เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง ภาพ นพพล ภาคสุทธิผล แต่งหน้า บัณฑิต บุญมี
เปิดบ้าน... พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้นำคมช.
ยินดีต้อนรับ และ เขตทหาร ห้ามเข้า
“ใครอยู่ใกล้ผมก็ต้องรัก” ที่มาของภรรยา 3 และลูก 6 ???
อดีตผู้นำทางทหารของประเทศ ที่ผันตนเองมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองรายล่าสุด
จะกระโจนออกนอกกรอบที่คุ้นเคยมาตลอดชีวิตได้เช่นไร มีแต่ผู้คนจับตามอง
วันนี้...เขายังพำนักในรั้วทหาร...ราบ 11 ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามเซฟเฮาส์ของผู้นำยุคหลากสี
ประโยคท้าทายผู้ฟัง...ใครอยู่ใกล้ ก็ต้องรักผม...
บ้านพักหลังงามในบริเวณ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ในวันนี้ อาจดูไม่พลุกพล่านเหมือนครั้งที่เจ้าของบ้าน พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน อยู่ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารบกหรือผู้นำคมช.ซึ่งทุกตำแหน่งล้วนแต่ขึงขังน่าเกรงขามทั้งสิ้น
ตำแหน่งหรือผู้คนอาจเปลี่ยนแปลงได้ หาก มิใช่เจ้าของบ้าน ที่แทบไม่มีอะไรแตกต่าง นอกจากตำแหน่งข้างต้นที่ต้องนำไว้ด้วยคำว่า...อดีต ซึ่งจากนี้ไปจะแทนที่ด้วยตำแหน่งล่าสุด...หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ พรรคที่เริ่มต้นด้วยสมาชิกเพียง 3 ราย!!
พล.อ.สนธิหรือ “บิ๊กบัง”ฉายาที่สื่อมวลชนนิยมเรียกขาน ยังคงหัวเราะง่าย อารมณ์ดี เค้าหน้าคมสันยังคงร่องรอย...นายพลเจ้าเสน่ห์...อย่างที่ร่ำลือกัน
แม้ในโรงรถและรอบบ้านจะมีรถหรูจอดอยู่หลายคัน บางคันยังป้ายแดงด้วยซ้ำ แต่วันที่ WhO? ร่วมตั้งแถวยืนรอรับเจ้าของบ้าน ซึ่งเพิ่งเสร็จธุระหมาดๆจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ล่าสุด พลอ.สนธิก็เดินทางมาถึงด้วยรถตู้พร้อมผู้ติดตาม ซึ่งมีเพียงคนขับรถและเลขานุการส่วนตัว ไร้วี่แววรถสห.นำหรืออื่นใดอย่างที่คาดเดา
“เอ้า เชิญๆ เชิญข้างในก่อน”เสียงเจ้าของบ้านเชื้อเชิญอย่างอารมณ์ดี พลางเดินนำสู่ห้องรับแขก ที่ถูกกั้นแบ่งไว้ทางปีกขวาของบ้าน ด้วยบานเฟี้ยมกึ่งกระจกกึ่งไม้ และเฉกเช่น ‘บ้านนายพล’ตามจินตนาการ คือภาพในชุดเครื่องแบบเต็มยศในวาระต่างๆ ประดับอยู่ทั่วไป ชนิดที่หากพลัดหลงเข้ามา ก็พอเดาได้ว่า...ใครคือผู้ครอบครองบ้านหลังนี้
