพระราชทานกระบะมุขคล้ายเครื่องห้า ผมเลยโทรขอเทียนเงินในกระบะมุข 1 เล่ม เพื่อเอามาเก็บเป็นมงคล แต่ท่านไม่ยอมให้ โดยท่านพูดว่า “ให้ไม่ได้ เดียวไม่ครบชุด” แต่ท่านกลับมอบต้นเทียนใหญ่ พร้อมพุ่มดอกไม้สีเหลือซึ่งเหี่ยวแห้งแล้ว มอบให้คุณก้องไกรนำมาให้ผม พอโทรกลับไปถามว่าให้มาทำไม ท่านก็แจ้งว่า “เอาไปเถอะทำประโยชน์อะไรได้ก็เอาไปทำ” พอเกิดคดีความการจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ท่านกลับให้การกับดีเอสไอ ไปว่าผมเป็นคนไปขอรับดอกไม้พระราชทานมาจากท่าน โธ่เวรกรรมจริงๆ ท่านลืมอีกแล้ว แม้แต่หนังสือถึงราชเลขาธิการ ผมร่างมาให้ว่า “เจริญพร ท่านราชเลขาธิการ” ท่านก็แก้ไขด้วยลายมือ เปลี่ยนเป็น “เจริญพร ราชเลขาธิการ” โดยตัดคำว่า“ท่าน”ออก อย่างคำว่า“พระบรมเชษฐาธิราช”ท่านก็แก้ไขเอามาแทน คำที่ผมร่างไปว่า “พระเชษฐาธิราชเจ้า” ท่านตรวจอ่านแล้วแก้ทั้งฉบับ ระบุตามลายมือที่ส่งกลับมา ดังมีข้อความสำคัญๆ อาทิ“พระสมเด็จเหนือหัว สร้างจากดอกไม้พระราชทาน เครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ งานฉลองศิริราชสมบัติ 60 ปี” พอเกิดคดีแล้ว ท่านกลับให้การต่อดีเอสไอว่า ท่านไม่รู้ไม่เห็นเรื่องการเอาดอกไม้พระราชทานมาใส่ในองคืพระ อีกประโยคหนึ่งในเอกสารระบุว่า “พระสมเด็จเหนือหัว มีความหมายเป็นกุสโลบาย น้อมนำให้พุทธศาสนิกชนได้เทิดทูนสถาบันมหากษัตริย์ ไว้เหนือหัวเหนือเกล้าตลอดกาล” แต่พอเกิดคดีความท่านกลับให้การต่อดีเอสไอว่า พระสมเด็จเหนือหัว หมายถึง “พระพุทธเจ้า” ท่านลืมอีกแล้ว แม้ท่านจะลืม แต่การกระทำ หรือการละเว้นกระทำของท่านที่ผ่านมา ทำให้ผมต้องติดคุกเพราะคำพูดของท่านแล้ว ท่านเคยสอนคนใหญ่คนโตว่า “ให้ทำในสิ่งที่ดีและถูกต้อง” ถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปก็จะอยู่ไม่ได้ ดังนั้นผมจึงสงสัยว่า “สิ่งที่ท่านลืมต่างๆ ทำให้ผมต้องแพ้คดีติดคุกจนวันตาย มันเป็นเรื่องที่ดี หรือว่าเรื่องถูกต้องของท่านครับ” ตลอดชีวิตของ หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม ผมชอบท่านตรงที่วางตัวได้ดี สง่างามเรียบร้อย และพูดจาน่าเลื่อมใส น่าศรัทธา แม้ท่านจะลืมเรื่องสำคัญทางคดีก็ไม่เป็นอะไร แต่ที่ผมผิดหวังคือ ท่านลืมสิ่งที่ผมเคยช่วยท่านหลายต่อหลายครั้ง ผมรักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เพราะท่านจักชอบการทำบุญ ท่านชอบบริจาคทรัพย์ และชอบรับเป็นผู้อุปถัมภ์การก่อสร้างสาธารณะประโยชน์ต่างๆ เพราะท่านจะมีปีติกับการที่ใครๆยกย่องสรรเสริญว่าท่าน “เป็นพระดี ที่เสียสละเพื่อส่วนรวม” ซึ่งในเมืองไทยหาพระอย่างท่าน..ยาก เหตุการณ์ของคดีจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัวนี้ นับเป็นอุทาหรณ์ สำหรับผู้ที่คิดจะเป็นใหญ่หรือผู้ที่เป็นใหญ่แล้ว จักต้องเข้าใจสถานภาพของตนเองว่าอยู่ในฐานะอะไร คนเราถ้าจะอยู่เหนือผู้อื่น อย่างน้องก็ต้องอาศัยสิ่งที่สนับสนุนให้อยู่สูงกว่าคนอื่นได้ อย่างเช่น ผู้ที่เป็นใหญ่ ผู้มีอำนาจวาสนา หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ ทุกสถานจะบ่งชี้ถึงฐานภาพในตำแหน่งที่จักเป็นเครื่องอาศัยให้อยู่สูงกว่าผู้อื่น ก็คือ เก้าอี้ที่นั่ง ดังที่เราจะเห็นคนที่ได้เป็นใหญ่มักจะแสดงอาการหวงเก้าอี้ ก็คือหวงตำแหน่งนั้นเอง คนปกติธรรมดา ก็จะไม่มีฐานะได้นั่งเก้าอี้ตัวพิเศษๆ ทำให้แลดูไม่เด่นเป็นสง่ากว่าคนอื่นทั่วไป บางคนยากจนข้นแค้นแสนลำบาก ก็จะไม่มีแม้นเก้าอี้ที่จะให้นั่ง ต้องนั่งกับพื้นเช่นขอทาน เป็นต้น “เก้าอี้ที่นั่ง” นั่งแล้วทำให้อยู่สูงกว่าคนปกติ เมื่อสถานะได้นั่งอยู่สูงกว่าคนปกติ ดังนั้นคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าคนทั่วไปต้องรู้ตนทำตัวให้สูงกว่าเขา คือ ต้องสูงทั้งจิตใจ สูงคุณธรรม สูงการศึกษาความรู้ ต้องสูงหน้าที่การงาน และสูงด้วยความรับผิดชอบ เมื่อมีคุณสมบัติสูงกว่าคนอื่นแล้ว จักต้องคำนึงถึงสิ่งที่สนับสนุนให้เราได้นั่งอยู่ในฐานะที่สูงด้วย หากเปรียบสิ่งที่สนับสนุนให้เราได้อยู่ในที่สูงเป็นเก้าอี้ที่นั่ง ผมก็มีข้อควรคิดเกี่ยวกับเก้าอี้ว่าจะต้องประกอบด้วยสิ่งที่ช่วยให้เราได้นั่งอย่างสง่าผ่าเผย มีขาเก้าอี้ 4 มีท้าวแขน 2 มีพื้นรองนั่ง 1 และมีพนักพิง 1 จึงประกอบเป็นเก้าอี้ที่ดีได้ องค์ประกอบของเก้าอี้ ก็เสมือนองค์ประกอบของบุคคลต่างๆ ที่มีส่วนสนับสนุนทำให้เราได้นั่งอยู่ในสถานภาพอันสูงสง่าได้ องค์ประกอบส่วนต่างๆของเก้าอี้ที่เรานั่ง ผมได้คิดเปรียบเทียบเป็นกลุ่มบุคคล ที่จะมาสนับสนุนส่งเสริมให้เราได้ดีมีฐานะ มีดังนี้ 1.เก้าอี้ขาหน้าขวา คือ สามีหรือภรรยา 2.เก้าอี้ขาหน้าซ้าย คือ บุตร-ธิดา 3.เก้าอี้ขาหลังขวา คือ พ่อแม่ ญาติ พี่น้อง 4.เก้าอี้ขาหลังซ้าย คือ ลูกน้องบริวารใต้บังคับบัญชา 5.ท้าวแขนขวา คือ ครูอาจารย์-ที่ปรึกษาต่างๆ 6.ท้าวแขนซ้าย คือ หมู่มิตรสหาย 7.พื้นรองนั่ง คือ ผู้ร่วมงาน 8.พนักพิง คือ ผู้ใหญ่ที่มีอำนาจค้ำจุน ถ้าเราปฏิบัติกับกลุ่มคนต่างๆ ที่ส่งเสริมสนับสนุนเรา อย่างดี ก็เหมือนเราดูแลส่วนประกอบต่างๆของเก้าอี้ให้ดี เราก็จะอยู่ในฐานะที่ดี ที่สูงส่งตลอดไป ยกตัวอย่าง ถ้าเราทำให้ขาเก้าอี้มั่นคงแข็งแรง เราก็ได้นั่งเก้าอี้ที่มั่นคง ถ้าเรายกให้ขาเก้าอี้สูงกว่าปกติ เราก็จะได้นั่งเก้าอี้ที่สูงกว่าปกติ ด้วยเพราะขาเก้าอี้จะหนุนให้เราได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ได้สูงกว่าคนอื่นนั้นเอง ขาเก้าอี้ทั้ง 4 ขา ที่ผมเปรียบเทียบเป็นบุคคล 4 กลุ่ม ที่คอยเกื้อหนุนส่งเสริมให้เราได้อยู่ในฐานะที่สูงได้ ก็เพราะถ้าเราส่งเสริมทำให้บุคคลทั้ง 4 กลุ่มนี้ ให้มีฐานะที่สูงขึ้น ให้มีความรู้ที่สูงขึ้น ให้มีเกียรติยศที่สูงขึ้น ให้มีคุณธรรมศีลธรรมที่สูงขึ้น ให้มีหน้าที่การงานที่สูงขึ้น ให้มีความรับผิดชอบที่สูงขึ้น ให้มีคุณภาพจิตใจที่สูงขึ้น ให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีๆที่สูงขึ้น สุดท้ายบุคคลทั้ง 4 กลุ่มที่เปรียบเป็นขาเก้าอี้ทั้ง 4 ขา ก็จะมีสภาวการณ์ที่สูงขึ้น ทำให้ขาเก้าอี้ 4 ขานี้สูง ส่งเสริมให้เก้าอี้ที่นั่งสูงส่งตามธรรมชาติ ท้ายที่สุดเราเป็นผู้อาศัยบุคคลเหล่านี้เขาก็จะผลักดันให้เราได้นั่งอยู่ในที่สูงกว่าคนทั่วไป แต่กลับกันถ้าเราไม่ส่งเสริมสนับสนุน ให้บุคคลที่เปรียบเป็นขาเก้าอี้ของเราทั้ง 4 ขาได้มีฐานะที่สูงส่ง ทั้งเรายังทำหรือปล่อยให้บุคคลที่เป็นขาเก้าอี้ของเราทั้ง 4 ขา มีแต่ตกต่ำย่ำแย่ อย่างนี้เก้าอี้ตัวที่เรานั่งอยู่ ก็จะไม่มั่นคง จะไม่สูงส่ง จะไม่มีฐานะที่จะส่งเสริมเราได้เช่นกัน เผลอๆจะทำให้เราตกที่นั่ง แบบที่ตกต่ำย่ำแย่ตามสถานภาพของกลุ่มบุคคลต่างๆโดยธรรมชาติ เฉกเช่นเดียวกับหลวงพ่อวัดสุทัศน์ ที่ท่านนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่ผมทำหน้าที่เป็นขาในฐานะบริวาร แต่ท่านไม่ชอบส่งเสริมสนับสนุนให้ผมสูงส่ง ด้วยฐานะใดๆทางสังคม แต่ท่านเชื่อมือชอบใช้งานอย่างเดียว บางทีการขี้ลืมของท่านก็ทำให้ผมตกต่ำลำบาก สุดท้ายท่านก็ต้องตกที่นั่งลำบากย่ำแย่ตามผม จากการครั้งนี้ให้ศึกษาดูว่า ในอดีตหลวงพ่อวัดสุทัศน์ท่านไม่ชอบส่งเสริมสนับสนุน หรือทำให้ขาเก้าอี้ที่ท่านนั่ง ได้อยู่ในฐานะที่มั่นคงและสูงส่ง วันนี้ตัวท่านเองจึงต้องตกต่ำย่ำแย่ตามสถานะของขาเก้าอี้ที่ตกต่ำนั้น อีกทั้งพอเกิดเหตุท่านยังปล่อยให้ขาเก้าอี้ที่ท่านเคยนั่งต้องแตกหักลง ทำให้ท่านต้องตกเก้าอี้บาดเจ็บตามเหตุการณ์ ส่วนตัวผม หากจะเปรียบเป็นเก้าอี้ที่ผมนั่งบ้าง หลวงพ่อวัดสุทัศน์ก็เป็นพนักพิงที่ไม่มั่นคง จึงทำให้ผมพลัดหงายหลังตกเก้าอี้ที่นั่งเช่นกัน เมื่อผมต้องบาดเจ็บจากการหงายหลังเพราะพนักเก้าอี้ที่ไม่ดีแล้ว ผมก็เลยปล่อยพนักเก้าอี้ทิ้งไปเสีย สุดท้ายวันหน้าอนาคต ผมก็คงไม่มีพนักเก้าอี้ไว้คอยพยุงเวลานั่งทำงานอีก การนั่งเก้าอี้ของผมก็คงจะไม่สะดวกสบายอย่างเดิม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็ภูมิใจและไม่อยากแม้แต่จะได้นั่งเก้าอี้ให้สูงส่งกว่าคนปกติธรรมดาอีกแล้ว หากจะพูดเปรียบฐานะของผมเป็นขาเก้าอี้ ที่เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์เคยนั่งจนถึงวาระได้รับการสถาปนาสมณศักดิ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์แล้ว ทำให้ย้อนนึกคำสอนของเล่าซืออู ที่ปรึกษาใหญ่ขององค์หย่งเจิ่นฮ่องเต้ ที่พูดไว้ว่า... “ร่วมทุกข์กับฮ่องเต้ ง่าย ร่วมสุขกับฮ่องเต้ ยาก ถ้าร่วมสุขกับสามัญชน ง่าย แต่ร่วมทุกข์กับสามัญชน ยาก” ในอดีตหลวงพ่อฯต้องสร้างผลงาน ต้องสร้างเกียรติยศ ต้องทำทุกวิถีทางให้พ้นมลทิน ท่านจึงมีความจำเป็นที่ต้องทำสิ่งที่ไมดีและไม่ถูกต้องกับข้าฯ วันนี้ท่านฯได้รับเกียรติยศอันสูงสุดแล้ว ท่านมีความสุขสมหวังตามที่ท่านปรารถนาแล้ว ข้าฯก็มีความสุขแล้ว และควรอยู่ห่างๆท่าน ข้าฯต้องเอาอย่างเหล่าซืออู ที่สนับสนุนแนะนำให้องค์หย่งเจิ่น ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว ท่านฯก็รีบหนีไปอยู่ตามฐานะที่ท่านควรอยู่ ไว้หลวงพ่อท่านฯทุกข์อยากสูงส่งอีกเมื่อไร ท่านจะจุดธูปเรียกหาขาเก้าอี้ผุๆอย่างข้าฯได้ตลอดครับ จากการเกิดคดีความแล้ว ส่วนตัวผมกลับมานึกย้อนดูว่า หน้าที่ต่างๆไม่ได้เป็นคุณกับตัวผมเลย เหตุการณ์แบบนี้ทำให้ผมรู้สึกว่า มันเป็นหน้าที่อะไรของเรา ยิ่งเมื่อเกิดคดีความจากการทำหน้าที่แล้ว เคยนำผลงานที่ทำคุณค่าแก่ส่วนรวม ไปขอความกรุณาต่อศาลสถิตยุติธรรม กลับไม่ได้รับการพิจารณาเลย ทั้งยังต้องรับการลงโทษสถานหนัก เราต้องถูกจองจำโทษเหลือ 2 ปีเศษ แต่ประกันตัวไม่ได้ ส่วนคนที่มีโทษ 50 ปี,โทษตลอดชีวิต หรือโทษประหารชีวิต ถ้ามีเงินมีพวก กลับยื่นขอประกันตัวได้ เคยเห็นผู้ต้องขังคดีเดียวกัน 11 คน คนที่หนีการจับกุมแต่มีเงินวิ่งเต้นก็ประกันตัวได้ คนที่เคยเข้ามอบตัว แต่ไม่มีเงินจะวิ่งก็ประกันตัวไม่ได้ พอเห็นการกระทำของผู้พิพากษาแห่งศาลสถิตยุติธรรมไทยแล้ว ทำให้ผมต้องคิดทบทวนใหม่ว่า ในอดีตเคยรับผิดชอบช่วยเหลือส่วนรวมมามาก ปัจจุบันส่วนรวมไม่รับผิดชอบช่วยเหลือเรา ฉะนั้นจะทำหน้าที่ช่วยส่วนรวมต่อทำไม แม้แต่หลวงพ่อฯที่ผมปกป้อง ท่านยังไม่ปกป้องผม ไม่ช่วยเหลือ ไม่เคยมาเยี่ยม หรือไม่เคยส่งใครมาแสดงน้ำใจเลย ตั้งแต่เข้าคุกอะไรๆที่เคยรับผิดชอบช่วยไว้ก็จะปล่อยวางไปบ้าง เช่นน้องๆเด็กนักเรียนทุนการศึกษาที่อุปการะไว้ 57 คน จะไม่ให้เงินทุนประจำแล้ว แต่จะให้ตามจำเป็น ใครทำตัวดีก็ให้ ใครทำตัวไม่ดีก็ไม่ให้ ใครจะมีเงินเรียนหรือไม่มี ก็ขึ้นอยู่ที่ความประพฤติแต่ละคน เราจะไม่ผลักดันอะไรใครมากแล้ว เพราะที่ผ่านมาเราทำคุณประโยชน์ต่อส่วนรวมมามาก วันนี้ผลที่เราได้รับมันไม่ตรงกับที่คำโบราณเคยสอน คือ “ทำดีได้ดี” หากจะพูดย้อนไปแล้ว ก็นับว่าผมมีบุญมากแต่ในความมีบุญก็มีกรรมมากเช่นกัน ที่ว่ามีบุญมากคือชีวิตของผมเกิดมาได้มีโอกาสรู้จัก