เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง ภาพ ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์, พงษ์พันธ์ แพเพ็ชร
1 วัน…
ท่องเที่ยวหลากสีสัน บนดินแดนไข่มุกอันดามัน
อากาศร้อนๆ แบบนี้ใครได้มาเยือนภูเก็ตแล้ว คุณจะรู้ว่าเกาะแห่งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่า ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ความเป็นมา และทรัพยากรธรรมชาติที่มากมาย ทั้งบนดินและใต้น้ำรวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสารพัน รับรองไปเที่ยวกับผมทริปนี้ไม่มีเบื่อแน่ครับ
ไม่บ่อยนักที่ผมจะได้มาเยือน จ.ภูเก็ต หรือไข่มุกแห่งอันดามัน น้ำทะเลสีเขียวมรกต และหาดทรายขาวเนียนเหมาะแก่การพักผ่อน ความโดดเด่นของชายทะเลและกลุ่มเกาะในภูเก็ต ทางฝั่งตะวันตกยังมีลักษณะเป็นอ่าวเว้าแหว่ง หาดราไวย์ หาดกะตะ หาดกะรน และหาดกมลา ซึ่งเป็นสถานที่ผมขอพาทุกคนไปสัมผัสความเป็นธรรมชาติที่ยังเหลืออยู่
//ไม่ได้ไปกราบนมัสการหลวงปู่สุภา ถือว่าไม่ถึงภูเก็ต
ระยะเวลา 1 วัน กับการท่องเที่ยวสถานที่สำคัญๆ บนเกาะภูเก็ต เที่ยวแบบผมจะสบายๆ ไม่ยุ่งยากครับ สถานที่แรกที่ผมจะพาไป เอาเป็นว่าผมขอแวะไปกราบนมัสการ หลวงปู่สุภา กันตสีโล พระอริยสงฆ์ไทย ปัจจุบันเชื่อว่าท่านมีอายุ 115 ปี โดยเพิ่งฉลองอายุครบรอบดังกล่าวไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายนปีที่ผ่านมา อาจจะเป็นบุคคลที่มีอายุมากที่สุดในโลก เหนือกว่านายวอลเตอร์ บรุนนิ่ง ชาวอเมริกันวัย 113 ปี เจ้าของสถิติคนสูงอายุที่สุดในโลก ซึ่งถูกบันทึกโดยกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด (กินเนสส์บุ๊ก) แต่วันนี้น่าเสียดายที่หลวงปู่สุภาอาพาธอยู่ที่โรงพยาบาลทำให้ผมไม่ได้เข้ากราบหลวงปู่อย่างที่ตั้งใจ
เอาเป็นว่าหากใครต้องการเดินทางไปยังวัดสีลสุภาราม (วัดหลวงปู่สุภา) นั้นไม่ยากอย่างที่คิดครับ เนื่องจากสถานที่ตั้งของวัดอยู่บนถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ซึ่งเป็นถนนไปเส้นทางเดียวกับวัดฉลอง หลวงพ่อแช่ม ทุกวันนี้เขาถึงพูดกันเล่นๆ แต่จริงจัง ว่าใครมาภูเก็ตแล้วไม่ไปวัดฉลองเหมือนมาไม่ถึงภูเก็ต วันนี้ต้องเปลี่ยนใหม่ว่า ใครมาภูเก็ตแล้วไม่ได้มากราบนมัสการหลวงปู่สุภาก็มาไม่ถึงภูเก็ตเช่นกันครับ
หรือถ้าเดินทางมาจากสะพานสารสินพอข้ามจากฝั่งพังงามาภูเก็ตแล้ว ให้่วิ่งไปทางถนนเส้นเจ้าฟ้าตะวันตก ซึ่งสามารถวิ่งเข้าได้จากหลายแยก โดยวิ่งไปทางเส้นสนามบินก็ได้ แต่ถ้ามาจากในตัวเมืองให้วิ่งไปทางแยกราชภัฎ และออกไปทางเส้นถนนเจ้าฟ้าตะวันออกจะผ่านโลตัสเจ้าฟ้า แล้วเจอสี่แยกข้างหน้าให้เลี้ยวขวา แล้วขับตรงขึ้นไปเลี้ยวซ้ายอีกที (จะมีครกกับสากตั้งอยู่ตรงหัวมุมเป็นจุดสังเกต) แล้ววิ่งตรงไปเรื่อยๆ ไม่นานจะเห็นป้ายวัดและชื่อของหลวงปู่สุภาติดไว้ตลอดทางครับ
//พระใหญ่เมืองภูเก็ต