แม้ บ้านพักหลังงามหลังนี้ จะมิใช่กรรมสิทธิ์ของพล.อ.สนธิ แต่เขาก็พำนักมาแล้วร่วม 3 ปี ด้วยเป็น 1 ในบ้านพักของ 5 เสือทบ.(ผู้บัญชาการทหารบก รองผู้บัญชาการทหารบก ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก 2 นายและเสนาธิการทหารบก) ซึ่งสร้างเสร็จไปแล้ว 4 หลัง บ้านแต่ละหลังจะมีภาพสนามกอล์ฟกว้างสุดลูกหูลูกตา เป็น ‘หลังบ้าน’ ซึ่งพลเอกสนธิชี้ชวนชม พลางว่าหากเป็นยามเช้าด้วยแล้ว มักจะต้องหยิบกล้องคู่ใจขึ้นมาบันทึกภาพไว้ไม่ขาด จากนั้น ก็จะใช้เป็นฉากหลังสำหรับกาแฟถ้วยโปรด และหนังสือพิมพ์ในมือทุกเช้า
“ผมไปที่ไหนๆมา แต่ก็ไม่ค่อยมีที่ไหนสวยเหมือนที่นี่ ถ้าเป็นหน้าหนาวยิ่งสวยมาก ทุกๆเช้าจะมานั่งมอง แล้วก็จะถ่ายรูปเก็บไว้ คิดว่าจะถ่ายจนกว่าคนถ่ายจะหมดอายุหมดแรงไป” หัวเราะให้กับกิจกรรมโปรดของตนเอง
“ผมอยู่บ้านนี้คนเดียว” บอกด้วยสีหน้ายิ้มๆ เมื่อเห็น WhO? เหลียวมองรอบๆ ซึ่งนั่นต้องไม่นับรวม ‘บริวาร’ทั้งที่อยู่ประจำ และ ‘ทำหน้าที่’เฉพาะกิจ
## ถูกลักษณะฮวงจุ้ย
รอบบริเวณกว้างขวาง แม้จะมีรั้วรอบขอบชิด แต่หลังบ้านซึ่งคั่นด้วยคูน้ำ ตามตำรับพิชัยสงคราม...ตามการคาดเดา ก็เปิดโล่งสู่สนามกอล์ฟที่เห็นก๊วนกอล์ฟเคลื่อนไหววูบวาบอยู่ไกลๆ ส่วนหน้าบ้านมีน้ำ ซึ่งว่ากันว่าหมายถึงความอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งของผู้พำนักอาศัย ในสองที่ จุดแรกเป็นไหน้ำไหลรินช้าๆสู่แอ่งหินรองรับเบื้องล่าง ส่วนจุดที่สอง เป็นน้ำพุสีขาวที่มีน้ำพวยพุ่งเริงร่าริมถนนที่ทอดสู่ตัวบ้าน ทั้งสองฮวงจุ้ยนี้น่าจะเป็นการชี้นำโชคชะตาของเจ้าของบ้านตามความเชื่อ
“ผมก็...ไม่ลบหลู่นะ เพียงแต่ตามคำสอนแล้ว คงจะไม่ใช่” อธิบายเมื่อมีคำถามถึงสิ่งที่เห็นว่า หมายถึง...ฮวงจุ้ย หรือไม่ และ ‘คำสอน’ที่บิ๊กบังเอ่ย หมายถึงศาสนาประจำใจเขา ซึ่งก็คือศาสนาอิสลาม
“สมัยก่อนนี้ เขตทหารห้ามเข้า แต่เดี๋ยวนี้เขตทหารยินดีต้อนรับครับ ผมมาอยู่ในค่ายทหารเพื่อความปลอดภัยเท่านั้นเอง” อดีตผบ.ทบ.ยอมรับสีหน้ายิ้มๆ พลางว่าบ้านพักภายนอกกรมทหารก็มี เพื่อเป็นที่พำนักของภรรยาทั้ง 3 และลูกอีก 6...
จะหยุดแค่นี้ หรือจะเป็นมุสลิมชน ด้วยภรรยาอีกหนึ่งหมายเลข??