และพึ่งพาอาศัยบารมีพระชั้นผู้ใหญ่ของเมืองไทย พระทั้งหลายที่ผมได้พึ่งพาบารมีทุกรูป ล้วนเป็นพระที่ดีจริงๆ เป็นพระที่มีศีลมีธรรม พร้อมกันนั้นท่านยังมีตำแหน่งหน้าที่สูง ท่านทั้งหลายได้เปิดโอกาสให้ผมได้มีผลงานการสร้างบุญสร้างกุศลใหญ่ๆหลายงาน แต่ในความมีบุญมากก็กลับมีกรรมมากเท่ากันคือ พระที่ดีๆทั้งหมดที่ผมได้พึ่งพาบารมี ท่านมีดีแต่ศีลและธรรม แต่ท่านไม่มีดีด้านความรับผิดชอบ ท่านไม่มีดีในความฉลาดรู้เท่าทัน ท่านไม่มีบารมีในทางโลกคือไม่มีพรรคพวกดีๆ ท่านไม่มีดีในความกล้าในสิ่งที่ถูกต้อง และที่สำคัญท่านไม่มีดีที่น้ำใจ การที่ท่านไม่มีดีที่ว่า จึงเป็นกรรมของผมที่ได้ยุ่งเกี่ยวกับท่าน เพราะเมื่อท่านใช้ผมทำงานใหญ่ ท่านก็ไม่รู้จักทำเรื่องให้ถูกต้อง พอเกิดเรื่องแล้วท่านไม่รู้จักการแก้ไขเรื่องให้ถูกทาง พอเกิดพลาดพลั้งทำให้เป็นคดีความ ท่านก็ไม่กล้าแสดงความรับผิดชอบ และท่านไม่กล้าปกป้อง พอผมต้องตกเป็นจำเลยของแผ่นดิน เพราะคำพูดของท่าน ท่านกลับไม่มีน้ำใจจะไปเยี่ยมเยียนผมในคุก รวมทั้งยังไม่ส่งคนไปดูแลผม นี่แหละครับกรรมของผม ส่วนผลงานการสร้างบุญสร้างกุศลที่ผมมีบุญได้ทำงานใหญ่ ท่านก็ไม่เคยยกย่องผม หรือจะประกาศให้สาธารณะรู้ว่าเป็นผลงานที่ผมทำก็ไม่เคยมี เป็นเพราะอะไร ก็เพราะท่านเองได้แสดงตนต่อสาธารณะไปหมดแล้ว ว่าเป็นผลงานที่ท่านเป็นผู้ทำเอง เห็นไหมครับทั้งบุญและกรรมที่ผมได้มีโอกาสรู้จักพระดีๆ ท่านดีอย่างแต่ท่านก็เสียอีกอย่าง แม้ท่านทั้งหลายจะไม่ต้องมาทนทุกข์ทางกายกับการเข้าคุกเหมือนอย่างผม แต่ท่านก็ต้องติดคุกทางใจอยู่นอกกำแพงของแดนทรชน ฉะนั้นบุญและกรรมที่ว่าจึงทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตนี้ สุดท้ายไม่มีอะไร นอกจากต้องทำงานกุศลแบบปิดทองใต้ก้นพระ นอกจากคนไม่เห็นแผ่นทองคำที่งดงามแล้ว ยังเสียของเนื้อทองที่ต้องนำไปปิด เพราะการปิดทอง เขาปิดเพื่อให้คนดูแล้วสวยงาม จักได้เกิดศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นทางชักนำคนเข้าถึงพระรัตนตรัย แต่ทองคำที่ผมปิดไป มันไม่มีคนเห็นยังไม่พอ แต่มันกลับเปล่าประโยชน์ไม่มีคุณค่า เสียแผ่นทองไปเปล่าๆ คือดันไปปิดใต้ก้นองค์พระ ถ้าจะว่าผิดก็ต้องโทษตัวผมเองครับ ที่ไม่รู้จักเลือกปิดทองที่ด้านหน้าพระ หรือไม่ก็ผิดเพราะ เลือกองค์พระที่มีความดีไม่ครบทุกด้านมาทำการปิดทองคำ สุดท้ายเลยต้องเสียทอง เสียของ เสียเวลา เสียคุณค่า เสียโอกาส และเสียความรู้สึก การทำดีในปัจจุบันนี้ ถ้าเราไม่ประกาศความดีให้ใครรู้ สิ่งที่เราทำก็จะไม่ปรากฏต่อสาธารณะชน คุณความดีที่เราทำถึงจะมากเท่าใดก็ตามคนอื่นก็จะไม่รู้เลย แต่หากเราทำผิดแม้ไม่ต้องมาก ถ้าสาธารณะชนรับรู้ความผิดนั้น เราก็จะเป็นคนผิดของมหาชนในทันที ดังนั้นสังคมในปัจจุบัน การจะทำความดีต้องร้องแรกแหกกระเชิงให้ชาวบ้านรู้เห็น แม้จะทำดีเพียงน้อยนิด แต่ก็ต้องป่าวประกาศให้ดังๆ เช่น คุณหญิงคุณนายเวลาเขาออกงานสังคม แม้ไม่ได้มาทำประโยชน์อะไร แต่เธอทั้งหลายก็จะต้องให้ช่างภาพนักข่าวถ่ายรูป เพื่อจะได้เป็นข่าวให้สาธารณะชนรับรู้ มีอยู่งานหนึ่งผมเคยเห็นเธอๆทั้งหลายแย่งกันถ่ายรูปแบบเบียดกันอุตลุด เห็นแล้วก็ขำ แต่ความจริงก็ต้องเป็นความจริง เราเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่บนโลกแห่งกิเลสมั่วเมา ถ้าเราอยากได้ดิบได้ดีโด่งดัง เราก็ต้องทำทุกวิถีทางทำให้คนบนโลกยอมรับนับถือในตัวเรา คนบนโลกมีกิเลสในใจเป็นที่ตั้ง ดังนั้นสาธารณะชนทั่วไปบนโลกจึงจะยอมรับคนดีตามวิถีแห่งกิเลสนั้น แม้พระสงฆ์องค์เจ้าท่านยังชอบพัดยศ เจ้าขุนบุญนายก็ชอบคำยกยอปอปั้น สังคมบนโลกใครพูดความจริงจะไม่เป็นที่ชอบใจของคนฟัง ดังนั้นถ้าเราจะพูดความจริง เราก็ต้องดูคนฟังด้วย และถ้าเราจะเป็นคนดี เราก็ต้องให้ดีตามกระแสสังคมด้วย เราจึงจะได้มีดีอยู่บนโลกอย่างปกติ แต่สำหรับผมไม่ว่าคำยกยอปอปั้น ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทองของมีค่า ความสะดวกสบาย ผมไม่อยากได้แล้ว บ้านช่องที่อยู่และของมีค่าต่างๆในตึกช้าง ผมบริจาคทรัพย์สินจนหมดเกลี้ยง แม้แต่พระเครื่องทั้งเก่าและใหม่ มูลค่าเกือบ 2,000 ล้านบาท ผมแจกและบริจาควัดและองค์กรการกุศลหมดเลย สมมติถ้าผมได้ปล่อยออกจากคุกวันนี้ รับรองผมไม่มีแม้ที่อยู่ที่นอน ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ รองเท้ายังไม่เหลือเลยซักคู่ คดีความที่กำลังจะชนะอาจได้เงินได้ทองกลับคืนมาหลายสิบล้าน ผมก็ปล่อยไปไม่อยากเอาชนะใคร ไม่อยากได้ และไม่อยากแกร่งแย่งชิงดีกับใครอีก แม้จะให้พ้นโทษเร็วๆผมก็ยังไม่คิด ที่คิดก็คืออยากจบชีวิตเร็วๆ จะได้หมดความทุกข์บนโลกมนุษย์ ทุกวันนี้ ผมจึงรู้สึกว่าอิ่ม และพอแล้วกับการสร้างคุณค่าให้ส่วนรวม พอแล้วกับหน้าที่ที่กลับมาทำร้ายตัวเราเอง เมื่อพอแล้วกับหน้าที่ ทำให้ไม่มีหน้าที่ ชีวิตที่อยู่จึงไม่มีคุณค่า อาจจะเสียใจกับการที่ชีวิตไม่มีคุณค่า แต่ถ้าคิดดีๆเป็นเรื่องดี ชีวิตที่ไม่อยากได้ ไม่อยากดี ไม่อยากมี และไม่อยากเด่น เป็นชีวิตที่ไม่มีความทุกข์ การเกิดมา 39 ปี มีชีวิตที่ทุกข์ส่วนใหญ่ พึงควรพอกับความทุกข์ที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเรา พึงควรอิ่มกับการอยาก ชีวิตที่มีความสุขที่สุด คือ “ชีวิตที่ไม่มีชีวิต” เพราะไม่ต้องทำ ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องอยาก ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องผิดหวัง ไม่ต้องก่อเกิดอะไรขึ้นอีกมากมายในโลก ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรทรงคุณค่าแท้จริง ไม่มีอะไรทรงความดียั่งยืน ทุกสิ่งทุกอย่างก็อย่างนั้นๆแหล่ะครับ การจะมีชีวิตที่มีคุณค่าในสายตาคนทั่วไป คือ 1.ต้องทำให้คนทั่วไปได้ประโยชน์เงินทองของมีค่า 2.ต้องทำให้คนทั่วไปได้ตำแหน่งอำนาจและหน้าที่ 3.ต้องทำให้คนทั่วไปได้ความสุขความสะดวกสบาย 4.ต้องทำให้คนทั่วไปได้คำยกย่องชื่อเสียงเกียรติยศ ทั้ง 4 ข้อทำแล้วก็ดี ไม่ทำก็ไม่ดี ถ้าอยากอยู่บนโลกนี้ดีๆนานๆ ก็ต้องทำให้คนทั้งหลายได้ 4 ข้อนี้เรื่อยๆ ใครทำมากให้มากเท่าไร ก็จะเป็นคนดีในสายตาคนต่างๆมากเท่านั้น ใครไม่เหนื่อยก็ลองทำดู แต่สำหรับผมเหนื่อยแล้ว พอแล้ว อิ่มแล้ว ผมไม่ต้องการแล้ว หลังงานศูนย์มะเร็งฯ ผมก็คงไม่มีงานอะไรต่อแล้ว เพราะพอแล้วครับ ที่ผ่านมาเวลาจัดงาน มีงานอะไร ได้ดูรูปภาพทีไร จะมีความสุข หลายๆงานที่ผ่านมา เวลาดูรูปภาพ เห็นญาติๆมาร่วมงานผมก็มีความสุข ผมก็อยากให้ทุกคนมาร่วมงาน ใครว่างก็มา ใครติดธุระไม่ต้องมา เรามาทำบุญ ต้องทำอย่างสบายใจนะ อย่ามาเพราะบังคับ แต่จงคิดว่ามาเพราะทำดี มาเพราะทำบุญใหญ่ ยิ่งมาทุกครั้งยิ่งดี สะสมบุญไว้ไม่เสียหลาย คนอื่นจะคิดอะไรพูดอะไรก็ช่างเขา ขอให้ตัวเราคิดดี ทำดี พูดดี สุดท้ายเราก็เป็นคนดี คนดีก็คือคนดี การเป็นคนดีมิใช่ต้องรอให้ใครๆมาชมว่าดี แต่คนดีต้องดีด้วยตัวเอง จึงจะดีจริงนะครับ การเป็นคนดีในสังคมแบบนี้เป็นยาก ถ้าเราต้องเป็นคนดีตามปากคนอื่น คงยิ่งเป็นยากน่าดู เราจะหวังให้ใครเป็นคนดีก็ไม่ต้องคาดหวัง คนทุกคนมีความรักความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าเราพึงหวังให้คนนั้นต้องดีอย่างนี้ และให้คนนี้ต้องดีอย่างนั้น คงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ใครคิดคาดหวังความดีจากคนอื่น คงต้องทุกข์ใจ เพราะคนๆหนึ่งจะดีตามใจเราคงไม่มีในโลก ถึงถ้ามีก็คงเป็นความดีที่หลอกเราได้เพียงชั่วขณะ ซึ่งความดีที่เราบังคับให้คนนั้นคนนี้เป็น มันไม่ใช่ความดีโดยแท้ แต่มันเป็นการพยายามทำให้ดีเท่านั้น การที่จะเป็นคนดีจึงเป็นอุปนิสัยส่วนตัวของแต่ละคน ใครจะดีมากน้อยแค่ไหน ก็อยู่ที่จิตใจของเขาฝักใฝ่ คนที่ใฝ่ดีใฝ่งาม จะคิด จะพูด หรือจะทำ ก็มีแต่เรื่องดีๆ ยิ่งถ้าได้ข้อแนะนำหลักการเป็นคนดี จะยิ่งดีมากขึ้น สำหรับการเป็นคนดีผมมีข้อแน่ะนำ เพื่อบอกต่อๆกัน 4 ข้อ ซึ่งเป็นข้อห้าม คือ 1.ห้ามคิดว่าตัวเองต้องแน่กว่าคนอื่น 2.ห้ามคิดว่าตัวเองต้องพ่ายแพ้คนอื่นไม่เป็น 3.ห้ามคิดเห็นเอาแก่ตัว หวังอยากได้แต่ผล ประโยชน์ของใครๆ 4.ห้ามคิดว่าตัวเราจะเสียเปรียบใครไม่ได้ ถ้าเราคิดห้ามใจได้ทั้ง 4 ข้อนี้ รับรองใครๆก็รัก ใครๆก็จะยกย่องว่าเป็นคนดี สำหรับคนดีในมุมมองของแต่ละคนจะแบ่งการเป็นคนดีได้ 4 มุมมองคือ 1.การเป็นคนดีของคนที่ได้รับผลประโยชน์ หมายถึง หากเราคิด พูด และกระทำสิ่งใดๆแล้วยังประโยชน์ให้ใครได้ ไม่ว่าประโยชน์นั้นจะเป็นคุณต่อตัวบุคคลหรือส่วนรวมก็ตาม ผู้ที่ได้รับประโยชน์จะมีความรู้สึกที่ดีต่อเรา จะชื่นชมว่าเราเป็นคนดี อย่างนี้เราก็เป็นคนดีของคนที่เห็นแก่ได้ 2.การเป็นคนดีของคนทั่วๆไปที่ยอมรับยกย่อง หมายถึงการที่คนต่างๆรำลือถึงเกียรติศัพท์คุณงามความดีของเราว่าเป็นคนดีโดยการพูดก็ดี การกระทำก็ดี หรือความคิดก็ดี แม้คนที่ยกย่องจะไม่เคยพบเห็นหรือไม่เคยได้รับประโยชน์จากสิ่งดีๆจากตัวเราก็ตาม เพราะความดีที่เราทำนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาและยอมรับ เราจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดีทั้งๆที่คนยกย่องยังไม่เคยพบเรามาก่อนในชีวิต อย่างนี้เราก็จะเป็นคนดีตามคำรำลือของคนทั่วๆไป 3.การเป็นคนดีของตนเองและพวกพ้อง หมายถึงเราได้คิด พูด และกระทำสิ่งใดๆก็ตาม ซึ่งเป็นที่พึงพอใจของตนเองและพวกพ้องว่า ดีแล้วชอบแล้ว เป็นคุณ เป็นประโยชน์ แม้ผู้อื่นจะไม่ชอบ ว่าไม่ดีก็ตาม แต่ด้วยเราและพวกเรามีจุดยืนในความคิดเป็นตัวของตัวเอง เมื่อเราได้แสดงความดีตามที่เราพิจารนาและทำแล้ว เราก็จะพอใจในความดีว่าตัวเราพวกเรา ดีแล้ว หรือแม้แต่พวกเราจะไม่ชอบเหมือนเรา แต่ด้วยพวกเรารักในความเป็นตัวของตัวเรา ดังนั้นการกระทำใดๆของเราจะเป็นความดีในทัศนะของพวกเราเสมอ อย่างนี้ก็เป็นคนดีของตัวเราเองและพรรคพวกเรา 4.การเป็นคนดีตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนาหมายถึงคุณความดีที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนไว้ว่าเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่งาม สิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้นถ้าเราประพฤติตามเราก็จัดว่าเป็นคนดี คนดีในลักษณะนี้เป็นคนดีซึ่งเป็นที่ยอมรับตามธรรมชาติ เพราะสิ่งที่เราคิด พูด และทำ จะเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงใช้ปัญญาพิจารณาดีแล้ว นับเป็นธรรมนูญของคนส่วนรวมที่ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการทำความดีบนโลกมนุษย์ อย่างนี้ก็เรียกว่าเราเป็นคนดีตามหลักธรรม 5.