ด้วยเหตุนี้ผมจึงเปลี่ยนแผนขอพาทุกท่านไปสักการะ “พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี” พุทธอุทยาน ที่อยู่ไม่ไกลจากหลวงปู่สุภาแทนครับ ที่นี่เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเเละสันติสุข อีกทั้งเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที ความเคารพ ความศรัทธาต่อองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ซึ่งหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง และได้น้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
“พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี”เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปแบบร่วมสมัย ขนาดหน้าตักกว้าง 25.45 เมตร ความสูง 45 เมตร โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ประดับผิวด้วยหินอ่อนหยกขาว “สุริยกันต”(สุริยกันตะ) จากพม่า น้ำหนักเฉพาะหินอ่อน หยกขาวประมาณ 135 ตัน หรือประมาณ 2,500 ตารางเมตร ประดิษฐาน ณ บนยอดเขานาคเกิด ตำบลกะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต
สำหรับการเดินทางมาที่นี่ไม่ยากครับ โดยเดินทางออกจากตัวเมืองภูเก็ตเข้าสู่ถนนเจ้าฟ้านอก เลยวัดฉลองมา 800 เมตร เลี้ยวขวาเข้าซอยยอดเสน่ห์ หรือเดินทางจากวงเวียนห้าแยกฉลอง ถนนเจ้าฟ้านอกเลี้ยวซ้ายเข้าซอยยอดเสน่ห์ ในระหว่างเดินทางขึ้นไปกราบสักการะพระพุทธรูป “พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี” ด้านล่างก็มีโรงทานให้บริการอาหารเจ ซึ่งเลี้ยงฟรีด้วยครับ เมื่อผมได้เห็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวไหว้พระทำบุญนั้นแล้วมันช่างชื่นใจ อย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ผมนึกถึงคำพูดของ คุณสุพร วนิชกุล ประธานผู้ดำเนินการจัดสร้าง พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี ที่บอกว่า “ผมอยากให้พระใหญ่องค์นี้เป็นเหมือนศูนย์กลางของคนภูเก็ต เหมือนพระใหญ่เกาะลันเตา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพสักการะของชาวฮ่องกง ซึ่งใครที่มาภูเก็ตแล้ว ต้องมาสักการะพระใหญ่ภูเก็ตเพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตเช่นกัน” ผมได้ฟังแบบนี้แล้วรู้สึกหัวใจชุ่มชื่นขึ้นมาทันทีว่า คนไทยก็ใช่ย่อยกว่าใครในโลก
//แหลมพรหมเทพ ไม่สิ้นมนต์ขลัง
เมื่อเดินทางออกจากการไหว้พระพุทธรูปใหญ่ภูเก็ตแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังแหลมพรหมเทพ ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองภูเก็ต อยู่ห่างจากหาดราไวย์ ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นแหลมที่อยู่ตอนใต้สุดของเกาะภูเก็ต ชาวบ้านเรียกว่า แหลมเจ้า จากริมหน้าผามีแนวต้นตาลลาดลงสู่ปลายแหลมที่เป็นโขดหิน สามารถเดินไปจนถึงปลายแหลมได้ มองเห็นน้ำทะเลสีเขียวมรกตและเกาะแก้วอยู่ด้านหน้าแหลม ทางขวาจะเป็นแนวหาดทรายของหาดในหาน