“ผมรอหมายเลข 4 อยู่เหมือนกัน” กล่าวยิ้มๆ เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ฟังรอบวง
พล.อ.สนธิว่า ถึงแม้จะเป็นบ้านหลวง แต่ค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้งค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์ และอื่นๆ ผู้ครอบครองต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด เพียงแต่การดัดแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับกิจวัตรของผู้เป็นเจ้าของบ้าน นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เราจึงเห็นเก้าอี้ตัวโปรดในห้องรับแขก ซึ่งมีปุ่มที่เท้าแขน เพื่อกดเรียกคนในบ้าน ยามต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เห็นห้องออกกำลังกายที่พร้อมด้วยเก้าอี้ตัดผม ซึ่งจะมีช่างผมเจ้าประจำมาทำหน้าที่ตามความต้องการของเจ้าของบ้าน เห็นห้องพักผ่อนที่มีคาราโอเกะไว้ให้เจ้าของบ้านได้บริหารปอดพร้อมพรรคพวก โดยไม่ต้องออกไปเป็น ‘เป้า’นอกสถานที่
“ผมออกไปข้างนอกก็ไป ไปเดินตลาด” บอกยิ้มๆ ขณะที่เลขาฯคู่ใจช่วยรับรองว่านายออกไปเมื่อไร มีแต่คนวิ่งเข้ามากอด มิหนำซ้ำยังมีอาหารขนมผลไม้ติดมือมาอีกต่างหากด้วยความชื่นชม
//ความสุขที่ปราศจาก “ภาระ”
หัวโขนซึ่งเคยสวมใส่ แทบจะเป็นหมายเลข 1 ของประชาชนประเทศนี้ วันหนึ่งถึงคราวที่ต้องถอดวาง ความรู้สึกเป็นเช่นไร
“ผมเหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว ชีวิตนายทหารของผมเดินมากับดิน กินมากับทราย ไม่ได้ลอยมา หรือมีใครประคองมา อุ้มมาก็ไม่มี มีแต่ผมเดินมา พอถึงวันที่จะเกษียณอายุราชการ ผมรู้ว่าเราเหนื่อยมากๆ คราวนี้เราจะได้พักผ่อนแล้ว พอเข้าวันรุ่งขึ้น 1 ตุลาคม เป็นวันที่ผมมีความสุขมาก คืนวันที่ 30 กันยายน ผมนอนคิดว่า…พรุ่งนี้ผมจะไม่มีภาระอะไรอีกแล้ว
การมีตำแหน่งตรงนี้เหมือนชีวิตแบกโลกไว้ทั้งโลก พอถึงวันรุ่งขึ้น ผมไม่ต้องแบกแล้ว นอนหลับโดยไม่ต้องกังวล ปกติผมจะตื่นไม่เกินหกโมงเช้าทุกวัน พอเกษียณ วันรุ่งขึ้นผมก็ยังตื่นเวลาเดิม(หัวเราะ) เพราะนาฬิกาชีวิตมันปลุกของมันเอง ชีวิตเกษียณราชการ เป็นชีวิตที่อิสระมาก เพราะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอีกแล้ว อธิบายให้คนฟังคงไม่รู้หรอก” มองหน้าผู้ฟังราวกับจะบอกว่า ยังโลดแล่นอยู่ จะเข้าใจได้อย่างไร
อาจจะไม่เข้าใจ แต่อยากรู้ถึงความรู้สึกแรก ของวันที่ไม่มีตำแหน่ง ซึ่งเคยเล่ากันว่า มี ‘ผู้ใหญ่’บางรายยังลุกขึ้นมาแต่งเครื่องแบบตามความเคยชิน
“ผมตอบได้เลยว่า…ไม่ รู้สึกเฉยๆ ชีวิตผมไม่มีอะไรขาด เพราะคนอื่นมีชีวิตไม่เหมือนผม ผมเป็นคนบอกลูกน้องทุกคนว่า ทุกคนไม่ต้องรักผม แต่ผมต้องรักเขา ตรงนี้ต้องฟังให้ดี ทุกคนไม่ต้องรักผม คือว่าทุกคนไม่ต้องแย่งความรักของเราแล้วนะ แต่ผมมีหน้าที่รักคุณ ดังนั้น ชีวิตผมไม่ต้องการบริวาร ผมอยู่แบบนี้ก็สบายแล้ว” น้ำเสียงหนักแน่น จริงจัง
//ชีวิตนี้ขาด…ไม่ได้!!