การเป็นคนดีตามระเบียบแบบแผนและกฎหมายของกลุ่มคณะ หมายถึงการปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบของระเบียบส่วนรวมหมู่คณะที่ระบุไว้ เราต้องไม่ละเมิดข้อห้ามต่างๆ และต้องกระทำการตามที่เขากำหนดไว้ ถ้าเราทำได้ดังนั้นแล้วเราก็จะไม่ถือว่าทำผิดต่อระเบียบข้อห้ามของหมู่คณะ ความเสียหายต่อส่วนรวมก็จะไม่เกิดขึ้น คนที่มีอำนาจรักษากฎระเบียบก็จะพึงพอใจในการกระทำของเรา ทำให้เราเป็นคนดีในสายตาผู้มีหน้าที่ดูแลรักษาความเรียบร้อยของหมู่คณะนั้นๆ อย่างนี้ก็จัดว่าเป็นคนดีของสังคมอีกประการหนึ่ง การเป็นคนดีจัดว่าเป็นยาก การเป็นคนดีผมได้จัดแบ่งการเป็นคนดีได้ 2 ทางคือ 1.การเป็นคนดีด้วยการกระทำ คำพูด และความคิด เราปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีๆใครรู้ใครทราบก็จะยกย่องว่าเป็นคนดี หรือประพฤติดี เป็นต้น 2.การเป็นคนดีด้วยการไม่กระทำ ไม่พูด ไม่คิดในสิ่งที่ไม่ดีทั้งปวง การไม่ประพฤติอย่างนี้ก็สามารถเป็นคนดีได้เช่นกัน แม้ไม่ทำดีแต่ก็ยังไม่ทำชั่ว จึงเรียกว่าไม่ละเมิดหลักของความดี การจะพูดว่าคนนี้ดี หรือคนนี้ไม่ดีนั้น คนที่จะพูดได้คงไม่ใช่ตัวเราเองพูด ความดีหรือไม่ดีของตัวเราจะชี้ได้ชัดเจนก็ต้องอาศัยมุมมองจากสายตาและการสัมผัสนึกคิดของผู้อื่น ผู้ที่จะพูดวิเคราะห์ว่าใครดีไม่ดี ต้องมีความกล้าที่จะพูดความจริง เพื่อสะท้อนในสิ่งที่รับรู้รับเห็นทั้งหมดอย่างยุติธรรม การสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นที่มีต่อตัวเราว่าจะดีหรือชั่วนั้น ก็เปรียบเป็นกระจกเงาที่ส่องสะท้อนใบหน้าตัวเรา เราต้องอาศัยกระจกเงาสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงทางเรือนร่างของเราก่อน เราจึงจะรู้ว่าหน้าตาของเราตอนนี้ดีหรือไม่ดี กระจกเงาจะแสดงความสวยหรือไม่สวยตามจริงที่พบเห็น สิ่งที่ปรากฏบนกระจกเงาแม้ไม่ดีไม่สวย เราก็ต้องยอมรับ เพราะมันคือความเป็นจริงของเรา ที่อาศัยกระจกเงาบอกกล่าว เมื่อเรารู้จากกระจกเงาแล้วว่าส่วนใดไม่ดีไม่สวยเราก็แก้ไขเสริมเติมแต่งปรับปรุงให้ดีให้สวย เช่น นางงามและดาราจะส่องกระจกแต่งแต้มใบหน้าทั้งวันให้แลดูดี ถ้าไม่ได้กระจกส่องหน้าก็คงไม่สวยอย่างที่เห็น กระจกที่เอามาส่องก็ต้องเห็นชัดเจนมิใช่สะท้องภาพมัวๆไม่ตรงกับเป็นความจริง ดังนั้นชีวิตของคนเราจะดีได้หรือไม่ เราต้องอาศัยคนที่กล้าพูดความจริงในการบอกกล่าวความเป็นตัวเราในขณะนี้ว่าดีหรือไม่ดี เราจะดีได้ ก็ต้องมีคนคอยเตือนจิตสะกิดใจให้เรารู้ถ่วงทันการว่าดีหรือไม่ดี เพื่อเราจะได้แก้ไขปรับปรุงได้ คนที่ทำหน้าที่คอยส่องสะท้องความเป็นไปต่างๆของเรา เขาจะทำหน้าที่คอยเตือนเราให้แก้ไขสิ่งต่างๆให้ตัวเราได้ดีหรือดีขึ้น ดังนั้นคนเราถ้าจะได้ดีและไม่เกิดความเสียหายแก่ชีวิตจริง เราต้องได้ผู้ช่วยที่ส่องสะท้อนภาพของเราที่เขาต้องมีคุณสมบัติ 6 อย่างคือ 1.ต้องสะท้อนแต่ความเป็นจริงตรงไปตรงมา 2.ต้องสะท้อนด้วยความยุติธรรม 3.ต้องสะท้อนอย่างสร้างสรรค์ 4.ต้องสะท้อนด้วยความรักและปรารถนาดี 5.ต้องสะท้อนอย่างมีศิลปะ 6.ต้องสะท้อนอย่างรู้กาลเวลาว่าควรไม่ควร ถ้าชีวิตของใครมีคนคอยเตือนจิตสะกิดใจเสมือนกระจกเงาคอยส่องสะท้อนความเป็นจริงทุกอย่างในตัวเราให้รู้สิ่งดีไม่ดี รับรองชีวิตคนๆนั้น จะได้แต่สิ่งดีๆ และจะไม่ค่อยเกิดความเสียหายมาสู่ชีวิต จะทำให้ชีวิตประสพความสำเร็จสมหวังดังสิ่งที่เราปรารถนา หากแต่คนที่ทำหน้าที่ส่องสะท้อนความจริงแก่เราแล้ว เรากลับรับไม่ได้กับความไม่ดีที่รู้เป็นเหตุให้เราออกอาการไม่ชอบหรือรังเกียจคนที่พูดความจริง ถ้าเราแสดงตนอย่างนี้เมื่อได้ยินคำเตือนจิตสะกิดใจแล้ว เราอาจทำให้ชีวิตเราไม่มีใครกล้าพูดเตือนความจริงกับเรา สุดท้ายชีวิตเราก็ต้องอยู่กับความจอมปลอม และล่มสลายในที่สุด ที่ล่มเพราะเราไม่มีโอกาสรู้สิ่งดีหรือไม่ดีในตัวเรา และไม่มีช่องทางได้แก้ไข แก้ตัวให้ได้ผมสิ่งดีๆได้ มีข้อสังเกตว่า คนเราถ้าใฝ่แบบใด ก็จะได้เจอคนและได้สถานะแบบนั้น ดังคำพูดของหญิงทอผ้าในละครเรื่องซูสีไทเฮา ที่พูดถึงพระนางซูสีสมัยที่ยากจน...ว่า “นางเป็นคนใฝ่สูง ซักวันนางก็จะได้เจอคนที่สูงศักดิ์และได้อยู่ในที่สูง” ดังนั้นคนที่ใฝ่ดี ก็จะได้เจอคนดีและได้อยู่ในสถานที่ดีๆ คนใฝ่ชั่ว ก็จะได้เจอคนชั่วๆและได้อยู่สถานที่ของคนชั่วมั่วสุมกันอยู่ คนที่ใฝ่ต่ำ ก็จะได้เจอคนที่ต่ำต้อยและได้อยู่ในสถานที่ที่ตกต่ำย่ำแย่ คนที่ใฝ่รวย ก็จะได้ร่ำรวยและได้อยู่กับหมู่คหบดีเศรษฐี คนที่ใฝ่รู้ ก็จะได้มีความรู้สารพันและจะพบเจอผู้รู้ ได้อยู่ในสถานที่เดียวกับนักปราชญ์ราชบัณฑิต คนที่ใฝ่อำนาจยศศักดิ์ก็จะได้มีอำนาจยศศักดิ์และได้อยู่ใกล้คนที่มีอำนาจราชศักดิ์ เป็นต้น คนที่ใฝ่แบบใดก็จะคบค้าสมาคมคนแบบนั้น นิสัยก็จะคิด จะพูด จะทำอะไร ก็จะวนเวียนได้รับผลดีและผลชั่วแต่เรื่องนั้นๆที่ตนเองฝักใฝ่ คนดีมีมากมายหลากหลายประเภทขึ้นอยู่กับว่าคนๆนั้นจะเป็นคนดีของใคร บางทีคนๆเดียวกันต้องทำหน้าที่หลายบทบาท จึงทำให้ทำหน้าที่ไม่ได้ดีทุกอย่าง เช่นตัวเราเชื่อฟังพ่อแม่ไม่ออกไปเที่ยวเตร่กับเพื่อน ก็ทำให้เราเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แต่อาจจะไม่เป็นเพื่อนที่ดีในสายตาหมู่มิตรเพราะเราไม่ทำหน้าที่สหายที่ดี หรือเราดูแลเอาใจใส่แต่ภรรยาจนได้คำชมว่าเป็นสามีที่ดี แต่ในสายตาของญาติพี่น้องเราอาจเป็นคนไม่ดีก็ได้เพราะเราไม่ได้ทำหน้าที่พี่น้องที่ดีโดยการเอาใจใส่ดูแลญาติพี่น้องเลย แม้คนที่ทำผิดต้องติดคุกเพราะละเมิดกฎหมาย เพราะไม่ทำหน้าที่พลเมืองที่ดี เลยได้เป็นคนไม่ดีของสังคม แต่พออยู่ในคุกทำหน้าที่ช่วยงานราชการดี ก็กลับได้เป็นนักโทษที่ดี ถึงขนาดได้เลื่อนขั้นเป็นนักโทษชั้นเยี่ยมของเรือนจำเป็นต้น อย่างนี้ก็เหมือนกัน คำว่าคนดี ต้องดูว่าดีในมุมมองของใคร ได้ทำหน้าที่ที่ดีต่อใครหรือเปล่า ดังนั้นถ้าเราได้เป็นคนดีในสายตาของคนดีแล้ว แม้จะทำหน้าที่ต่อคนดีหรือไม่ก็ตาม ก็พอจะพูดได้ว่าเป็นคนดีจริง การเป็นคนดี หรือเป็นคนมีค่า เขาให้ดูที่ผลงานการกระทำของเรา ดังคำโบราณที่ว่า... “ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน” การกระทำอะไรก็แล้วแต่ในฐานะคนดี นอกจากต้องยึดที่ความคิดต้องดี คำพูดต้องดี และการกระทำต้องดีแล้ว ยังต้องคำนึงหลักในการทำกิจต่างๆ 3 ข้อ มี1.คำสั่ง 2.หน้าที่และ3.ความรับผิดชอบ ซึ่งมีข้อปฏิบัติดังนี้คือ 1. “คำสั่ง” เราต้องรับคำสั่งให้ดี ต้องแม่นยำในคำสั่ง ต้องรู้ว่าคำสั่งใดสำคัญมากน้องกว่ากัน คำสั่งที่เราไม่ต้องปฏิบัติคือ คำสั่งที่ผิดกฎหมายและคำสั่งที่ผิดศีลธรรม นอกนั้นทุกคำสั่งเราต้องทำ ต้องปฏิบัติ ถ้าเรารับคำสั่งมาแล้วไม่ทำ เราก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกับเขาได้ หรือเราก็ไม่มีค่าไม่เป็นที่ต้องการของเขา การไม่รับคำสั่งก็จะทำให้เราไม่มีความหมายในสายตาของผู้ที่รวมการกระทำนั้นๆ หรือถ้าเรารับคำสั่งมาแล้วไม่ชัดเจนหรือตีความคำสั่งผิดไปจากเจตนาของผู้สั่ง ผลออกมาก็ทำให้ผู้สั่งไม่พึงพอใจในผลงานของเรา ตัวเราก็จะไม่มีคุณค่าในสายตาและความคิดของเขา 2. “หน้าที่” เราต้องรู้บทบาทของตัวเรา ว่าเรามีหน้าที่อะไร ทั้งหน้าที่ส่วนตัว หน้าที่ส่วนรวม หน้าที่มีหลายสถานะ เราจะต้องมีหน้าที่กับสภาวะของสังคมที่เราอยู่ คนทุกคนต้องมีหน้าที่ ทุกชีวิตเกิดมาต้องมีหน้าที่ ใครไม่มีหน้าที่ก็เป็นคนที่ไม่มีประโยชน์ เมื่อเรามีหน้าที่แล้วเราจึงจะมีสิทธิ์ตามมากับหน้าที่ หน้าที่คือการกระทำโดยภาวะความสำคัญและบทบาทของเรา ส่วนสิทธิคือผลประโยชน์ที่เราจะได้รับตามมาจากการกระทำหน้าที่ เราทำหน้าที่ดี เราก็ย่อมได้รับสิทธิที่ดี คนที่มีความคิดจะไม่เรียกร้องสิทธิถ้าไม่ทำหน้าที่ที่สมบูรณ์ คนเรามีความอยากได้ทุกคนแต่จะมีกี่คนที่ทำหน้าที่ได้ดี คนที่ไม่อยากทำหน้าที่หรือไม่รู้หน้าที่ หรือทำหน้าที่ได้ไม่ดี จักต้องรู้ตนเองว่าพึงไม่ควรเรียกร้องสิทธิใดๆ 3. “ความรับผิดชอบ” เราต้องแสดงออกซึ่งอาการที่มีใจรักและเป็นห่วง สิ่งใดที่เกิดและเกี่ยวข้องกับเรา เป็นสิทธิที่เราพึงมีส่วนรวมรับผลประโยชน์นั้นๆ เราจึงต้องรับผิดชอบ บุคคลที่มีความรับผิดชอบมากก็จะเป็นผู้ที่มีสิทธิ์รับผลประโยชน์มากมากกว่าผู้อื่น ความรับผิดชอบต้องอาศัยสติในการควบคุมและติดตาม ผู้ที่มีความรับผิดชอบสูงต่อทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นที่ยอมรับในความกล้า และแสดงให้เห็นสภาวะการเป็นผู้นำของบุคคลที่ดี ความรับผิดชอบจะมีเฉพาะในตัวของคนที่เป็นผู้นำที่ไม่ยึดติดเท่านั้น ผู้ที่เป็นใหญ่จริงๆเมื่อกล้ารับความดีและความชอบแล้ว ในคราวเดียวกันก็จะกล้ารับความผิดที่เกิดขึ้นด้วย สังคมที่ดีจะกลัวคนที่กล้ารับความผิด คนที่เป็นผู้นำที่ดีเมื่อมีความรับผิดชอบแล้วจะไม่ขอและไม่รอรับความช่วยเหลือจากผู้ใด คนที่เป็นผู้นำที่ดีจะช่วยเหลือตนเองไม่พึ่งพาคนอื่นหรือคนที่มาช่วยเหลือเรา เพราะเขาเห็นประโยชน์ในส่วนดีของตัวเราที่จะพึงมีพึงได้ต่อตัวเขา มิมีความช่วยเหลือใดๆในโลกนี้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน การเป็นผู้นำที่ดีนอกจากต้องมีความรับผิดชอบแล้วจะต้องรู้จักการครองตน ครองคน และครองงาน 1.“การครองตน”คือครองที่ปาก ครองที่คำพูดเป็นสำคัญ ต้องพูดดี พูดมีสาระ พูดความจริง พูดแล้วเป็นจริง พูดถนอมน้ำใจ พูดสร้างมิตรภาพ เรื่องใดไม่ควรพูดต้องควบคุมปากตนเองได้ อย่างนี้จึงจะเป็นการครองตนที่ดีในฐานะผู้นำ เพราะหากคำพูดที่ออกจากปากของเราไปแล้วเป็นความสัตย์คือเป็นความจริง คนต่างๆก็จะยกย่องเราว่า “มีวาจาสัตย์” หรือถ้าเราพูดอะไรออกไปแล้ว สิ่งที่พูดเกิดเป็นความสำเร็จตามปาก คนต่างๆก็จะสรรเสริญเราว่า “มีวาจาสิทธิ์” ดังนั้นคนเราจะมีความสำคัญให้ผู้อื่นเคารพนับถือได้ ก็ต้องครองตนด้วยการครองวาจาก่อน จึงจะเรียกว่าครองตนที่ดี 2.“การครองคน” คือครองที่ใจ ครองที่ความรู้สึกนึกคิดของคน ต้องรู้อุปนิสัยบุคคล ต้องคาดเดาและอ่านจิตใจได้ การครองใจ จะต้องผูกใจ รักษาจิตใจ ถนอมน้ำใจ จริงใจต่อกัน เมื่อครองคนได้ก็จะกลายเป็นผู้นำคนที่ดี จึงนับเป็นการครองคนที่ดีเช่นกัน ซึ่งเราจะมีพรรคพวกและลูกน้องบริวารมากน้อยเท่าใด ก็อยู่ที่การครองใจของคนต่างๆที่เราปฏิบัติ ถ้าเราครองใจคนดีได้ เราก็มีคนดีเป็นพวกพ้อง แม้คนต่างๆที่มีสมัครพวกมากหรือน้อยก็ตาม เราสามารถรู้ได้เลยว่าคนๆนั้นเป็นคนดีหรือคนชั่ว โดยการดูสมัครพรรคพวกกลุ่มของเขา เขาเลือกคบคนแบบไหนก็เพราะตัวเขาเป็นคนแบบนั้น ดังคำคมที่ผมเขียนไว้ว่า “จะดูคนนี้ว่าเป็นอย่างไร ให้ดูคนเคียงใกล้ที่เขาเลือกคบ” 3.