แหลมพรหมเทพ นับเป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง ที่ใครมาภูเก็ตเป็นต้องไม่พลาดที่จะนั่งรอชมพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าและขอบทะเล นอกจากนั้นยังมี “ประภาคารกาญจนาภิเษกแหลมพรหมเทพ” สร้างขึ้นในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 พรรษา มีขนาดความกว้างที่ฐาน 9 เมตร สูง 50 ฟุต และแสงจากโคมไฟมองเห็นไกลถึง 39 กิโลเมตร ภายในประภาคารมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการก่อสร้างประภาคาร การรักษาเวลามาตรฐาน การคำนวณ และแสดงเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ด้วยบนยอดของประภาคารยังเป็นจุดชมวิวอีกจุดหนึ่ง ผมจึงไม่รอช้า ที่จะคว้ากล้องออกมาแชะภาพถ่ายสวยๆ เพราะเหมือนได้ย้อนวันเวลากลับไปเป็นเด็กที่เคยมาเที่ยวแหลมพรหมเทพแห่งนี้ ซึ่งยังไม่สิ้นมนต์ขลังจริงๆ เพราะเราโตขึ้น อายุมากขึ้น แต่แหลมพรหมเทพก็ยังคงความงามเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
//บ้านชินประชา 108 ปี
ก่อนที่ผมจะเดินทางต่อไปยังภูเก็ตแฟนตาซี ศูนย์รวมวัฒนธรรมบันเทิงยามค่ำคืนบนหาดกมลา ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง ผมขอพาไปเที่ยวชมบ้านชินประชา ค่าเข้าชม 100 บาท กับความรู้ที่ยังเหมือนมีชีวิต ที่นี่ผมได้พูดคุย คุณจรูญรัตน์ ตัณฑวณิช หรือ ป้าแดง ภรรยาคุณประชา ตัณฑวณิช ทายาทรุ่นที่ 4 (ถึงแก่กรรมแล้ว) เล่าว่า บ้านชินประชาเป็นบ้านโบราณที่สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2446 หรือในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระพิทักษ์ชินประชา (ตันม่าเสียง) บิดาของท่านคือ หลวงบำรุงจีนประเทศ (ตันเนียวยี่) เกิดที่มณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีน รับราชการทหารในตำแหน่ง "บู๊เต็กจงกุน" และเดินทางมาประเทศไทยใน พ.ศ.2397 หรือในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อทำธุรกิจเหมืองแร่ดีบุกที่เกาะภูเก็ต และกิจการค้าขายบนเกาะปีนังในนามยี่ห้อ "เหลียนบี้"
พระพิทักษ์ชินประชา(ตันม่าเสียง) เป็นบุตรชายคนโตของหลวงบำรุงจีนประเทศ เกิดที่เกาะภูเก็ตในปี 2426 เมื่ออายุได้ 20 ปี ท่านได้สร้างบ้านหลังนี้ตามแบบ “ชิโน-โปรตุกีส” เป็นหลังแรกของ จ.ภูเก็ต หรือที่เรียกกันว่า “อังม่อเหลา” เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งส่วนใหญ่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษจีน วัสดุส่วนอื่นของบ้านนั้น ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เนื่องจากการค้าขายทางเรือผ่านเกาะปีนังมายังภูเก็ต เช่นรั้วบ้านจากฮอลแลนด์ กระเบื้องปูพื้นจากอิตาลี ฯลฯ
ปัจจุบัน "บ้านชินประชา" อายุมากกว่า 108 ปี และมีลูกหลานนับเนื่องเป็นรุ่นที่ 6 แล้ว ส่วนตัวผมรู้สึกชื่นชมป้าแดงทายาทเจ้าของบ้านหลังนี้เป็นอย่างมากที่ยังคงรักษามรดกของบรรพบุรุษ ไว้ได้เป็นอย่างดี หากใครมีโอกาสมาภูเก็ต อย่าลืมแวะชม บ้านชินประชา บ้านที่เป็นมรดกอันล้ำค่าของคนไทยอีกแห่งนะครับ
//ความศักดิ์สิทธิ์...ย่ามุก-ย่าจัน