ชีวิตประจำวันของอดีตผู้นำ คมช. ยังเรียบง่าย ทำกิจวัตรทุกอย่างเองแทบทั้งหมด ยกเว้นการทำอาหาร
“เครื่องหมายยศทหาร ใหม่ๆ จะติดเอง แต่ช่วงหลังต้องให้เด็กๆช่วย เพราะบางครั้งไปติดเอาหัวกลับก็มี(หัวเราะอย่างอารมณ์ดี) เสื้อผ้าผมก็เลือกเองหมดเลย สมมุติว่าจะไปไหนหลายวัน จะให้ลูกน้องเอาราว(แขวนผ้า)ขึ้นมาไว้ในห้อง แล้วผมก็จะหยิบเสื้อมาแขวน จะนับวันนับปริมาณของเสื้อผ้าไปด้วย เด็กๆก็จะเอาใส่กระเป๋าให้เท่านั้นเอง ใครมาจัดเสื้อผ้าให้ผม รับรองว่าไม่มีใครทำได้ถูกใจผม”
แม้จะใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่ความประณีตที่แฝงอยู่ มีรายละเอียดไม่น้อย “ผมเป็นคนที่…(นิ่งไปเป็นครู่ราวกับจะหาคำอธิบายที่ถูกใจ) เมื่อก่อนไม่ค่อยเท่าไรนะ แต่ตอนที่มาเป็น ผบ.ทบ.แล้วนี่ซี ต้องออกทีวี ออกข่าวบ่อย จะเห็นว่าริมฝีปากของผมมันชอบแห้ง (ชี้ให้ดูริมฝีปากซึ่งเจ้าตัวขอให้เมคอัพอาร์ติสต์เว้นไว้เพื่อจะใช้ของส่วนตัว) ก็จะมีลิปมันที่ซื้อมาเป็นโหลจากต่างประเทศ ผมเป็นคนพูดมาก พอไปบรรยาย ไปสอน ปากแห้งบ่อย ก็เลยต้องมีลิปมันเก็บไว้ในกระเป๋า ผมไม่ได้ทาลิปมันให้สวย แต่ริมฝีปากผมมันแห้งจริงๆ ไม่ใช่ลิปสติกแบบของผู้หญิง อีกอย่างคือผมเป็นคนหน้ามัน ก็จะมีกระดาษมาซับหน้าบ้าง” ยิ้มอย่างเห็นขัน เมื่อผู้ฟังๆไปก็ทำตาโตไป
//ภรรยาทั้ง 3 และลูกทั้ง 6
เล่าลือกันนักหนาถึงบุคลิกภาพของอดีตผู้นำคมช.ที่ดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างร้ายกาจ ตลอดระยะเวลาที่มีโอกาสสนทนากัน WhO? เห็นด้วยอย่างไม่มีข้อกังขา
“เรื่องนี้ถามผมไม่ได้หรอก(หัวเราะ) ผมไม่รู้ ครอบครัวจะไม่ชมผมหรอกครับ เพราะเขารู้ว่าชมแล้ว ผมจะเหลิง(หัวเราะ) ครอบครัวเราจะไม่ชมกัน”
ด้วยความที่เป็นมุสลิม ซึ่งตามหลักศาสนาสามารถให้มีภรรยาได้มากกว่าหนึ่ง ข้อข้องใจจึงมักจะมีคำถามว่า บริหารจัดการอย่างไรจึงทำให้ 3 ภรรยา...ไม่มีปัญหา
“ทุกคนจะมีความเข้มแข็งของตัวเอง” ยิ้มพรายเมื่อ WhO? สัพยอกว่า หมายความว่าให้ทั้ง 3 บ้านเลี้ยงดูตนเอง เช่นนั้นหรือ
“(ส่ายหน้า) ผมบอกว่าเข้มแข็ง ไม่ได้บอกว่าเลี้ยงตัวเองได้(หัวเราะหึๆในลำคอ) ผมยืนยันว่าทุกคนรักผมนะ”ยิ้มกริ่มเมื่อกล่าวคำยืนยัน