“การครองงาน” คือครองที่แผน ต้องวางแผนได้ แก้ไขสถานการณ์ได้ดี ต้องวางคนให้เหมาะแก่แผนงาน ต้องควบคุมแผนทั้งหมดได้ ต้องรู้ผลดีและผลเสียของงานได้ล่วงหน้า ต้องติดตามการทำงานได้ดีตามแผน ทั้งวิธีทำ และเวลาที่ต้องทำ ถ้าทำทั้งหมดได้แล้วจึงจะเรียกว่าเป็นการครองงานที่ดี ถ้าการงานที่เราทำได้ผลดีก็จะทำให้ตัวเรามีค่า หรือถ้าการงานของเราเป็นโทษ ตัวเราก็ไม่มีประโยชน์ในสายตาผู้อื่น บุคคลที่ครองงานได้ดีจะมีคุณค่ามากเพราะโบราณบอกว่า “ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน”อย่างนี้แล้ว คนที่ครองงานได้ก็เท่ากับครองผู้ร่วมงานได้ทั้งหมด งานเป็นบ่อเกิดของผลประโยชน์ เราต้องให้ผู้ร่วมงานมีส่วนได้กับประโยชน์นั้นอย่างเหมาะสม การเป็นคนดี การเป็นผู้นำที่ดี จะเป็นได้ก็ต้องเกี่ยวกับผู้อื่น ต้องอาศัยความรู้สึกนึกคิดและคำพูดความรู้สึกจากผู้อื่นว่าดี ดังนั้นจึงจะได้ยินคำว่า “คนดี” ตอบสะท้อนกลับมา คนเรา ให้สังเกตดูดีๆ ถ้าเขาชอบพูดเรื่องใดบ่อยๆแสดงว่าเขาชอบเรื่องนั้น การที่คนเราชอบเรื่องไหนก็เพราะเขาเห็นสิ่งนั้นสำคัญและมีคุณค่าว่าดี การจะครองใจคน เราก็ต้องให้ในสิ่งที่เขาชอบใจ เช่น คนที่เห็นแก่กิน เพียงเราให้เขากินอย่างสมใจ เขาก็ชมว่าเราดี คนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ ถ้าเราให้ผลประโยชน์เขาอย่างจุใจเขาก็ยกย่องว่าเราดี คนที่เห็นแก่งาน ถ้าเราให้เขาทำงานอย่างสบายใจ เขาก็ชมว่าเราดี คนที่เห็นแก่เงิน แค่เราหยิบยื่นเงินให้อย่างพึงพอใจ เขาก็สรรเสริญว่าเราดี ถ้าคนๆนั้นเห็นแก่หน้าตาชื่อเสียง ถ้าเราทำให้เขาโด่งดังหรือยกย่องเขาต่อคนอื่น เขาก็จะชื่นชมว่าเราดี คนที่เห็นแก่ความถูกต้อง ถ้าเราทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความถูกต้องให้เขารู้ทุกครั้ง เขาก็จะศรัทธาและยกย่องว่าเราเป็นคนดี ถ้าคนเห็นแก่คุณงามความดี ถ้าเราสร้างแต่คุณงามความดีให้เขารับรู้รับทราบ เขาก็จะชมว่าเราดีจริงๆ หรือถ้าคนๆนั้นไม่เห็นแก่อะไรเลย เราก็ไม่ต้องให้อะไรเขาและตัวเราก็ไม่คิดคาดหวังอยากได้อะไรเช่นกัน อย่างนี้เขาก็จะยกย่องสรรเสริญว่าเราเป็นคนดี..แม้แต่คนที่เห็นแก่ตัวเราเพราะเขาหลง-รักเรา ถึงเราจะไม่ให้สิ่งของอะไรแก่เขาเลย แต่เราให้เขาอยู่ใกล้ๆเรา และเราก็ให้ความสำคัญกับเขาทุกครั้ง เขาก็จะว่าเราดี ดังนั้นคนดีมีหลายแบบและมีหลายมุมมองจากคนต่างๆ ตามแต่คนๆนั้นจะเห็นคุณค่าและประโยชน์แห่งความดีที่แตกต่าง กันดังที่กล่าวมาแล้ว และถ้าอยากรู้ว่าตัวเราเองเป็นคนแบบไหนเห็นแก่อะไรมีคุณค่า เราก็พิจารณาได้จากข้อความข้างต้น อีกอย่างหนึ่งเราอาจจะไม่รู้ว่าเราเป็นคนแบบใดหรือเป็นคนเห็นแก่อะไรว่าสำคัญมีคุณค่า ก็ให้เราสังเกตดูว่าตัวเรายกย่องว่าใครดี หรือชมใครว่าดีตอนไหนเรื่องอะไร ก็แสดงว่าตัวเราเป็นคนเห็นแก่สิ่งๆนั้นเป็นเรื่องที่ดีมีคุณค่าครับ ในความคิดของผม ผมจึงอยากเห็นพวกเราเป็นคนดีที่แท้จริง คือเป็นคนดีเพราะเห็นแต่ความดีของคนอื่น ว่าความดีของเขามีคุณค่า มากกว่าจะเห็นคนอื่นว่าดีเพราะเราเห็นแก่คุณค่าประโยชน์ที่จะเกิดได้แก่ตัวเราเป็นที่ตั้ง เราถึงจะยอมยกย่องเขาว่าดี ดังนั้นแล้วพวกเราจึงจะเข้าเกณฑ์ได้เป็นคนดีที่แท้จริง ฉะนั้นขอให้ช่วยๆกันหน่อยนะครับ การเป็นคนดีของตัวเรา ผมก็เคยคิดคำคมไว้พิจารนาตัวเองประโยคหนึ่งว่า “มีมะม่วง2ผล ให้คนอื่นผลแบบใด นั่นคือใจเราเป็นเช่นผลมะม่วงนั้น” หากเราต้องเอามะม่วง 1 ผลแบ่งให้ผู้อื่น โดยเรายอมเอาผลที่ดีกว่าให้เขาไป แสดงว่าเราคือคนดีเหมือนผลมะม่วงนั้น แต่ถ้าเราเลือกเอามะม่วงผลที่ไม่ดีแบ่งให้คนอื่นไป บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเราเป็นคนไม่ดีเช่นผลมะม่วง ผมเคยได้รับการสั่งสอนมาว่า ใน 10,000 คน จะมีคนฉลาด 1 คน ใน 100,000 คน จะมีคนกล้า 1 คน ใน 1,000,000 คน จะหาคนดีที่เสียสละ 1 คน ถือว่าหายาก ดังนั้นถ้าเราเป็นคนดีหรือไม่ดี เขาก็ให้ดูที่ความเสียสละ ความเสียสละของคนดีมาจากจิตใต้สำนึกดังนี้ 1.มีความไม่ละโมบโลภมาก 2.มีความไม่ยึดมั่นถือมั่น 3.มีความรับผิดชอบสูง 4.มีความไม่ทะยานอยาก 5.มีความระอายแก่ใจ ถ้าเราเป็นคนดี ใครๆก็อยากอยู่ใกล้ ผู้หลักผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจก็จะเมตตาเลี้ยงดูอุปการะ คนเราก็ไม่แตกต่างไปจากสัตว์ สัตว์ดีๆที่น่ารัก สีสันสวยงาม ไม่มีพิษภัย คนก็ชอบเอามาเลี้ยงดูรักษา ให้ข้าว ให้น้ำ ฝึกสอนให้ฉลาด ปล่อยให้เป็นอิสระ ส่วนสัตว์ที่สวยงามน่ารักดูมีคุณค่าแต่ดุร้ายมีพิษภัยหรืออาจสูญหายได้ง่าย คนที่เลี้ยงดูก็จะระมัดระวัง แม้จะน่ารักขนาดไหนก็ต้องกักขังไว้เพราะกลัวอันตราย กลัวหาย สำหรับสัตว์ที่น่ารังเกียจหรือมีพิษภัยพร้อมทำอันตรายเราได้ตลอดเวลา เขาก็จะไม่เอามาเลี้ยง กลับกันจะถูกกำจัดหรือฆ่าทิ้งอย่างไม่มีคุณค่า ที่เปรียบสัตว์เหมือนคน ก็เพราะคนที่ดีก็จะถูกเลี้ยงดูอย่างสุขสบาย ส่วนคนที่ไม่ดี ใครๆก็ไม่เลี้ยงดู ยิ่งเป็นพิษภัยต่อคนอื่น เขาก็จะลงโทษโดยการกักขัง กำจัดออกไป หรือฆ่าทิ้งเสียเป็นต้น แต่ถ้าจะพูดถึงคนดีก็เพราะจิตใจคนฝึกฝนให้ดีได้ มีความนึกคิดแยกแยะสิ่งดีชั่ว มีสายเลือดความสัมพันธ์ มีน้ำใจ มีความระลึกรู้คุณ ซึ่งคนดีตามหลักศาสนามีพุทธสุภาษิตกล่าวแปลไว้ว่า.. “ความกตัญญู เป็นเครื่องหมายของคนดี” คนที่รู้คุณคนและตอบแทนคุณโดยแสดงน้ำใจจริง จัดว่าเป็นคนดี การกระทำความดีต่อผู้ที่สร้างคุณแก่ตัวเรา โดยการตอบแทนพระคุณนั้น จัดว่าคนๆนั้นมีความกตัญญูสูง คนที่ไม่ตอบแทนคุณเรียกว่าเป็นคนที่ไม่รู้คุณคน มีบางคนรู้คุณแต่ไม่แสดงออกซึ่งน้ำใจในการตอบแทนก็เรียกว่าไม่มีน้ำใจ หรือคนที่ทำร้าย ทำลายคนที่เคยมีบุญคุณ อย่างนี้ก็เรียกว่า คนเนรคุณ ส่วนคนดีที่มีน้ำใจจะรู้หน้าที่ของตนเองที่พึงต้องมีต่อผู้มีพระคุณ คือ ทำดีช่วยเหลือเกื้อกูลท่าน ไม่ทำให้ท่านต้องเสียใจช้ำใจ บางคนพูดว่าเขาไม่เคยทำอะไรเป็นการเนรคุณต่อผู้มีพระคุณเลย แต่ทำไมผู้มีพระคุณถึงต้องเสียใจช้ำใจ ก็มาย้อนถามเขาดูว่า “เคยทำดีมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ผู้มีพระคุณบ้างไหม” ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ไม่มีไม่เคย อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นคนไม่ดีเป็นต้น ถ้าจะเปรียบเช่นเป็นพ่อแม่ที่แก่เฒ่าของเรา ถึงเราจะไม่เคยทำร้ายทำลายท่าน แต่ทำไม่คนต่างๆกลับว่าเราไม่ดี ก็เพราะว่าเราไม่เคยมีน้ำใจเลี้ยงดูเอาใจใส่ท่านเลย ปล่อยให้ท่านต้องอยู่อย่างอดๆอยากๆ หรือเจ็บๆป่วยๆ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วสุดท้ายเราก็จะเป็นคนไม่ดี เราเห็นคนอื่นได้รับคำยกย่องว่า “เป็นคนดี” ก็เพราะเขาทำดี เขามีความกตัญญูและกตเวทิตา หากเราอยากจะเป็นคนดี เราก็ต้องทำอย่างเขาหรือทำให้คล้ายเขา ถ้าอยากจะเป็นคนดีกว่าเขา เราก็ต้องทำดีให้มากๆกว่าเขา การที่เราจะเอาชนะคนดี เราต้องทำดียิ่งกว่า ให้ความดีของเราปรากฏท่วมท้นอย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่าเราชนะด้วยความดี นี่คือวิธีการของคนดีที่จะเอาชนะคนดีด้วยกัน ส่วนคนชั่วเขาจะเอาชนะคนชั่วด้วยกัน ด้วยการทำความชั่วที่มากกว่า ซึ่งเป็นการกระทำที่เกิดจากจิตใจที่จะเอาชนะต่อกัน ดังนั้นถ้าเราเป็นคนแบบใดเราก็จะใช้วิธีแบบนั้นในการเอาชนะกัน มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า.. “ถ้าคนที่ดี เขาจะไม่ด่าคนอื่นว่าชั่ว ส่วนคนชั่ว เขาจะชมคนที่ทำชั่วกว่า ว่าดี” อย่างนี้คือแนวทางของคนที่จะดูคนด้วยกัน หากในหมู่คนชั่วจำนวนมากทำให้เห็นคนที่มีความชั่วน้อยยังพอมีอยู่บ้าง คนที่ชั่วน้อยจำนวนนี้จะเป็นที่สรรเสริญ “จึงทำให้สังคมของคนชั่วยังมีคนดีอยู่บ้าง” และในหมู่คนดีจำนวนมาก ก็ยังได้ยินคนดีๆด้วยกันต่างติฉินนินทาด่ากันในเรื่องความไม่ดีของกันและกัน จึง “ทำให้หมู่คนดีกลับมีคนชั่วอยู่ด้วยเป็นธรรมดา” ดังนั้นไม่ว่าคนชั่วหรือคนดี การจะพูดชมหรือด่าว่าใครชั่วช้าหรือดีเลิศประเสริฐศรีขนาดไหนก็ตาม ซึ่งคำพูดของคนต่างๆก็แทบยังไม่น่าเชื่อได้ โดยผมเคยตั้งข้อพิจารณาว่า 1.ถ้าคนดีพูดว่าเราไม่ดี แบบนี้เราน่าจะไม่ดีจริง 2.ถ้าคนดีพูดว่าเราดี แบบนี้เราน่าจะดีจริง 3.ถ้าคนไม่ดีพูดว่าเราไม่ดี แบบนี้เราน่าจะดีแน่ 4.ถ้าคนไม่ดีพูดว่าเราดี แบบนี้เราน่าจะไม่ดีแน่ ดังนั้นจะดีหรือไม่ดีเราก็ต้องดูคนที่คนพูดด้วย คำพูดของคนดีจะมีคุณค่าน่าฟัง แม้แต่คำด่าต่างๆของคนดียังพึงต้องควรฟังไว้ ซึ่งผมเคยเขียนคำคมไว้ว่า.. “คนดีด่าอย่าเสียใจ..คนจัญไรชมอย่าเสียเวลา” มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมอยากพูด คือ คนเราทุกวันนี้ใครๆก็อยากเป็นคนดี อยากเป็นคนใหญ่คนโต ใครๆก็อยากเป็นผู้นำ ผมก็อยากเห็นพวกเราได้เป็นผู้นำคนดี ได้เป็นใหญ่เป็นโต ดังนั้นผมจึงอยากแนะนำข้อปฏิบัติ 7 ข้อ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนไว้สำหรับเป็นข้อยึดถือในการเป็นผู้นำ แม้แต่ตัวผมเองก็นำมาปฏิบัติคือ 1.ต้องรู้เหตุ รู้สถานการณ์ของเรื่องอย่างแจ่มแจ้ง โดยเราต้องมีคำถามในใจทุกครั้งว่า “มันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ใครทำอะไร?” 2.ต้องรู้ผล รู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นก่อนหน้าได้แม่นยำ ซึ่งเราต้องมีคำถามในใจตลอดว่า “ผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร? มากน้อยแค่ไหน?” 3.ต้องรู้ตน รู้สถานะและหน้าที่ของตนเองอันควร ทั้งต้องมีคำถามในใจเสมอว่า “เราคือใคร และเป็นอะไรอยู่ตอนนี้? เรามีหน้าที่อะไรบ้าง?” 4.ต้องรู้กาล รู้ห้วงเวลาอันควรไม่ควรแก่เหตุ โดยต้องหมั่นมีคำถามในใจ ก่อนจะคิดทำอะไรกับใครทุกครั้งว่า “เวลานี้เหมาะไหมหนอ? หรือจะตอนไหนดี” 5.ต้องรู้ประมาณ รู้ประเมิน รู้จักคำนวณและคาดการณ์ คาดเดาให้ใกล้เคียง ซึ่งการคาดเดาหรือประมาณนั้น จะต้องมีคำถามในใจเสมอว่า “พอไหม? ใช่ไหม?เหมาะสมไหม? เท่าไรจะดี? เผื่อไว้หน่อยดีกว่า” 6.ต้องรู้ชุมชน รู้สถานที่ที่เราอยู่ รู้วิถีปฏิบัติของส่วนรวมหมู่คณะที่เราเข้าไป โดยต้องมีคำถามในใจเตือนตนเองว่า “นี่ที่ไหน? ที่นี่เขาเป็นกันอย่างไร? ทำอย่างนี้จะถูกแบบแผนไหม? และที่นี้เราจะทำอย่างไรดี” 7.ต้องรู้ใช้คน ดูคนออก ใช้คนเป็น ใช้คนทำงานให้เหมาะกับความถนัดกับบุคคลนั้นๆ สิ่งที่เราต้องเตรียมพร้อมในข้อนี้คือ คำถามในใจที่ว่า “ใครเก่งอะไร? คนนี้กับอีกคนใครดีกว่า? คนๆนี้จะทำเสียหายไหม? เราจะหาวิธีไหนใช้คนนี้ได้อย่างไร? และใครที่เชื่อมือเชื่อใจได้บ้าง? ถ้าพวกเรารู้จักหลัก 7 ข้อนี้ จะทำให้เราสามารถทำงานใหญ่ๆได้ง่ายและจะเป็นใหญ่ได้ยั่งยืน เพราะงานใหญ่ๆไม่มีทางที่คนเล็กๆจะได้ทำ ใครได้ทำงานใหญ่ สุดท้ายสถานะก็ต้องใหญ่ตามงานที่ทำ คุณสมบัติของคนเป็นผู้นำทำงานใหญ่มักจะมีนิสัยทั้ง 7 ข้อดังที่กล่าวติดตัวมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งพวกเราจะต้องบอกสอนและแน่ะนำพวกเราให้ถูกต้อง ถ้าเราไม่รู้จักเลือกสิ่งดีๆสอนคนของเรา สุดท้ายคนรุ่นหลังก็หนีไม่พ้นต้องเป็นลูกจ้าง เป็นลูกน้องคนอื่น ไม่มีโอกาสได้เป็นใหญ่เป็นโต ไม่มีโอกาสเป็นผู้นำที่มีฐานะร่ำรวย คนที่ลำบากที่สุดก็หนีไม่พ้นคนที่เป็นพรรคพวกญาติพี่น้อง สู้ตอนนี้เราลำบากในการสั่งสอนยังดีกว่าให้เราและพวกเรา ต้องลำบากในวันหน้า ผมเองเห็นญาติๆในวงตระกูลมีแววเป็นผู้นำทำงานใหญ่ๆได้ ติดแต่คนของเรายังติดพ่อแม่ และที่สำคัญพ่อแม่ก็ไม่รู้จักสั่งสอนดีๆ ที่สอนๆกันก็หนีไม่พ้นวิถีที่พ่อแม่เคยเป็น สุดท้ายคนของเราก็เป็นได้อย่างมากคือ เหมือนพ่อแม่ ปัจจัยที่ทำให้พวกเราได้ดีมิใช่แค่การเรียนอย่างเดียว ครูบาอาจารย์ไม่มีทางทำให้พวกเราได้ดีได้หรอกครับ ถ้าทำได้ครูบาอาจารย์เหล่านั้นก็ต้องทำให้ลูกของเขาได้ดีหมดแล้วเหมือนกัน ปัจจัยที่ทำให้พวกเราได้ดีต้องประกอบด้วย 1.