จากนั้นเดินทางไปยังสวนพระพุทธศาสนา วัดม่วงโกมารภัจจ์ หรือที่ชาวภูเก็ตนิยมเรียกสั้นๆ ว่า “วัดม่วง” ผมออกจากตัวเมืองภูเก็ตใช้เส้นทางถนนเทพกระษัตรี วิ่งผ่านอนุเสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร ไปตรงตามเส้นทาง ผ่านสี่แยก อ.ถลาง ตรงไปประมาณ 200 เมตร ให้สังเกต ซ้ายมือจะมีซอยเลี้ยวเข้าตรงสะพานลอยข้ามถนน ซึ่งตรงข้ามที่ทำการ อ.ถลาง เลี้ยวซ้าย เข้าไปตามถนนจนกระทั่งถึงทางแยกให้ตรงไป และเลี้ยวซ้ายเข้าวัด
ชาวบ้านมีความเชื่อว่า วัดม่วงโกมารภัจจ์ เคยเป็นวัดในสมัยท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร ซึ่งก่อนเกิดเหตุสงครามศึกถลาง ปี 2328 เจ้าเมืองถลางได้ใช้ลานวัดม่วงเป็นสถานที่ฝึกซ้อมของทหาร มีการฝึกใช้อาวุธกริช เคี่ยวน้ำมัน ลงยันต์ และผสมดินปืน ที่นี้จะมีบ่อน้ำอยู่ 2 บ่อ และเชื่อกันว่ามีบ่อหนึ่งได้มีการแช่ว่านตัวยาสมุนไพรให้ยืนยงคงกระพัน สำหรับให้เหล่าทหารได้อาบชุบตัวเพื่อต่อสู้ข้าศึก
ในปี 2528 ทางจังหวัดได้จัดงานฉลองครบ 200 ปี วีรสตรีเมืองถลาง ชาวถลาง ได้ช่วยกันปั้นหุ่นปูนประติมากรรมท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร ในอิริยาบทต่างๆ คือกลุ่มตักบาตร พิธีการสักเลข ทหารเอก นายประตูยามเฝ้าฝึกเพลงรบ พิธีออกอุปสมบทของลูกชาย
ทว่าบนพื้นที่ของ ต.เทพกระษัตรี เป็นค่ายเมืองเก่า สมัยเมื่อกองทัพพม่ายกทัพมาตีเมืองถลาง ซึ่งเจ้าเมืองถลางได้เสียชีวิตลงแล้ว คุณหญิงมุกและคุณหญิงจันได้รวบรวมไพล่พลร่วมกันรบจนชนะกองทัพพม่า ดังนั้น พื้นที่บริเวณที่ตั้งค่ายรบชนะกองทัพพม่า จึงได้ชื่อว่า ต.เทพกษัตรี ตามชื่อของท่าน ผมอยากเชิญชวนให้ทุกคนได้มาสักการะรูปปั้นย่ามุก-ย่าจัน หรือท้าวเทพกษัตรี – ท้าวศรีสุนทร เพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเอง เพราะใครที่ได้มาสักการะขอพรจะสมหวังดังที่ตั้งใจเอาไว้ ผมจึงไม่รอช้าเข้าไปกราบสักการะและขอพรกับเขาบ้างเหมือนกันครับ
//ภูเก็ตแฟนตาซี…โชว์อลังการหัวใจไทย
พลบค่ำวันนี้ผมขอพาทุกคนมาปิดท้ายเปลี่ยนบรรยากาศไปตื่นตาตื่นใจกับโชว์อลังการที่ ภูเก็ตแฟนตาซี ย่านหาดกมลา ที่ถือเป็นแหล่งบันเทิงยามราตรี ที่นำเสนอศิลปวัฒนธรรมไทย ด้วยเทคนิคตระการตา ซึ่งภายในบริเวณมีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และศิลป์หัตถกรรมไทยต่างๆ ห้องเกมแต่ละอาคารจะได้รับการออกแบบเป็นอาคารทรงไทยประยุกต์ลักษณะต่างๆ โดยดึงเอาจุดเด่นของแต่ละภาคมาใช้และตกแต่งโดยใช้แสงสีต่างๆ ดูยิ่งใหญ่อลังการ
ส่วนโชว์ที่ไม่ควรพลาดชมคือการแสดงจินตมายาในวังไอยรา เป็นการนำเอาเอกลักษณ์ของไทยทั้งด้านวรรณคดี วิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม มาผสมผสาน และนำเสนอผ่านตัวเอกคือเจ้าชายกมลา และช้างคู่บารมี ไอยรา การแสดงปิดม่านลงเอาเมื่อเกือบ 5 ทุ่ม ผมจึงได้ออกมาจากภูเก็ตแฟนตาซี และกลับถึงที่พักหลับพักผ่อนอย่างสบายใจ
ยังไงหน้าร้อนนี้ ใครชอบเที่ยวแบบผม อยากหลบลมร้อนความวุ่นวายในเมืองหลวง อย่าลืมแวะมายังทะเลอันดามันแห่งนี้กันนะครับ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น