บิ๊กบังว่าเมื่อวัยหนุ่มล่วงเลยไป เรื่องการจัดสรรเวลาสำหรับแต่ละบ้าน จึงมิใช่ปัญหาอีกต่อไป ทุกวันนี้จึงพำนักที่บ้านหลังนี้เพียงคนเดียว ทั้งยังเป็นเหมือนศูนย์กลางที่ลูกหลานจะแวะมาเยี่ยมเยียนไม่ขาด เช่นเดียวกันในวันนั้น ก็มีสุภาพสตรีอุ้มหนูน้อยน่ารักวัยขวบเศษมาเยี่ยม เสียงนำให้หนูน้อยเรียกหา... “อาปาๆ อาปาอยู่ไหน”
ขณะที่พล.อ.สนธิหันมาบอกสีหน้าอารมณ์ดี “หลานปู่” ก่อนวกเข้าบทสนทนาต่อ
“ผมเคยถามคนว่า…ผมเจ้าชู้ไหม (สีหน้ายิ้มๆ) เป็นคนที่ผมคุ้นเคยและสามารถถามได้ เพราะคนเขาบอกว่าผมเจ้าชู้ ผมก็ถามกลับไปว่าเจ้าชู้เป็นยังไง ตอนนี้ยิ่งเจอเยอะเพราะเรียน กกต. เรียนปริญญาเอก ก็จะมีหลายคนอยากเป็นลูกสาวผม จริงๆ(ย้ำเมื่อสีหน้าผู้ฟังมีเครื่องหมายคำถาม) เพราะจะได้ซื้อของจากแม่ค้าราคาถูก(หัวเราะเสียงดัง) เคยมีผู้หญิงเดินเข้าไปซื้อของที่ตลาดกิมหยง หาดใหญ่ ไปบอกแม่ค้าว่าจะมาซื้อของฝากคุณสนธิหน่อย แม่ค้าเขาก็จะลดให้ครึ่งราคา มีข่าวแบบนี้มา จนผมเมินไปหมดแล้ว”
ล่าสุด คือเหตุการณ์ใกล้แค่ปลายจมูก “เพิ่งเกิดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เจ้าของคอนโดแถววิภาวดีโทรมาบอกว่า มีผู้หญิงสาวคนหนึ่งมาพัก 3 เดือนแล้ว อ้างว่าเป็นลูกสาวท่าน ที่เพิ่งกลับมาจากบอสตัน จบปริญญาโทกลับมา ยังไม่ได้จ่ายค่าที่พักเลย ผมไม่เคยไปบอสตันด้วยซ้ำ(หัวเราะ)”
เมื่อเราถามเสียงซื่อว่า จะเป็นไปได้ไหม อาจเป็นผลพวงจากชีวิตหนุ่มในอดีต บิ๊กบังหัวเราะเสียงดัง “มันคงไม่เหมือนในหนังหรอก”
ปัจจุบัน ภรรยาทั้ง 3 คือสุกัญญา จดทะเบียนสมรสขณะที่เป็นพลโท มีบุตรธิดา 2 คน คือ เอกรินทร์ และศศิภา บุญยรัตกลิน ภรรยาคนที่สองคือปิยะดา จดทะเบียนสมรสเมื่อเป็นนายพล มีบุตร 2 คน คือ ร.ต.นิธิ และนิรินทร์ บุญยรัตกลิน และภรรยาคนที่สามคือ วรรณา มีบุตร 2 คน คือ พ.ต.ต.สุทธิเวทและ ร.ท.สุธาวิทย์ บุญยรัตกลิน
//เคล็ดลับ...อารมณ์ขัน
ตลอดระยะการสนทนา นอกจากจะได้ยินเสียงหัวเราะไม่ขาดระยะแล้ว สีหน้าอารมณ์ดีทำให้เราอดถามไม่ได้ว่า อดีตผู้นำคมช.ดูจะมีอารมณ์ขันเป็นนิจ
“คือผม จะไม่นำความทุกข์มาใส่ตัว เราควรพยายามคิดในยามที่สมอง ปลอดโปร่งเท่านั้น”
มีแผนสำรองเสมอหรืออย่างไร
“ครับ ความเป็นทหารเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ที่ต้องมีแผนหลักแผนรอง…รอง...รอง...รอง” หัวเราะกับคำตอบ พลางยิ้มพราย