ต้อง “ต้นดี” คือมีพ่อแม่ดี สั่งสอนแน่ะนำแต่เรื่องที่ดีจริงๆมิใช่พ่อแม่จะแน่ะนำแต่เรื่องตามใจตัวพ่อแม่ 2.ต้อง “ต่อดี” คือมีครูบาอาจารย์ที่ดี คอยแน่ะนำสั่งสอนเรื่องดีๆ โดยพ่อแม่ต้องห้ามเข้าไปก้าวก่าย หรือปกป้องให้ท้าย 3.ต้อง “ติดดี” คือมีเพื่อนที่ดี คอยเป็นเพื่อนเล่นเพื่อนกินเพื่อนนอน ต้องให้คนของเราคบคนดีๆ รู้จักว่าคนดีเพื่อนดีเป็นอย่างไร 4.ต้อง “ตอดี” คือมีสิ่งแวดล้อมที่อยู่ที่ดี บ้านที่พักอาศัยต้องไม่มีแบบอย่างไม่ดีให้คนของเราเห็น 5.ต้อง“เติมดี” คือมีตำราที่ดีมีประโยชน์ ต้องได้รับ ข้อมูลข่าวสารที่ดีๆ ดังนั้นถ้าเราไม่มีปัญญาสั่งสอนกันเอง เราก็อย่าทำให้เกิดทายาทมา เพราะเท่ากับเราทำร้ายชีวิตคนอื่นทั้งชีวิต คุณธรรมขั้นพื้นฐานที่ต้องสั่งสอนทายาทก็คือ การทำดี การละเว้นความชั่ว และการทำใจให้บริสุทธิ์ เช่น ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่อาฆาต ไม่อิจฉา ไม่อยากได้ของใคร เป็นต้น พูดถึงความโชคดีของผม ไม่ใช่ใครให้โอกาส แต่ผมแสวงหาและหยิบฉวยโอกาสด้วยตนเอง คำว่าโอกาสคืออะไร พวกเราจะมีใครเข้าใจคำๆนี้บ้าง ทุกคนมักพูดว่าชีวิตตนเองที่ไม่เจริญรุ่งเรืองเพราะไม่มีโอกาส แท้ที่จริงแล้วคนที่พูดแบบนี้ไม่มีโอกาสจริงหรือเปล่า หรือว่าเขาไม่รู้จักโอกาสกันแน่ โอกาสแปลว่าอะไรครับ มีใครตอบผมได้บ้าง??? คำว่าโอกาสมีหน้าตาอย่างไร เหตุการณ์แบบไหนถึงเรียกว่าโอกาส และโอกาสใครเป็นผู้กำหนด แต่มีอยู่หนึ่งคำที่ผมได้ยินคนที่ไม่มีช่องทางดีๆในชีวิตมักพูดต่อว่าต่อขานบ่อยๆ คือ ไม่มีใครให้โอกาส!!! คำๆนี้เวลาผมได้ยินแล้วเหนื่อยใจ คนที่พูดแบบนี้จริงๆแล้วเป็นเพราะเขาไม่รู้จักโอกาส แต่พอชีวิตไม่ได้ดีกลับโทษว่าไม่มีใครให้โอกาส ความจริงก็คือตัวเองไม่ให้โอกาสตัวเอง ที่ว่าไม่ให้เพราะตัวเองไม่รู้จักคำว่าโอกาส ถ้าคนเรารู้จักโอกาสจริงๆ จะไปกลัวอะไรกับการไม่มีโอกาส เพราะ 1.เรารู้จักโอกาส 2.เราเจอโอกาส 3.เรารักษาโอกาส 4.เราแสวงหาโอกาส และ 5.เราเข้าถึงโอกาส พอพูดมาถึงตรงนี้ยิ่งทำให้ทุกคนงงหนัก เพราะยังไม่เข้าใจว่าโอกาสคืออะไร ผมจะขอเฉลยก็ได้ว่า..โอกาสก็คือ.. “ทางสู่อำนาจและผลประโยชน์ที่ได้จากคนดีๆ” ดังนั้นถ้าคนที่ปรารถนาโอกาสจริงๆจะต้องทำตัวดังนี้ 1.รู้จักโอกาส คือ รู้จักคนดีๆ รู้จักคนที่มีความรู้ รู้จักคนที่มีอำนาจ รู้จักคนมีตำแหน่งหน้าที่ รู้จักคนที่มีเงิน รู้จักคนที่มีบารมี รู้จักคนที่มียศศักดิ์ รู้จักคนที่มีพรรคพวกและรู้จักคนที่มีคุณธรรม ถ้าเรารู้จักคนดีๆมากเท่าไร ก็เท่ากับว่าเราก็มีโอกาสที่ดีมากเท่านั้น 2.เจอโอกาส คือ ได้เจอคนดีๆ ได้เจอคนที่มีความรู้ได้เข้าใกล้คนที่มีอำนาจ ได้เจอคนมีตำแหน่งหน้าที่ ได้พบคนที่มีเงิน ได้เจอคนที่มีบารมี ได้เข้าใกล้คนที่มียศศักดิ์ ได้พบคนที่มีพรรคพวกและคนที่มีคุณธรรม ถ้าเราได้เจอะเจอคนดีๆเหล่านี้มากเท่าไรก็เท่ากับว่าเราก็มีโอกาสที่ดีมากเท่านั้น 3.รักษาโอกาส คือ ได้ถนอมและรักษาคนดีๆไว้ เช่น ถนอมคนที่มีความรู้ ถนอมคนที่มีอำนาจ ถนอมคนมีตำแหน่งหน้าที่ ถนอมคนที่มีเงิน ถนอมคนที่บารมี ถนอมคนที่มียศศักดิ์ ถนอมคนที่มีพรรคพวกและถนอมคนที่มีคุณธรรม ถ้าเรารู้จักถนอมน้ำใจกับคนดีๆ และรักษามิตรภาพที่ดีไว้สม่ำเสมอ ถ้าเรารักษาไว้ได้ยาวนานมากเท่าไร ก็เท่ากับว่าเราก็มีโอกาสที่ดียาวนานมากเท่านั้น 4.แสวงหาโอกาส คือ แสวงหาและคบค้ากับคนดีๆเช่น ขนขวายเจอคนที่มีความรู้ ขนขวายพบคนที่มีอำนาจ ขนขวายเข้าใกล้คนมีตำแหน่งหน้าที่ ขนขวายใกล้ชิดคนที่มีเงิน ขนขวายสมาคมกับคนที่มีบารมี ขนขวายเจอคนที่มียศศักดิ์ ขนขวายรู้จักคนที่มีพรรคพวกและคนที่มีคุณธรรม ถ้าเราได้เจอะเจอโดยการแสวงหาและคบค้าคนดีๆเหล่านี้มากเท่าไร ก็เท่ากับว่าเราก็มีโอกาสที่ดีมากเท่านั้น 5.เข้าถึงโอกาส คือ เข้าใจและรู้ถึงนิสัยใจคอของคนดีๆเหล่านี้ เช่น รู้ใจคนที่มีความรู้ รู้นิสัยคนที่มีอำนาจ รู้จิตใจคนมีตำแหน่งหน้าที่ รู้อุปนิสัยคนที่มีเงิน รู้ใจคนที่มีบารมี รู้ความพึงพอใจคนที่มียศศักดิ์ รู้นิสัยคนที่มีพรรคพวกและรู้ใจคนที่มีคุณธรรม ถ้าเรารู้จิตใจความชอบ ความไม่ชอบและรู้พฤติกรรมนิสัยของคนดีๆเหล่านี้อย่างชัดแจ้งจนเราสามารถคบค้าสมาคมได้สนิทแนบแน่น ถ้าเราเข้าถึงโอกาสกับคนดีๆ คนมีอำนาจมากเท่าไร ก็เท่ากับว่าเราก็มีโอกาสที่ดีมากเท่านั้น การที่คนเราจะเข้าสู่อำนาจและผลประโยชน์นั้นต้องมีโอกาสมาเกี่ยวข้อง โอกาสมีมาสู่ชีวิตของเรามี 2 ช่องทางคือ 1.คนอื่นให้โอกาส หมายถึงคนดีมีอำนาจหรือคนที่มีลู่ทางแห่งผลประโยชน์ หยิบยื่นสิ่งดีๆให้เรา เช่น ให้งานทำ ให้หน้าที่ ให้รับใช้ ให้เล่าเรียน ให้เข้าใกล้ ให้พูดคุยด้วย ให้อภัย ให้เงินตรา ให้คำแนะนำ และให้คำสั่งสอนดีๆ โอกาสแบบนี้จะมาจากผู้ที่รักและเอ็นดูเราเป็นอย่างยิ่ง 2.คนอื่นเปิดโอกาส หมายถึงคนดีมีอำนาจหรือคนที่มีลู่ทางแห่งผลประโยชน์ ไม่ขัดขวางสิ่งดีๆที่จะเกิดมีแก่เรา เช่น ปล่อยให้เราได้ทำงาน ปล่อยให้เรารับใช้ ปล่อยให้เล่าเรียน ปล่อยให้เข้าใกล้สนิทสนม รับฟังเราพูดและเสนอความคิดเห็น รับการขอโทษจากเราเมื่อผิด ไม่คัดค้านเรื่องต่างๆที่เราจะทำหรือดำเนินการ โอกาสแบบนี้จะมาจากตัวเราเป็นผู้แสวงหาขึ้นเองไม่มีผู้ใดหยิบยื่นให้ โดยผู้มีอำนาจจะไม่ขัดขวางเรา ถึงแม้ท่านจักไม่ให้โอกาสเราเพราะท่านไม่รักก็ตาม แต่ท่านก็ไม่เกลียดชังเรา เราก็จะได้โอกาสมาด้วยความมุมานะของเราเป็นต้น ผมเคยเขียนคำคมสอนใจไว้ว่า.. “เจอคน คือเจอโอกาส คนฉลาดต้องใช้โอกาสให้ถูกกับคน” การเจอคน คือเจอโอกาส คนทุกคนสามารถพัฒนาความสัมพันธ์สู่โอกาสที่ดีได้ เพราะคนทุกคนมีญาติ มีพวก มีคนสนิทแตกแขนงออกไปเป็นเครือข่ายมากมาย ขึ้นอยู่ที่เราว่าจะมองเห็นโอกาสหรือเปล่า และจะรู้จักแปรปรับขยายโอกาสจากคนๆหนึ่งไปสู่คนๆหนึ่งได้อย่างดีหรือไม่ สำหรับการรู้จักคนและพัฒนาเป็นโอกาสขึ้นไปนั้นผมมีข้อคิดให้ปฏิบัติ เช่น การจะรู้จักคนดีๆที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ได้นั้น บางครั้งต้องอาศัยโอกาสการรู้จักกับคนตัวเล็กๆที่จะชักนำให้เราได้โอกาสรู้จักคนใหญ่ก่อน ซึ่งเรื่องนี้ผมเคยแต่งคำคมสั้นๆไว้ว่า “ จะจับช้างใหญ่ให้ง่าย ต้องได้ก่อนช้างน้อย จะจับช้างทั้งร้อยให้ง่าย ต้องได้ก่อนช้างตัวใหญ่ ” ช้างใหญ่คือหัวหน้าจ่าโขลงที่มีอำนาจ ถ้าลูกช้างหลงเดินมาอยู่บ้านเราก่อน อีกไม่นานแม่ช้างก็จะต้องตามมาหาลูกช้างน้อย ต่อจากนั้นพ่อช้างเชือกที่เป็นหัวหน้าจ่าโขลงก็ต้องตามหาเมีย ตามหาลูกของมัน และสุดท้ายก็ต้องเข้ามาหาเรา อย่างนี้เราก็จับช้างตัวใหญ่ๆได้ง่าย จากนั้นถ้าเราต้องการช้างทั้งโขลงจำนวนเป็นร้อยๆเชือกก็ไม่ยาก เพียงเราเลี้ยงดูพ่อแม่ช้างตัวที่ตามลูกมันมาให้ดีๆ อีกหน่อยช้างเล็กช้างน้อยที่เป็นบริวารช้างใหญ่จะแห่กันมาเป็นร้อยเชือก เพื่อตามมาอยู่กับจ่าโขลงตัวใหญ่ นี่ก็คือการจับช้างทั้งโขลง หรือจะเปรียบเทียบเป็นการพัฒนาโอกาสในการรู้จักคนใหญ่คนโตหรือคนหมู่มาก ก็มีวิธีเช่นเดียวกับการจับช้าง ดังนั้นเราอย่างมองข้ามคนเล็กๆหรือเด็กๆที่ยังไม่มีอำนาจราชศักดิ์เพระคนเหล่านี้อาจเป็นช้างน้อยก็ได้ โอกาสอันยิ่งใหญ่ของผมที่ได้รู้จักคนใหญ่คนโตก็เคยมีมาแล้ว ซึ่งเด็กๆเป็นผู้ชักนำโอกาสอันยิ่งใหญ่มาให้ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเราลองถามตัวเองดูบ้างว่าที่ผ่านมาเคยมีโอกาสหรือยัง และวันนี้มีโอกาสมากน้อยแค่ไหน เคยพัฒนาโอกาสให้เป็นอะไรบ้าง ตลอดชีวิตของผม ผมไม่มีใครเลย คุณพ่อคุณแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก ออกพเนจรล่อนเร่ไปทุกทิศ ไปตัวคนเดียว แต่ตลอดเวลาที่ผมเจอคนต่างๆไม่ว่าใคร ผมจะขยับขยายความสัมพันธ์จากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง เป็นการพัฒนาโอกาสแบบทวีคูณไปเรื่อยๆ นอกจากผมจะพัฒนาโอกาสให้มีสู่คนต่างๆเพิ่มขึ้นแล้ว ผมยังพัฒนาโอกาสให้เป็นความเจริญรุ่งเรือง ให้เป็นทรัพย์สินเงินทอง ให้เป็นอำนาจหน้าที่ และให้เป็นสิ่งดีๆให้แก่ตนเองอีก และผมยังพัฒนาโอกาสจากอีกคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่ผมรู้จักทั้ง 2 ฝ่ายด้วย และที่สำคัญผมได้ชักนำโอกาสมาสู่วงศาคณาญาติ บ้านเมืองที่ผมเกิดให้ได้โอกาสเช่นเดียวกับผม ผิดกับคนบางคน เจอโอกาสแต่กลับพัฒนาให้เป็นวิกฤต เจอคนดีมากมายแต่ไม่รู้จักแปรเปลี่ยนเป็นโอกาสที่ดี เผลอๆยังทำให้ความดีเกิดเป็นความเสียหายมาถึงตนเอง หรือบางคนเจอคนดีๆเป็นมิตรแต่ไม่นานก็พัฒนาจากมิตรให้เป็นศัตรูสร้างมหัตภัยกลับมาสู่ตนเองได้ ถ้าเราเจอโอกาสแล้ว หมายถึง การเจอคนที่ดี ซึ่งต้อง ดีทั้งในและดีทั้งนอก จึงจะจัดว่าเป็นคนดีแท้ เมื่อเจอคนดีแล้ว ก่อนที่เราจะรักษาและพัฒนาความสัมพันธ์กับคนดีให้ยั่งยืน ตัวเราก็ต้องดูดีในเบื้องต้นด้วย ถ้าเราดูดีใครๆก็อยากคบ การที่เราเจอคนดีเราเรียกว่าเจอโอกาสที่ดีแก่ชีวิตของเราแล้ว เราก็ต้องทำให้คนดีที่เขาเจอเรา ให้เขารู้สึกเหมือนว่าเขาได้เจอเราแล้วเป็นการเจอโอกาสเช่นกัน การที่จะทำให้เราดูดีในสายตาของคนอื่น ในเบื้องตนก็คือตัวเราจะ 1.ต้องมีภูมิรู้ที่ดี 2.ต้องมีภูมิธรรมที่ดี และ3.ต้องมีภูมิฐานที่ดี ซึ่งผมจะอธิบายทั้ง 3 ภูมิดังนี้ 1.ภูมิรู้ที่ดี คือ มีพื้นฐานทางการศึกษาที่ดี ศึกษาอยู่ใน สถาบันที่ดี มีวิชาความรู้มาก มีความชำนาญการ เป็นพิเศษ เป็นที่ยอมรับของหมู่คณะเกี่ยวกับความรู้ นั้นๆ นี่คือสถานะที่ส่งผลแห่งความยอมรับ จัดเป็น ปัญญาของหมู่ชน อันนี้เป็นบ่อเกิดของพื้นฐานที่ ทรงคุณค่าในตัวเรา คนมีค่า ใครๆก็อยากคบ ยิ่งมีค่าทางความรู้ จะทำให้ผู้ที่คบค้าด้วยได้รับความรู้ ความเจริญตามไป 2. ภูมิธรรมที่ดี คือ มีพื้นฐานทางศีลธรรมที่ดี มีคุณธรรม มีจริยธรรม มีความกตัญญูกตเวทิตา มีความซื่อสัตย์ สุจริต มีมโนสำนึกที่ดี มีความระอาย นี่คือรากฐาน ชีวิต ที่เป็นทุนแห่งสถานภาพของเรา ที่ใครๆ ก็ชอบคบคนที่มีภูมิธรรมดี เพราะคบแล้วไม่เป็นภัย อยู่ใกล้ๆก็มีแต่คนรักตามไปด้วย 3.ภูมิฐานที่ดี คือ มีสถานภาพการวางตัวดี มีการแต่งตัวดี มีกิริยามารยาทดี มีสถานที่อยู่ที่ดี มีอุปกรณ์เครื่องใช้ดี มีความสะอาดสะอ้านดีเป็นระบบระเบียบดี อย่างนี้จะเป็นทุนทางฐานะที่ใครๆพบเห็น จะยอมรับ ว่าตัวเรามีคุณค่า คุณค่านี้จะมีคนชอบมาก เพราะใครๆเห็นแล้วก็เจริญหู เจริญตา น่าคบค้า น่าเข้าใกล้ เมื่อเรามีภูมิรู้ดี มีภูมิธรรมดี และมีภูมิฐานดีครบแล้วถ้าเรามีโอกาสเจอคนดีๆ เราก็ต้องทำให้โอกาสอยู่กับเรานานๆโดยต้องทำให้คนอื่นเชื่อถือ เชื่อมือ และเชื่อใจเราให้ได้ ความเชื่อทั้ง 3 ผมมีหลักแน่ะนำดังนี้ 1.คำพูดใดๆของเราต้องให้คนอื่นฟังแล้ว “เชื่อถือ” ไม่ ว่าจะพูดเล่นพูดจริง เราต้องรับผิดชอบในคำพูด ทุก คำพูดเมื่อพูดแล้วต้องมีน้ำหนัก ต้องเป็นจริง นอกจากพูดจริงแล้วต้องพูดไพเราะ ทุกคำพูดมี สาระ คำพูดต้องฟังแล้วมีประโยชน์ต่อผู้ฟัง ผู้ฟังๆแล้วไม่เสียใจ ไม่ทำร้ายจิตใจ อย่างนี้ ใครๆก็ชอบฟังเราพูด และเชื่อฟังในคำพูดของเรา การพูดมี 2 อย่าง คือ 1.พูดตามที่ปากเราอยากพูด ประเภทนี้ คนพูดจะชอบแน่นอน ส่วนคนฟังที่จะชอบต้องเป็นคนที่คิดเห็นทางเดียวแก่เรา และ2.พูดตามหูคนอื่นอยากฟัง ประเภทนี้ถ้าเราพูดเมื่อใด คนก็จะตั้งใจฟัง และให้ความสำคัญกับคำพูดทุกคำที่ออกจากปากเรา 2.การทำงานใดๆของเราต้องให้คนอื่น “เชื่อมือ” หมายถึงการทำงานต้องมีความรับผิดชอบ ผลงาน ต้องมีประสิทธิภาพออกมาดี เมื่อรับมอบงานมาแล้วต้องทำอย่างดีที่สุด ต้องไม่ทิ้งงาน การทำงานต้องไม่เป็นภัยตามมาที่หลัง..อย่างนี้ใครๆ ก็อยากจะใช้งาน ใครๆก็อยากร่วมงาน เหตุเพราะเขาเชื่อฝีมือของเรานั่นเอง 3.อุปนิสัยใดๆของเราต้องให้คนอื่น“เชื่อใจ” จะคิด จะ พูด จะทำอะไร ต้องไม่ให้ใครละเวง ที่สำคัญทั้งต่อ หน้าและลับหลัง ต้องเสมอต้นเสมอปลาย ต้องรู้คุณของคนที่มีพระคุณ สิ่งใดไม่ใช่ของเราต้องไม่อยากได้และไม่หวังอยากเอา ต้องมีความจริงใจเปิดเผยชัดเจน เราต้องมีจิตใจดี ไม่แสดงให้ใครเห็นว่าเราเป็นคนอาฆาต อันธพาล ละโมบโลภมาก เป็นต้น อย่างนี้ใครๆคบด้วย ก็จะรู้สึกสนิทใจ เป็นบ่อเกิดแห่งความไว้วางใจ เป็นความศรัทธาเฉพาะคน จัดว่าเป็นการฝึกใจที่มีคุณค่ามาก มีบทกลอนที่ผมเคยประพันธ์ไว้หลังพจนานุกรมไทยอังกฤษเพื่อสอนใจน้องๆนักเรียนเด็กกำพร้าจากจังหวัดระยองจำนวน 1,412 คน ที่มารับทุนการศึกษาในโอกาสที่ผมมีอายุครบ 3 รอบ 36 ปี ไว้ดังนี้. อันพ่อแม่พลัดพรากจากเราไป เป็นเหตุให้ชีวิตผิดวิถี แต่เราไม่พลัดพรากจากความดี ยึดหลักนี้แทนพ่อแม่แก้รำเข็ญ. ด้วยชีวิตเกิดมาฟ้ากำหนด ความเจริญอนาคตปรากฏเห็น ต้องขยันวันนี้ที่จำเป็น หมั่นศึกษาหาความเด่นสร้างความดี. ให้การงานของเราเขา“เชื่อมือ” คำพูดเราเขา“เชื่อถือ”คือศักดิ์ศรี นิสัยเราเขา“เชื่อใจ”ไว้ฤดี สามอย่างนี้ที่เขาเชื่อเอื้อสบาย. ขอพวกเราเหล่ากำพร้าตั้งหน้านำ เว้นเวรกรรมทำดีมีจุดหมาย ยึดคติที่ถูกต้องคล้องใจกาย ผลสุดท้ายเราเจริญเกินกว่าใคร. ถ้าเราปฏิบัติตัวดีจนใครๆก็เชื่อเราทั้ง 3 อย่างตามบทกลอนข้างต้นแล้ว เราจึงอาจจะมีโอกาสพัฒนาชีวิตให้ได้ทำงานใหญ่ ถ้าเราได้ทำงานใหญ่หรือได้ทำงานสำคัญแล้ว ชีวิตของเราก็จะยิ่งใหญ่และสำคัญตามงานไปด้วย การทำงานใหญ่และงานสำคัญ เราต้องพึงพาอาศัยคนจำนวนมากช่วยเหลือ โอกาสที่เราได้เจอคนมากมายที่ผ่านมา คนต่างๆเหล่านั้นจะเป็นตัวช่วยเหลือเราให้ทำงานใหญ่สำเร็จ การที่เราต้องทำงานใหญ่ๆนั้น เราไม่ต้องไปออกแรงอะไรมาก ไม่ต้องเสียเหงื่อด้วย เราแค่ออกมันสมองและคำพูด โดยยึดหลัก 3 ข้อดังต่อไปนี้ รับรองงานใหญ่ๆจะสำเร็จหมด หลักการทำงานใหญ่ 3 ข้อคือ1.ประสานใจ 2.ประสานงาน และ3.ประสานผลประโยชน์ การประสานทั้ง 3 ทางมีวิธีดังนี้ 1.การประสานใจ คือ ต้องผูกใจผู้ร่วมงาน ต้องรู้ใจ ต้อง จริงใจต่อกัน ต้องไม่ขัดใจ ต้องรักษาน้ำใจผู้ร่วมงาน และญาติมิตรของทีมงานด้วย ต้องมองหน้าก็รู้ใจ ที่ สำคัญต้องมีอิทธิพลเหนือใจผู้อื่น คือใจเราต้องนิ่ง และมีคุณธรรมพอที่จะให้ผู้อื่นไว้วางใจเรา อย่างนี้เมื่อเราได้ประสานใจใดๆแล้ว จะไม่เป็นอุปสรรคแก่จิตใจของผู้ร่วมงานซึ่งกันและกัน 2.การประสานงาน คือ ต้องรู้เนื้องาน ต้องวางแผนงาน ได้และคุมแผนงานเป็น ต้องแจกงานได้ดี ตามงานรู้ทั้งระบบ สรุปงานได้ตลอดเวลา งานต่างๆต้องรู้ขั้นตอนว่าใครทำอะไร ควรให้ใครทำอะไร และต้องรู้การแก้ปัญหาของงานได้ดี ต้องรู้แปรปรับงานให้เข้ากับสถานการณ์ได้ตลอด ต้องรู้ผลงานทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ต้องรู้ผลดีและผลเสียของงานทั้งหมด ถ้าเรารู้วิธีที่ประสานงานแล้ว และเราก็ประสานงานต่างๆได้ดี งานของเราก็จะสำเร็จได้ดี 3.การประสานประโยชน์ คือ ต้องให้ทุกคนได้ผลตอบรับ ตามที่ใจเขาปรารถนาและต้องให้ทุกคนมีส่วนได้อย่าง ยุติธรรม คนที่ทำดีต้องได้รางวัล จะเป็นรางวัลสิ่งของ หรือรางวัลคำชมเชยก็ต้องมี ประโยชน์ต้องจัดแบ่งปัน สู่ผู้อื่นอย่างดี ทุกคนที่รวมทำงานจะต้องมีความสุข จากประโยชน์นั้น ห้ามให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเราเห็นแก่ ประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้งเพียงคนเดียว การประสานทั้ง 3 อย่าง คือ ประสานใจ ประสานงานและประสานผลประโยชน์ ต้องประสานเรื่องทั้งหมดให้อยู่บนพื้นฐานของความรัก ความกรุณา ความปรารถนาดี ความจริงใจ และความยุติธรรม สำหรับความรักเป็นเรื่องสำคัญ ผมได้จัดแบ่งความรักไว้ 2 ลักษณะ ดังนี้ 1.“รักเขา” คือความรักที่เรามีให้ต่อผู้อื่น หมายถึงคนต่างๆที่เราเห็นคุณค่า เราเห็นคุณลักษณะที่เราปรารถนา เราจึงรู้สึกถูกใจประทับใจ เราก็จะทำทุกอย่างให้เป็นที่ประทับใจแก่คนๆนั้น เรารักใครเราก็จะแสดงความปรารถนาแต่สิ่งดีดีให้ แสดงความกรุณาให้ แสดงความหวังดีให้ แสดงความเสียสละให้ แสดงความยุติธรรมให้เห็น และแสดงความจริงใจให้ปรากฏ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราแสดงก็เพราะเราปรารถนาในสิ่งดีๆในตัวเขา ให้ได้มาอยู่กับเรานานๆ ให้อยู่กับเรามากๆ ความรักแบบนี้เป็นความรักที่เราจะต้องเหนื่อย เพราะเราต้องเป็นฝ่ายแสดงออก เราต้องดัดตนให้เขาพึงพอใจ หากวันใดที่เราแสดงตนไม่เหมือนเดิมหรือสถานภาพเราไม่เหมือนตอนแรกที่เขาเห็น เขาก็จะต้องเปลี่ยนไปตามการแสดงออกของเรา ความรักเช่นนี้ เป็นความรักที่ขึ้นอยู่ที่เรา เราแสดงความรักมากเท่าใด เราจะได้การแสดงความรักตอบกลับมากเท่านั้น เราแสดงความรักนานเท่าใด เราก็ได้ความรักตอบกลับมานานเท่านั้น วันใดเราไม่เหมือนเดิม ความรักที่เราจะได้กลับ มันก็ย่อมไม่เหมือนเดิม บางครั้งใจเราไม่เปลี่ยน แต่การกระทำเราเปลี่ยน เช่น สิ่งที่เราเคยทำดีๆ วันนี้เราไม่ทำเพราะเราขี้เกียจ ไม่ว่างทำ ไม่สะดวกทำ อย่างนี้เขาก็ถือว่าเราเปลี่ยนไป ผลคือความรักที่เราจะได้รับกลับมาก็ย่อมเปลี่ยนตามไปด้วยเช่นกัน การแสดงความรักให้เขา ก็เพราะเราหวังประโยชน์แห่งความสุขที่เราจะได้รับจากตัวเขา อย่างนี้ก็เป็นความรักที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เพียงแต่การได้เป็นแบบนามธรรม ถึงมองไม่เห็นตัวตน ส่วนการแสดงความรักที่มอบให้อาจเป็นรูปธรรม คือจับต้องได้ เพราะบางทีการแสดงความรักด้วยการให้ เมื่อให้ก็อาจจะมีสิ่งของที่จับต้องได้มาเกี่ยวข้องในการให้ไป ผนวกกับคนที่เรารักเป็นคนเห็นแก่ประโยชน์สิ่งของ เห็นแก่การได้วัตถุ ดังนั้นเขาจึงเห็นว่า การให้จากความรักของเราช่างแลดูมีค่ามาก เป็นต้น 2.“เขารัก” คือความรักที่ผู้อื่นมีให้ต่อเรา หมายถึง การแสดงความรักจากผู้อื่นที่มีต่อเราเพราะ เขาเห็นคุณลักษณะพิเศษในตัวเราตามที่เขาปรารถนา เขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เราประทับใจ หากความดีของเรายังอยู่ดังเดิม เหมือนที่เขาเห็นแต่แรกแล้ว เขาก็จะแสดงความรักเป็นความศรัทธาต่อเราไปเรื่อยๆ ความรักประเภทนี้เราจะไม่เหนื่อย เพราะถ้าเขาชอบอุปนิสัยหรือคุณลักษณะของเราแท้ๆแล้ว ก็เท่ากับว่าเรามีความดีส่วนตัวเป็นทุนเดิม ถ้าเขารักเราเพราะนิสัย หากนิสัยเราไม่เปลี่ยนเขาก็รักเราตลอดไป ถ้าเขารักเราเพราะหน้าตา หากอนาคตหน้าตาเราไม่เปลี่ยน ความรักที่เขามีให้เราก็จะไม่เปลี่ยนไปในอนาคต หรือถ้าเขารักเราเพราะตำแหน่งการงาน ถ้าตำแหน่งการงานเราคงเดิม เขาก็จะรักเราเช่นเดิม ใครถ้าได้เจอคนที่รักเราเพราะอุปนิสัยส่วนตัว ถือว่าเราช่างโชคดีจริงๆ เพราะแน่นอนชีวิตนี้เราจะมีคนที่ทำดีต่อเราตลอดชีวิต แม้สถานภาพเราจะเปลี่ยนไป เขาก็ยังรักเราอยู่ดังเดิม เพราะเขารักในสิ่งที่เราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้นั้นคือ “นิสัยส่วนตัว” คนที่รักเรา เขาถูกใจก็ดี ประทับใจก็ดี พึงพอใจก็ดี เราก็จะแสดงออกซึ่งความรักตอบกลับไปทีหลัง แต่มิใช่เป็นการแสดงความรักก่อน ดังนั้นความรักที่แสดงตอบกลับจะมิใช่ความรักที่แท้จริง แต่เป็นความรักที่ตอบรับรักแทนให้ไป เป็นความรักแบบมีผลประโยชน์ เป็นความรักตอบเพื่อรักษาผลประโยชน์ที่เราพึงได้รับ ให้ความรักที่ได้มารักษาไว้อยู่กับเรานานๆและบางทีอาจเป็นความรักที่เราแสดงน้ำใจตอบกับ เพราะเราสงสาร เห็นใจ เข้าใจในความดีที่เขามีให้เราก่อน มีข้อควรปฏิบัติในการครองรักของกันและกัน ซึ่งผมได้ศึกษาวิถีต่างๆเพิ่มเติมจากธรรมะของพระพุทธเจ้าโดยระบุไว้ดังนี้ 1.ต้องแสดงออกทางความรู้สึกต่ออีกฝ่ายว่ารัก 2.ต้องให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายขอหรือร้องขอมา ตามสมควร 3.ต้องแสดงความยินดีอย่างจริงใจเมื่ออีกฝ่ายประสพ ความสำเร็จ 4.ต้องแสดงออกซึ่งความยุติธรรมอย่างเสมอภาค 5.ต้องสงเคราะห์ช่วยเหลือทั้งส่วนตัวและช่วยหมู่ญาติ 6.ต้องพูดจาด้วยความไพเราะและรักษาน้ำใจกัน 7.ต้องยอมรับและให้เกียรติยกย่องซึ่งกันและกัน 8.ต้องสนับสนุนทางความคิดที่ดีโดยให้กำลังใจซึ่งกัน 9.ต้องปกป้องคุ้มครองดูแลกันทั้งในยามสุขและทุกข์ 10.ต้องถือสัญญาข้อตกลงที่มีร่วมกันทั้งต่อหน้าลับหลัง ความรักบนโลกสำหรับคนๆหนึ่งจะมีอยู่ 3 ระดับชั้น คือ 1.ความรักชั้นบน, 2.ความรักชั้นกลาง และ3.ความรักชั้นล่าง คนต่างๆที่มีความรักครบ 3 ชั้น จิตใจก็จะสมบูรณ์มีที่ยึดเหนี่ยว มีความหวัง มีความปรารถนา มีเป้าหมาย การดำรงชีวิตจะอยู่อย่างมีความสุขเพราะความรักทั้ง 3 ชั้นนี้จะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตให้มีคุณค่า คนเราถ้าความรักทั้ง 3 ชั้นสูญหายล้มตายไปจากชีวิตคนใดคนหนึ่งแล้ว ชีวิตคนๆนั้นก็จะไม่มีกระจิตกระใจที่จะดำรงอยู่ต่อไป ดังที่มีคำกล่าวว่า “หมดอาลัยตายอยาก” ความรักทั้ง 3 ชั้นที่มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนเรามีข้อคิดที่ผมวิเคราะห์ไว้ดังนี้ 1.ความรักชั้นบน คือ ความรักที่มีมาแต่แรกเริ่มเดิมที เป็นความรักที่ได้รับจากที่สูง “เป็นความรักแท้” ของผู้ใหญ่ ที่มีความเมตตากรุณาให้เราเป็นอย่างมาก และมากที่สุดกว่าความรักใดๆ เป็นความรักที่เราได้รับมาตั้งแต่เด็กๆ ได้แก่ความรักของพ่อ,แม่,ปู่,ย่า,ตา,ยาย หรือญาติผู้ใหญ่ที่เลี้ยงดูสั่งสอนเรามาเป็นต้น ซึ่งเรื่องความรักชิ้นนี้ ผมเคยเขียนคำคมสอนไว้ประโยคหนึ่งว่า “ผู้ที่รักเรามากที่สุดในโลกคือ แม่ แต่รักแท้ที่เรามอบให้คือลูก” 2.ความรักชั้นกลาง คือ ความรักที่เป็นเพื่อนคู่ครอง “เป็นความรักคู่” เป็นความรักที่จะต้องร่วมดำเนินชีวิตไปด้วยกัน เป็นความรักที่ต่างฝ่ายต่างมีให้กัน เป็นเสมือนเพื่อน และญาติพี่น้อง เป็นความรักที่สร้างความหวัง เป็นความรักที่เกิดขึ้นในช่วงวัยที่ต้องการกำลังใจ ความรักแบบนี้ส่วนใหญ่เกิดจากความลุ่มหลงทางรูปกาย ความเสน่หาทางจิตใจและกามารมณ์ ความรักแบบนี้คงหนีไม่พ้นความรักของสามีภรรยา 3.