“ผมถึงได้บอกกับทุกๆคนว่า อย่าไปเอาความทุกข์มาใส่ตัว ผมเองไม่เคยมีความทุกข์ ปล่อยวางได้ แม้จะผ่านเรื่องราวอึมครึมมา ก็ไม่เคยมีความทุกข์ ใครเห็นผมเมื่อวันที่ 19 กันยา 49(วันที่ทำการรัฐประหาร) ผมยังหัวเราะ ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม จะไปซีเรียสทำไม อะไรเกิดมันก็ต้องเกิด ทุกวันนี้กิจวัตรที่ผมต้องทำคือ การเรียนหนังสือปริญญาเอก ยิ่งตอนนี้เรียนหนักมาก ถ้ากลางคืนไม่มีงานอะไร ก็จะต้องดูหนังสือ แล้ววิถีชีวิตประจำวันของผม จะเป็นคนตื่นเช้า จะนั่งดื่มกาแฟแก้วหนึ่ง พร้อมกับอ่านหนังพิมพ์ ส่วนอินเตอร์เน็ตตอนนี้ไม่ค่อยได้เล่นเท่าไร เพราะต้องทุ่มเวลาให้กับการเรียน
จริงๆ ผมเป็นคนชอบดูทีวี เปิดทรูวิชั่น ก็จะดูได้ทั้งวันทั้งคืนเลย ช่องที่ชอบ หนึ่งก็จะเป็นกีฬา สองสารคดี สามภาพยนตร์ผมจะดูทุกเรื่องที่สนุก ส่วนข่าวจะดูน้อยมาก เพราะผมจะทำในสิ่งที่เรามีความสุข”
มิใช่แค่ติดตามดูเท่านั้น แต่พล.อ.สนธิยังชอบลงสนามเอง โดยเฉพาะ ฟุตบอลและเทนนิส ทั้งยังเป็นแฟนพันธุ์แท้ทีมปีศาจแดง-แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอีกด้วย
“สมัยเป็นเด็กผมชอบเล่นกีฬาทุกชนิด ใหม่ๆ เป็นนักปิงปอง แล้วมาเป็นนักวิ่งของโรงเรียนนายร้อย พอเป็นนักวิ่งได้แล้ว ก็จะเล่นกีฬาได้หลายๆอย่าง เป็นนักวอลเลย์ บาสฯ ฟุตบอล รักบี้ แม้กระทั่งตระกร้อ” ลูกผู้ชายในสนามตัวจริงเล่ายิ้มๆ
//ยิ้ม 24 ชั่วโมง & ศัตรู 3 ประการ?....
ก่อนจะเห็นนายพลคนดังยิ้มแย้มแจ่มใสเช่นนี้ เจ้าตัวเล่าถึงที่มา “ผมเป็นคนหน้างอ ลูกน้องจะสอนผมว่า ต้องยิ้ม 24 ชั่วโมง เพราะว่าถ้าไม่ยิ้ม หน้าจะดูโหด เพราะหน้าผมดุ(หัวเราะ) มีเหมือนกันถ้าผมเดินเข้าบ้านมาแล้วไม่ยิ้มเลย ทุกคนในบ้านจะวงแตกทันที(หัวเราะ) คือหน้าไม่ยิ้มของผม จะดูเฉยๆ ใครเห็นก็จะกลัว
คนจะไม่เห็นผมเวลาโกรธ เพราะผมเป็นคนไม่โกรธใคร ผมเคยบอกกับทุกคนว่า เราจะโกรธเรื่องอะไร ถ้าเขาทำไม่ถูก…เราต้องกลับมาถามว่า เขาทำไม่ถูกเพราะอะไร หรือถ้าเขาทำเรา…เขาทำเราเพราะอะไร ถ้ามีลูกน้องไปทำงานผิดพลาด ผมจะไม่โกรธ ผมต้องถามว่า ทำไมเขาทำผิดพลาด ก็ถึงบางอ้อว่า หนึ่งเราเองสั่งไม่ชัดเจน สองเราไม่ได้ดูแล สามเราสั่งคนผิดใช้คนผิด สรุปว่าทั้งหมดเราผิด เราจะมาโกรธตัวเองก็กระไรอยู่ แต่เราก็ต้องไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดแบบนี้อีก”
หากไม่โกรธ ชีวิตนี้ก็ไม่น่าจะมีศัตรู เป็นเช่นนั้นไหม??