ความรักชั้นล่าง คือความรักที่เกิดมาในภายหลัง เป็นความรักที่เราต้องมีแต่ให้ และเต็มใจให้อย่างแท้จริง เป็นความรักที่เป็นความหวัง เป็นการสร้างอนาคตให้ตนเอง เป็นความรักที่มีปริมาณมากกว่าความรักใดๆ ซึ่งรองลงมาจากความรักตัวเอง ความรักประเภทนี้ เรียกว่า “รักดังดวงใจ” ความรักแบบนี้คงหนีไม่พ้นรักลูก,หลาน,เหลน เรื่องความรักของคนเราทั้ง 3 ชั้น เป็นเรื่องความรักที่ยิ่งใหญ่ จริงๆแล้วเราควรจะสอนคนของเราให้รู้จักความรัก รู้จักแสดงความรัก รู้จักรักษาความรัก และรู้จักคนรักที่เราควรเลือกให้อยู่คู่กับชีวิตของเรา การทำดีต่อคนที่เรารัก เราจะมีความสุขมากๆแต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะ แต่ถ้าเราทำดีกับคนที่รักเรา เราอาจไม่ค่อยมีความสุขแต่เราจะได้รับความสบายตอบกลับมามากทวีคูณ คนที่เห็นแก่ตัวแบบโง่ๆจะเลือกทำดีกับคนที่เรารัก เพียงอยากได้ความสุขใจตอบกลับเพียงประเดี๋ยวเดียว แต่ถ้าคนที่เห็นแก่ตัวแบบฉลาด จะเลือกทำดีกับคนที่รักเรา เพราะเราจะได้รับการแสดงความรัก และความปรารถนาดีต่างๆนาๆตอบกลับมาแบบมหาศาลไม่รู้จบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าเราจะครองใจคนรัก เราต้องรู้ว่าคนรักคนไหนต้องการอะไร เราจึงพึงแสดงความปรารถนาที่ดีให้เขาทั้งหลาย ให้เขารับรู้ว่าเรารักเขามากๆ เราแสดงความรักให้คนต่างๆได้โดยการพูดคำดีๆ ทำแต่สิ่งดีๆ และแสดงความคิดแต่เรื่องดีๆให้เขารับรู้รับทราบ อย่างนี้เขาจะรู้สึกตลอดเวลาว่าเรารักเขามากแค่ไหน คนเราส่วนใหญ่เห็นแก่ตัวและเห็นแก่ได้ จึงมักอยากได้รับความรักจากคนต่างๆ แต่ทางกลับกันไม่ค่อยมีใครจะแสดงความรักให้ผู้อื่น อย่างเช่น คนเรามักจะกราบไหว้ขอพรจากพระพุทธรูป เพียงหวังว่าองค์พระท่านศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะรักเมตตาเรา และช่วยเหลือเราตามที่เราขอ แต่ไม่ค่อยมีใครจะทำตัวเป็นพระให้คนอื่นกราบไหว้แทน ที่สำคัญไม่มีใครจะแสดงตนให้ศักดิ์สิทธิ์ได้เอง โดยทำตนช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้ดั่งที่ใครๆก็ปรารถนาร้องขอ เราควรสอนคนของเราให้แสดงความรักแก่ผู้อื่น ให้ช่วยเหลือผู้อื่น ให้สอนคนของเราให้ทำตัวเป็นพระ ให้น่าเคารพกราบไหว้ แต่อย่าสอนคนของเราให้คิดแต่จะกราบไหว้ขอพรจากพระ และรอแต่ความรักความช่วยเหลือจากผู้อื่นอย่างเดียว อย่าสอนคนของเราให้รอและขอแต่สิ่งดีจากใครๆ คนรักก็ดี ของรักก็ดี นับเป็นของหวง เราจะห่วงสถานะภาพของสิ่งที่เรารักตลอดว่ายังอยู่กับเราหรือไม่ การที่เราสะสมสิ่งดีๆมากเท่าใด แม้จะมีความสุข แต่สุดท้ายมันก็คือความทุกข์ ทุกข์ที่ต้องรักษา ทุกข์ที่ต้องพะวง ทุกข์ที่กลัวว่าจะตกไปสู่มือคนที่ไม่ดี สำหรับของดีๆก็มักจะอยู่กับคนดีที่มีอำนาจ การที่เราสะสมของดีๆมากเท่าใด กลับมิใช่เราเป็นคนดีมากเท่าจำนวนสิ่งของ ถ้าเรามีของดีมากเท่าไร เราควรมอบของดีๆให้อยู่กับคนดีๆมากเท่านั้น การมีของดีที่ไม่มีชีวิต ไม่สู้เรามีคนดีที่มีชีวิตอยู่รอบข้าง เราจงสอนคนของเราให้รู้จักมอบของดีๆให้คนดี เรามอบของดีให้คนดีๆมากเท่าไร เราก็จะมีคนดีๆห้อมล้อมเรามากเท่านั้น การที่คนดีๆรักและเคารพเรา ก็เท่ากับว่าเราเป็นพระของกลุ่มคนดีๆนั้น การหาคนที่อยากได้ อยากดี ทุกวันนี้เราหาได้ง่าย แต่ถ้าเราจะหาคนที่อยากทำให้แต่คนอื่นได้ ให้คนอื่นดี ทุกวันนี้รับรองหายากจริงๆหรือบางทีหาแทบไม่ได้เลย ใครเห็นเรามีคุณค่าที่เรื่องใด จิตใจคนนั้นเห็นแต่สิ่งๆนั้นว่ามีคุณค่า กลับกันถ้าเราเห็นใครมีคุณค่าที่เรื่องใด แสดงว่าจิตใจเราเห็นสิ่งๆนั้นมีคุณค่า การเห็นคุณค่าเป็นการชี้วัดจิตใจของผู้ที่เห็นนั่นเอง ใครเห็นแก่การกิน แสดงว่าเขาเห็นของกินและเรื่องกินมีค่า ใครเห็นเงินมีค่า แสดงว่าเขาเห็นแก่เงิน ใครเห็นคนมีค่า แสดงว่าเขาเห็นแก่คน ใครเห็นชื่อเสียงยศศักดิ์มีค่า แสดงว่าเขาเห็นแก่ชื่อเสียงยศศักดิ์ ใครเห็นคุณธรรมมีคุณค่า แสดงว่าจิตใจเขามีแต่คุณธรรม เป็นต้น ขอให้คิดไว้อย่างหนึ่งว่า ไม่มีมนุษย์คนใดในโลกที่ไม่หวังอยากได้ดี มนุษย์ทุกคนเกิดมา อยากได้ดี อยากเป็นคนดี แต่ที่ไม่ได้ดีและไม่เป็นคนดี ก็เพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ดี ไม่รู้วิถีที่จะต้องทำ ต้องพูด และต้องคิด การไม่รู้ในเรื่องพื้นฐานแห่งความดี จึงทำแต่สิ่งที่ตนเองคิดว่าดีแล้ว ถูกหรือไม่ถูกก็ไม่รู้ สุดท้ายกลับกลายเป็นเรื่องไม่ถูกต้องและไม่ดี ผลที่ได้รับคนๆนั้นก็กลายเป็นคนไม่ดีไปแล้ว บางคนรู้ว่าทำดีแต่อาจไม่ถูกต้องผลออกมาจึงกลายเป็นเรื่องผิด คนที่ทำก็เลยกลายเป็นคนผิด เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งชี้วัดสถานภาพจิตใจคน ความถูกต้องและความดี เป็นสิ่งที่ยากจะแยกตัดสินว่าอะไรสำคัญกว่ากัน แต่จริงๆแล้วความดีและความถูกต้อง จะต้องทำควบคู่กันทุกครั้ง “ความดี” คือสิ่งที่ทุกคนยอมรับ เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนมีความสุข มีความพึงพอใจ เป็นสิ่งที่คนทุกคนอยากได้ เป็นสิ่งที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่ ความดีเป็นสิ่งที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนและเสียหาย ความดีเป็นสิ่งที่อยู่คู่มนุษย์ ความดีจะสร้างประโยชน์ให้กันและกัน “ความถูกต้อง” คือสิ่งที่ดำรงไว้ซึ่งความดี เป็นสิ่งที่เห็นพ้องต้องกันในหมู่คณะ เป็นตัวบทกฎเกณฑ์ที่จะรักษาสังคมให้อยู่รอดปลอดภัย ความถูกต้องคือข้อกำหนดที่อาจจะทำให้คนใดคนหนึ่งไม่ถูกใจ แต่จะทำให้สถานภาพส่วนรวมสงบสุข ดังนั้นถ้าเราอยู่ในหมู่คณะหรือต้องเป็นผู้นำแห่งหมู่คณะ เราจะต้องปฏิบัติทั้งความดี และทำความถูกต้องให้มีควบคู่กันทุกครั้งไป ถ้าเราทำแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราก็จะอยู่ไม่ได้ เช่น ถ้าเราเป็นตำรวจ ไม่จับผู้ร้าย เพราะเราสงสารกลัวเขาจะติดคุก สิ่งนี้เป็นเรื่องดีเพราะเรามีเมตตา แต่มันไม่ถูกต้องเพราะสังคมจะไม่เป็นสุข ที่สำคัญถ้าเราไม่จับผู้ร้าย เขาก็จะถือว่าเราไม่ทำหน้าที่ที่ต้องทำ สิ่งที่เราเว้นจากการกระทำลงไปคือไม่จับผู้ร้าย อย่างนี้ก็เรียกว่าเราทำไม่ถูกต้องเป็นต้น หรือว่าเราทำแต่ถูกต้องโดยไม่ดูว่าสิ่งใดดีไม่ดี เช่น แค่เรื่องผิดเล็กๆน้อยๆเราเป็นตำรวจ เราก็จับทุกเรื่อง จับจนคนต่างๆเดือดร้อนเพราะการจับของเรา อย่างนี้ก็เป็นเรื่องไม่ดีในมุมมองของคนทั้งหลาย เพราะเราใช้อำนาจเกินเหตุ คนที่มีอำนาจเหนือผู้อื่นก็เปรียบเป็นฟ้า คนที่ต้องอยู่ใต้อำนาจเขาก็เปรียบเป็นดิน มีคำพูดที่ว่า “ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ” ฟ้ามีหน้าที่อะไร? ดินมีหน้าที่อะไร? ฟ้าและดินต้องอยู่รวมกันอย่างไร คนที่มีอำนาจเหนือผู้อื่นได้ก็ต้องมาจาก 1.คนอื่นๆยอมรับให้มีฐานะสูงส่ง, 2.คนอื่นๆยอมอยู่ใต้อำนาจอันชอบธรรม, 3.คนอื่นๆรักและเคารพด้วยความจริง, 4.คนอื่นๆได้พึ่งพาอาศัย, 5.คนอื่นๆเชื่อฟังคำสั่งสอน และ6.คนอื่นๆไม่ได้รับความเดือดร้อนจากอำนาจนั้น คนที่ต้องอยู่ใต้อำนาจผู้อื่นได้ ต้องประกอบด้วย 1.เป็นคนว่านอนสอนง่าย, 2.เป็นคนไม่กระด้างกระเดื่องแข็งข้อ, 3.เป็นคนที่รู้จักแสดงความเคารพนับถือ, 4.เป็นคนที่อยู่ในระเบียบข้อบังคับ, 5.เป็นคนที่รู้ฐานะของตนเองและผู้อื่น, 6.เป็นคนรู้บทบาทหน้าที่ ถ้าประเทศชาติของเรา คนที่มีอำนาจอยู่เหนือผู้อื่นและผู้ที่อยู่ใต้อำนาจผู้อื่น รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างดี รับรอบว่าเมืองไทยก็จะไม่เกิดความวุ่นวายปั่นป่วน แต่ที่วันนี้สังคมวุ่นวายเพราะ คนที่มีอำนาจสูงกว่าผู้อื่นไม่ยอมอยู่ในฐานะและทำหน้าที่ ที่ควรเป็นอยู่ ส่วนคนที่อยู่ใต้อำนาจเขาก็ไม่อยู่ในส่วนที่ตนควรเป็นเช่นกัน จะว่าไปแล้วถ้ายกตัวอย่างก็เปรียบเสมือน.... “ พระประธานในอุโบสถไม่ยอมอยู่นิ่ง สนใจแต่เรื่องกิจการในวัด พอเห็นเณรขโมยเงินทำบุญ ท่านเลยต้องลงจากแท่นฐานมาเตะก้านคอเณร ส่วนเณรพอเจ็บตัวก็เลยโกรธโมโห จึงชี้หน้าด่าลบหลู่องค์พระประธาน ” จากตัวอย่างนี้เราก็ลองคิดดูซิครับ พระประธานของวัดนี้ยังจะมีใครมาเคารพกราบไหว้ต่อหรือไม่? ส่วนเณรก็คงไม่มีใครคิดมาทำบุญใส่บาตรต่อแน่ๆ แล้วอย่างนี้ วัดนี้จะต้องถึงการอะไรครับ? คนต่างๆจะคิดอย่างไรกับวัดนี้ครับ ดังนั้นถ้าเราได้มีอำนาจและหน้าที่ อยู่ในสถานะไหนในสังคมแล้ว เราก็ควรวางตนอย่างไรจึงจะเหมาะสม อย่างนี้ก็ต้องคิดให้เป็น หรือแม้ถ้าเราต้องมีสถานะเป็นประธานหรือประมุขแห่งสังคม เราไม่รู้จะวางตนตรงไหนอย่างไร ก็ให้เราสังเกตองค์พระประธานในวัดดู ถ้าเราลองวางตนอย่างพระประธานจริงๆ รับรองเราจะได้เป็นประธานที่ดี หรือได้เป็นประมุขผู้นำคนดีๆไปตลอดชีวิต หากพูดถึงอำนาจหน้าที่ ของผู้ที่เป็นประมุขก็ดี ของผู้ที่มีอำนาจเหนือคนอื่นก็ดี หรือจะเป็นหน้าที่ของผู้ที่ต้องอยู่ใต้อำนาจคนอื่นก็ดี ทั้งหมดล้วนแล้วมีความกลัวเป็นที่ตั้ง ที่ว่ากลัวก็คือกลัวในอำนาจนั้นเอง แม้คนที่อยู่ใต้อำนาจผู้อื่น แต่กลับกันก็มีอำนาจที่น่ากลัวที่สุดเหมือนกัน ความกลัวจัดแบ่งเป็น 3 ชั้น เป็นความกลัวของคนจาก 3 ระดับ โดยผมได้จัดความกลัวที่มีต่อกันดังนี้ คือ 1.คนชั้นต่ำ จะกลัวอำนาจของคนชั้นสูง นั่นหมายถึงประชาชน จะกลัวอำนาจข้าราชการของรัฐ หรือคนที่มีฐานะและอิทธิพลสูงกว่าประชาชนคนทั่วไป 2.คนชั้นสูง จะกลัวอำนาจของคนชั้นสูงสุด หมายถึงข้าราชการคนของรัฐ และคนที่มีอิทธิพลโดยฐานะดีกว่าคนอื่น จะกลัวอำนาจทีเหนือกว่าอำนาจแห่งรัฐ นั่นคืออำนาจชั้นสูงสุดของพระราชา หรือของประธานาธิบดี 3.คนชั้นสูงสุด จะกลัวอำนาจของคนชั้นต่ำ หมายถึงพระราชา หรือประธานาธิบดี ผู้ดำรงฐานะประมุขแห่งรัฐ จะกลัวอำนาจที่ควบคุมไม่ได้ นั่นคือ กลัวอำนาจของประชาชนคนหมู่มากในรัฐนั้นเอง ดังนั้นอำนาจของใครที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คืออำนาจที่แท้จริงของแผ่นดินนี้ แผ่นดินที่ดีจะต้องได้ผู้มีอำนาจที่มีคุณธรรมปกครอง หากพูดถึงอำนาจก็จะต้องมีการพูดเรื่องการให้คุณ ให้โทษ “โทษ” คือ ผลตอบรับที่ได้จากการทำความผิด หากทำผิดและยอมรับผิด หรือยอมขอโทษ ก็นับเป็นความรับผิดชอบของคนดี ผู้ที่ทำผิดแล้วรู้ตัวว่าผิด จัดว่าเป็นคนที่ไม่ผิด ความผิดที่เกิดขึ้นจากการกระทำแล้ว ย่อมเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ผมจัดการแบ่งระดับของผู้ที่เกี่ยวข้องกับความผิดและโทษไว้ดังนี้ 1.คนชั้นต่ำ หรือประชาชนที่ไม่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ เมื่อทำผิดจะต้องถูกคนชั้นสูงลงโทษ นั้นหมายถึงคนที่มีอำนาจรัฐปกครองดูแล จะเป็นผู้ลงโทษประชาชนคนธรรมดาทั่วไปที่ทำผิด รวมทั้งการยกโทษด้วย ถ้าคนชั้นต่ำทำผิด หากเป็นคนดีมีสำนึก ก็จะต้องยอมขอโทษ ยอมรับสารภาพความผิด เป็นการแสดงความรับผิดชอบ การขอโทษนั้นต้องทำต่อคนอื่นที่เดือดร้อนจากการกระทำผิด และคนชั้นสูงผู้มีอำนาจแห่งรัฐที่เกี่ยวข้องต่อความผิดนั้นๆ 2.คนชั้นสูง หรือข้าราชที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ หรือคนที่มีอำนาจบารมีเหนือคนทั่วไป เมื่อทำผิดจะต้องถูกคนชั้นสูงสุดลงโทษ นั้นหมายถึง คนที่มีอำนาจเหนืออำนาจรัฐจะเป็นผู้ลงโทษโดยการตำหนิติเตียน ตักเตือน ถ้าคนชั้นสูงกระทำผิด หากเป็นคนดีมีสำนึก ก็จะต้องยอมขอโทษ และรับสารภาพความผิดต่อเกณฑ์ที่คนชั้นสูงสุดกำหนด การยอมรับความผิด และรับฟังคำตำหนินั้น คนชั้นสูงต้องกระทำต่อเกณฑ์ของคนชั้นสูงสุด นั่นคือคนที่มีอำนาจเหนืออำนาจแห่งรัฐ 3.คนชั้นสูงสุดที่มีอำนาจเหนืออำนาจรัฐ เมื่อทำผิดจะต้องถูกคนชั้นต่ำลงโทษ คนที่ลงโทษได้หมายถึงคนที่ไม่มีอำนาจแต่มีอิทธิพล ด้วยการให้การสนับสนุนคนชั้นสูงสุดให้อยู่ในฐานะที่สูงสุดได้ คนชั้นต่ำจะเป็นผู้ลงโทษหมู่คณะของคนชั้นสูงสุด ด้วยการไม่ยอมรับ ไม่ศรัทธา ไม่แซ่สร้องสรรเสริญ ถ้าคนชั้นสูงสุดทำผิด หากเป็นคนดีจริงๆโดยมีสำนึกคิดได้และไม่มีทิฐิมานะถือยศศักดิ์ ก็จะต้องยอมรับความผิดและยอมลดตัวขอโทษ โดยการขอโทษนั้นต้องทำต่อคนชั้นต่ำ คือประชาชนคนทั่วไปผู้ที่มีอิทธิพลมากกว่าอำนาจใดๆแห่งรัฐ ผมเคยชมภาพยนตร์ชุด ที่รัฐบาลจีนสนับสนุนการถ่ายทำเพื่อประกาศพระเกียรติคุณ “จอมจักรพรรดิหย่งเจิ้น” มีอยู่ตอนหนึ่งที่พระจักรพรรดิ คิดผิด พูดผิด ทำผิดต่อราชกิจ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อแผ่นดิน และประชาชน พระจักรพรรดิเป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริง ท่านยอมลดตัวคุกเขา เพื่อขอโทษต่อประชาชนของท่านทั้งแผ่นดิน การที่ท่านขอโทษประชาชนครั้งนั้นเป็นการลดตัว แต่กลับทำให้เหล่าราชวงศ์ ขุนนางน้อยใหญ่รวมถึงประชาชนทั้งแผ่นดิน ยอมรับและศรัทธาในตัวของพระจักรพรรดิมากขึ้น ทำให้แผ่นดินจีนของพระองค์ หลังจากมอบราชสมบัติให้พระราชโอรสแล้ว เกิดเป็นความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด สูงกว่าทุกยุคสมัยของประเทศ พระราชโอรสขององค์หย่งเจิ้น คือ หน่อเนื้อเชื้อสายความดี เพราะได้แบบอย่างสิ่งดีๆ ที่พระจักรพรรดิหย่งเจิ้นทรงอบรมสั่งสอนมากับมือ พระโอรสที่ว่าคือ “องค์เฉินหลงฮ่องเต้” ดังนั้นรัฐบาลจีนเล็งเห็นถึงแบบอย่างความดี ของผู้ที่มีอำนาจในแผ่นดินจีนยุคก่อน ซึ่งทำให้แผ่นดินและฐานะประชาชนเจริญรุ่งเรืองมั่งมีมั่งคั่ง ท่านทำให้แผ่นดินและประชาชนมั่งมีมากกว่าเหล่าราชวงศ์จะมั่งมีรุ่งเรืองกันเองไม่กี่คน พระองค์ยอมให้คนในยุคนั้นและคนที่เสียผลประโยชน์ ตำหนิติฉินนินทาด้วยความรังเกียจ เพราะพระองค์ไม่เห็นคำสรรเสริญเยินยอ ว่าจะสำคัญมากกว่าความเจริญรุ่งเรื่องที่แท้จริงของประชาชนและแผ่นดิน รัฐบาลจีนจึงสนับสนุนการจัดทำภาพยนต์เรื่องจอมจักรพรรดิหย่งเจิ้น ออกมาเผยแพร่ให้ชาวโลกรับรู้ มนุษย์ทุกผู้ทุกนามบนโลกนี้ ล้วนเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ไม่ค่อยมีน้ำใจ และไม่มีความรับผิดชอบ คนทุกคน ทุกชนชั้น ไม่ว่าชั้นต่ำ ชั้นสูง หรือชั้นสูงสุด ต่างต้องอาศัยกันและกัน เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน หวังแต่ประโยชน์จากผู้อื่นเป็นที่ตั้ง แม้แต่ของ 2 สิ่งจะติดเข้ากันได้ยังต้องอาศัยกาวเป็นตัวเชื่อม ความเหนียวของกาวจะยึดติดของ 2 สิ่งให้อยู่ด้วยกัน หากเปรียบเช่นนี้ ก็เหมือนคน 2 คนจะครองคู่หรืออยู่ด้วยกัน คบค้าสมาคมกัน สนิทสนมกัน หลงรักกัน เป็นเพื่อนกัน เป็นญาติพี่น้องกัน เป็นสามีภรรยากัน เป็นพ่อแม่ลูกกัน ทั้งหมดต้องอาศัยสิ่งที่เป็นตัวเชื่อมให้อยู่ด้วยกัน สิ่งที่เชื่อมได้นั่นก็คือ “ผลประโยชน์” คนเราถ้าหมดผลประโยชน์กันแล้ว รับรองไม่มีทางอยู่กันได้ ผลประโยชน์ขั้นพื้นฐาน ที่มนุษย์ยึดว่าเป็นตัวเชื่อมยึดให้อยู่ด้วยกันมี 4 อย่างคือ 1.ทรัพย์สินเงินตราประโยชน์ผลต่างๆที่เป็นวัตถุ 2.ชื่อเสียงเกียรติยศ การยกย่องสรรเสริญ วาจาที่ดีงาม 3.ความสะดวกสบาย ความสุขส่วนตัว ความพึงพอใจ 4.ความรู้ วิชาการ และคำแนะนำ ความปรารถนาดี แม้ใครยังมีประโยชน์ทั้ง 4 อย่างนี้ ให้กันและกัน ก็ยังคงสามารถครองคนอื่นอยู่ได้ทุกสถานะ แม้แต่ต้นไม้ที่มีใบผลดก นกหนูยังมาอาศัย หากวันใดต้นไม้ไร้ใบและดอกผล นกหนูก็ต้องขนสมาชิกหนี ผมพูดอย่างนี้คุณก็ต้องคัดค้านว่าไม่จริง จะเอานกหนูมาเปรียบกับคนไม่ได้ คนมีจิตใจ รักใครรักจริง ไม่ถือผลประโยชน์ 4 อย่างเป็นที่ตั้ง งั้นเอาอย่างนี้ คนเราต้องรักพ่อแม่มากๆในชีวิต ส่วนพ่อแม่ก็รักเรามากที่สุดในโลก คงจะหาความรักอื่นหมื่นใดมาเปรียบเทียบไม่ได้ ในความคิดของผมแล้ว ไม่ว่าความรักแบบใดก็พึงหวังผลประโยชน์ต่อกันทั้งสิ้น ถ้าหมดประโยชน์ก็จะไม่อยู่ด้วยกัน จะหลีกหนีกัน จะผลักไสไล่ส่งกันไป เช่น เวลาพ่อแม่ตายเราก็จะร้องไห้เสียใจ กอดร่างอันไร้วิญญาณ พอท่านตายได้ 2 ถึง 3 วันร่างเริ่มเน่าน้ำหนองไหล เป็นที่น่ารังเกียจ มีกลิ่นเหม็นฟุ้ง เราก็เริ่มไม่ชอบ ที่ไม่ชอบนั้นเพราะสิ่งที่เกิดหลังความตายของพ่อแม่ ไม่เป็นที่ปรารถนาของเรา ไม่เป็นประโยชน์ที่จะก่อเกิดคุณใดๆ ดังนั้นแล้วคนเราจึงนำร่างของพ่อแม่ที่ตาย ไปไว้วัด ไปเผา ไปฝัง แม้แต่กระดูกยังเอาไปลอยอังคารทิ้ง หรือแม้แต่ลูกที่ว่าพ่อแม่รักเราที่สุดในโลก ยามเราตายแล้ว ท่านก็ต้องเอาร่างของเราไปเผา ไปฝังเหมือนกัน ไม่มีมนุษย์คนใดเมื่อคนที่เรารักตายแล้วยังแสดงความรัก ความปรารถนาดีต่อเหมือนเดิม โดยไม่ยอมเอาร่างไปเผา ไปฝัง แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านมีคุณค่าน่าเคารพยกย่องสูงสุด เมื่อท่านนิพพาน เหล่าสาวกพระอรหันต์ต่างๆยังต้องนำร่างของท่านไปเผาทิ้งเสีย แม้องค์พระพุทธรูปที่เรากราบไหว้บูชาที่บ้าน หรือองค์พระเครื่องที่เรารักหวงแหนแขวนไว้ที่คอ ถ้าวันใดองค์พระนั้นแตกหัก คนก็จะเอาไปทิ้งไว้ที่วัดเป็นต้น เมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง คนทุกคนต่างหมายประโยชน์ทั้ง 4 อย่างซึ่งกันและกัน ก็แสดงว่าคนเราเห็นแก่ประโยชน์ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ พอหมดประโยชน์ก็ไม่มีน้ำใจ ทอดทิ้งกันไปทุกคน นับประสาอะไรกับคนที่เรารักมากที่สุด หรือคนที่รักเรามากที่สุด ทั้งหมดแล้วก็รักกันที่ประโยชน์ทั้งสิ้น หมดประโยชน์ก็เลิกรักกัน แม้แต่ตัวเราเองยังไม่รักตัวเราอย่างแท้จริง เราก็คงรักตัวเราที่ประโยชน์ผลเหมือนกัน ไม่เชื่อก็ลองดูซิครับ ถ้าวันใดร่างกายของเราไม่หายใจแล้ว ใช้งานไม่ได้แล้ว ไม่มีประโยชน์แล้ว วิญญาณเราก็จักทิ้งร่างกายเราหนีไปทันที วิญญาณเราเห็นแก่ตัวที่สุด คือ จะไปเกิดในร่างใหม่ถ้าหากมีบุญ แม้แต่ตัวผมขณะมีลมหายใจอยู่วันนี้ เรียกนามกันว่าเสี่ยอู๊ด หรือนายสิทธิกร บุญฉิม พอตายไปก็ทิ้งชื่อนามทันที มิได้เอาติดตามไปใช้เป็นชื่อในภพชาติใหม่ ถึงชื่อจะดีหรือไม่ ก็ทิ้งไว้ในชาตินี้ทั้งหมด ไม่มีเอาอะไรไปได้เลยแม้แต่คุณงามความดีที่ทำไว้ ก็ตกอยู่กับคนบนโลกนี้จักต้องอยู่รับทราบกันต่อไป ทุกๆเรื่องที่ผมถ่ายทอดมานี้ สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมแนะนำก็เป็นเพียงตัวอักษรเท่านั้น ใครจะได้ดีหรือไม่ ใครจะเป็นคนดีจริงหรือไม่ ก็อยู่ที่คุณสมบัติที่ต้องดีส่วนตัวก่อน เช่น คุณธรรม มโนสำนึก ดวงชะตาเกิด สิ่งแวดล้อม ความนึกคิด จิตใจ สติปัญญา และพรรคพวก ถ้าคุณสมบัติส่วนตัวของเขายังไม่ดี ผมก็คงมิสามารถบังคับใครๆให้ได้ดีได้ แม้แต่ตัวผมยังมิสามารถทำดีได้ตามที่เขียน ด้วยสาเหตุนี้เองจึงทำให้ผมต้องมาติดคุกไงครับ พูดถึงการมาติดคุก ก็เป็นส่วนดี ได้เห็นภาวะต่างของคนที่เคยพึ่งพาอาศัยผม องค์กรการกุศลต่างๆ พระสงฆ์องค์เจ้าทั้งหมด จะแสดงบทบาทพฤติกรรมออกมาอย่างชัดเจน จิตใครเป็นคนดีมีน้ำใจหรือใครเป็นคนเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว เอาตัวรอด ก็จะปรากฏให้เห็นชัด ยิ่งติดคุกนานๆจะเห็นหมดว่าใครเป็นคนอย่างไร ในเมื่อสังคมไทยคนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่เหนือชีวิตผู้คน ต่างมีความเชื่อเพราะรับฟังคำเขามาแล้วก็รีบกล่าวหาผมว่าเป็นคนชั่ว เป็นคนบาป เป็นคนเลว ผมจึงคิดว่าคำตัดสินของผู้พิพากษาแห่งศาลอาญา ที่สั่งให้ผมต้องโทษจองจำ มันก็เหมาะสมแล้วสำหรับแผ่นดินนี้ และบทลงโทษของมันยังน้อยไป ที่จริงอย่างนี้ก็ควรมีคำสั่งให้ประหารชีวิตผมด้วยซ้ำเพื่อให้หมดกรรมต่อกันไป แม้เขาไม่ประหารผม ผมก็เอาชีวิตใช้หนี้ให้เขาทั้งหลายแล้วครับ การกระทำต่างๆของผมทั้งหมดในภพชาตินี้ ของให้สวรรค์ได้โปรดลงโทษลงทัณฑ์ผมให้ถึงที่สุด เพราะผมรับได้ ผมไม่ยึดติดกับสถานภาพของความสุขความทุกข์ แม้ชีวิตของผม ผมก็ไม่ยึดติดว่าต้องอยู่ ต้องดี ต้องมี ต้องเป็น ต้องเด่น ต้องดังผมไม่ยึดติดแม้แต่บุญกุศลหรือบาปกรรม มีคนเคยพูดว่าคนอย่างผมถ้าตายไปต้องได้เป็นเทวดา หรือถ้าเกิดมาชาติหน้าจะต้องยิ่งใหญ่ได้เป็นพระราชา หรืออภิมหาเศรษฐี แต่สำหรับใจผมแล้ว ผมไม่อย่างเป็นเทวดา ไม่อยากกลับมาเกิดเป็นพระราชาหรืออภิมหามหาเศรษฐี ไม่อยากเกิดมามั่งมีหรือยากจน ดังนั้นในชาติหน้าถ้ามีจริงขออย่าให้ผมกลับมาเกิดอีกเลยครับ ขอให้คนดีทั้งหมด ที่รวมกันกล่าวหาว่าผมทำผิดชั่วช้า และที่ช่วยกันดำเนินคดีความกับผม ขอให้ท่านทั้งหลายจงเจริญรุ่งเรืองในโลกมนุษย์ ขอให้ท่านและครอบครัวลูกหลานบริวาร จงเสวยสุขกับมนุษย์สมบัติ อย่างมั่งคั่ง มั่นคง ขอให้อุดมด้วยลาภ ยศ ทรัพย์สิน เงิน-ทอง ขอให้มีตำแหน่งอำนาจหน้าที่ยิ่งใหญ่เป็นอมตะ ขอให้มีความสุขความสะดวกสบายตลอดชีวิต ขอให้ท่านทั้งหลายอย่าได้เจ็บไข้ไม่สบาย ขอให้ท่านมีแต่ความสมหวัง ไม่เสียใจใดๆ ขอพรทั้งหมดทั้งหลายจงมีแก่ท่านที่กล้าเปิดเผยตัวและไม่เปิดเผยตัวก็ดี รวมทั้งผู้ที่อิจฉาริษยา ซึ่งแอบอ้างเอาอำนาจจากฟ้าลงมากลั่นแกล้งผม โดยทำให้ผมต้องเป็นคดีความ มาติดคุกทุกข์ทรมาน ให้เสื่อมเสียเกียรติยศ เสียศักดิ์ศรี สูญสิ้นทรัพย์ และเสียฐานภาพที่ดีทุกอย่างบนโลกมนุษย์แล้วทั้งหมด ซึ่งผมก็ยอมเสียแล้ว และยอมเสียให้แม้แต่ชีวิตด้วย ดังนั้นเมื่อท่านทั้งหมดได้เห็นผมดับสิ้นสลายสมความปรารถนาของท่านแล้ว ผมจึงขอให้ทุกท่าน ทุกคน ทุกรูป ทุกนาม จงได้รับพรอันประเสริฐดังที่ผมกล่าวมาแล้วถ้วนหน้ากัน เพื่อจักได้เป็นพลาอานุภาพให้ท่านทั้งหลาย จักได้ส่งเสริมสร้างสิ่งที่ดีให้เกิดแก่บุคคลอื่นๆต่อไป และด้วยผลบุญคุณความดี ที่ผมพอได้มีโอกาสทำมาบ้าง แม้จะไม่มากนัก หรือผลบุญใดก็ตามถ้ามีจริง ขอผลบุญบริสุทธิ์นั้นทั้งปวง จงมีแก่คณะของผมทุกคน และขอให้ผลบุญทั้งหลาย จงทำลายกิเลสทั้งปวงในจิตของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม ให้หลวงพ่อฯได้ถึงนิพพานด้วยเทอญ บุญใดที่ผม ญาติๆและพวกพ้อง ได้ร่วมกันทำมา จงเป็นบุญใหญ่ เป็นมหากุศล ส่งผลไปถึงทายาทของทุกคนได้เป็นคนดี ทั้งวันนี้ และวันหน้า ตลอดกาล.สวัสดี “เสี่ยอู๊ด” สิทธิกร บุญฉิม
วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554
จดหมายฉบับสุดท้าย “เสี่ยอู๊ด”
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น