“ที่ผ่านมา อาจมีคนกลั่นแกล้งกันบ้าง เป็นสิ่งที่ต้องระวังไม่ให้เกิด ส่วนศัตรูที่เป็นศัตรูถาวร 3 อย่าง จะต้องไม่ให้เกิดเด็ดขาด คือหนึ่งเรื่องผู้หญิง สองเรื่องอำนาจ สามเรื่องทรัพย์สมบัติ เรื่องผู้หญิงเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่สอนผมมา การขัดแย้งเรื่องผู้หญิงคือศัตรูถาวร เช่น เรากับเพื่อนชอบผู้หญิงคนเดียวกัน เราตัดปัญหาก็อย่าไปแย่งเขาซี เพราะถ้าแย่งเรื่องผู้หญิงก็จะเป็นศัตรูถาวร เขาว่าถ้าเป็นศัตรูที่เกิดจากความอิจฉาจะเป็นศัตรูชั่วคราว ผมมีภาษิตไว้ท่องให้ขึ้นใจคือ จงทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย ไม่มีใคร อยากเห็น เราเด่นเกิน”
//เดินมาด้วยลำแข้ง
พล.อ.สนธิบอกว่าตนเองมาจากครอบครัวธรรมดา ซึ่งจากการค้นข้อมูลได้ความว่า พล.อ.สนธิเป็นบุตรของ พ.อ.สนั่น (นามสกุลเดิม อหะหมัดจุฬา) และมณี บุญยรัตกลิน เป็นชาวไทยเชื้อสายมอญ เป็นบุตรชายคนโตในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 6 คน เติบโตในครอบครัวมุสลิม ที่นับถือนิกายซีอะห์ ในจังหวัดปทุมธานี (บิดานับถือนิกายชีอะห์) แต่ตัวพล.อ.สนธิเองนับถือศาสนาอิสลาม นิกายซุนนีย์ (มารดานับถือนิกายซุนนีย์) ต้นตระกูลเฉกอะหมัด หรือเจ้าพระยาบวรราชนายก ขุนนางเชื้อสายเปอร์เซีย ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี และ สมุหนายกในสมัยกรุงศรีอยุธยา ลูกหลานบางส่วนของเฉกอะหมัด เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ เช่น ตระกูลบุนนาค ตระกูลจุฬารัตน โดยนามสกุล บุญยรัตกลิน (อ่านว่า บุน-ยะ-รัด-กะ-ลิน) จริงๆแล้วคือ บุณยรัตกลิน แต่ที่อำเภอพิมพ์ผิดเป็น "ญ" นั้น เป็นนามสกุลพระราชทานจากรัชกาลที่ 6 มีที่มาจากการที่หนึ่งในสาแหรกฝั่งย่าเป็นทหารเรือ สังกัดพรรคกลิน คือหลวงพินิจกลไก (บุญรอด)มีชื่อทางมุสลิมว่า อับดุลเลาะห์ อหะหมัดจุฬา
สำหรับพล.อ.สนธิเองนั้น กว่าชีวิตจะประสบความสำเร็จสูงสุดของกองทัพ มีเกร็ดชีวิตมาบอกเล่าอย่างน่าสนใจ
“ชีวิตของคนที่เราเดินมานี่น่ะ ทุกคนทำงานร้อยได้ร้อย แต่ผมเป็นคนที่ทำงานสองร้อยได้ร้อย ไม่รู้ว่าจะเป็นบุญเป็นกรรมอะไรหรือเปล่า ผมเป็นคนเหนื่อยมาทั้งชีวิต แต่ผมก็ประสบความสำเร็จมาทุกขั้นตอน ผมเองเป็นลูกนายทหารบกชั้นผู้น้อย ฉะนั้น เราโตขึ้นมาจากลำแข้งและแรงกายของเรา ซึ่งถ้าเราเป็นลูกผู้ใหญ่ก็จะมีคนช่วยดึงอะไรประมาณนี้ แต่ผมไม่มี เราเดินมาด้วยขาสองข้างของเรา กับสติปัญญามันสมอง ที่สำคัญก็คือว่า เดินด้วยความดี” น้ำเสียงภาคภูมิใจยามกล่าวถึงเส้นทางชีวิตตนเอง
ย้อนกลับไปครั้งที่ยังเป็นด.ช.สนธิ เขาเรียนชั้นประถมและมัธยม ที่โรงเรียนวัดพระศรีมหาธาตุ แล้วไปศึกษาต่อโรงเรียนเตรียมทหาร(รุ่นที่ 6) โดยมีเพื่อนร่วมรุ่น อาทิ พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จากนั้นไปเข้าโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เหล่าทหารราบ (รุ่นที่ 17) และจบปริญญาโท สาขาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (การทหาร) โรงเรียนเสนาธิการทหารบก สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร(รุ่นที่ 42) ปัจจุบันกำลังเรียนปริญญาเอก สาขารัฐศาสตร์ (สาขาวิชาการเมือง) มหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่นแรกของคณะ และเป็นประธานรุ่นที่มีอายุมากที่สุดคือ 63 ปี
“สมัยเด็กผมจะซนมาก แม่เลยจับส่งให้มาเรียนกรุงเทพฯ อยู่ที่ถนนตก สมัยก่อนปทุมฯกับกรุงเทพฯ การเดินทางยังไกลมาก ต้องนั่งเรือใช้เวลาตั้งครึ่งวัน แล้วพ่อก็มาเป็นทหารที่ราบ 11 ก็เลยได้มาเรียนแถวนี้ พอมีเวลาก็จะขับรถไปดูบ้านที่เคยอยู่ ทำให้มีความสุขมาก” ย้อนอดีตอย่างมีความสุข
ปัจจุบัน บ้านย่านถนนตกกลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว เมื่อครอบครัวย้ายไปลงหลักปักฐานที่ทุ่งครุแทน ซึ่งปัจจุบัน บ้านหลังดังกล่าวก็กลายเป็นศูนย์กลางให้สมาชิกในครอบครัวมาพบปะกันไปโดยปริยาย
##ทุกสิ่งอยู่...ข้างใน
ปล่อยวางและมอบหมาย...น่าจะเป็นคำอธิบายถึงวิธีการทำงานของอดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตผู้นำคมช.รายนี้ได้เป็นอย่างดี
“ผมคิดว่า สิ่งที่ผมทำอยู่นี้หากใครทำได้ ชีวิตก็จะมีความสุข ผมมีงานมากมายมหาศาล แต่ให้มันอยู่ตรงนั้น อย่าหยิบติดมากับตัวเด็ดขาด เพราะในห้องทำงานก็มีงานสุมหัวอยู่แล้ว อะไรที่จะให้ลูกน้องทำก็แบ่งให้ทำ อย่าทำเสียเองหมด ต้องบริหารจัดการให้คนอื่นทำ แล้วเราจะเป็นหัวหน้าหน่วยงานที่มีความสุข เพราะมีลูกน้องเขาทำทุกอย่างแทนเรา ผมเป็นผู้บังคับหน่วยที่ไม่มีอะไรวางอยู่บนโต๊ะเลย…ไม่มีตู้เอกสาร”
เมื่อไรที่ต้องการข้อมูลเล่า จัดการเช่นไร
“ถ้าต้องการรู้ข้อมูล ก็จะเรียกลูกน้องที่รับผิดชอบมาถาม ลูกน้องจะไม่มีคำตอบว่าไม่ได้ เพราะเราทำงานเป็นองค์กร ใครไปที่ทำงานผม จะรู้เลยว่าบนโต๊ะจะไม่มีอะไรเลย เปิดตู้ไปก็จะมีแต่สัพเพเหระ จะเป็นหนังสือที่เขาให้มาบ้าง หรือเป็นจดหมายจากชาวบ้าน ผมจะเป็นคนจำอะไรได้หมด ทุกเรื่องผมจะวาดเป็นตุ๊กตาเก็บไว้ในสมองทั้งหมด ผมจะเป็นคนที่คิดก่อนหลับ หรือนั่งรถไปก็คิดไป มันก็สามารถทำให้วิถีทางนั้นแก้ได้ ถ้าเราใช้วิธีคิดสักพักหนึ่ง”
ตำแหน่งที่เคยปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นกองทัพ เมื่อตัดสินใจกระโดดเข้าสู่ถนนการเมือง ความยากง่ายของการทำงาน จากมุมมองหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ
“ทั้งสองอย่างมีความต่างกัน ทหารเราพูดอะไรก็มีการฟัง และทหารก็มีกรอบการเล่นนิดเดียว ซ้ายไปซ้าย ขวาไปขวา แต่การเมืองนี่แตกต่างกันเลย ไม่ค่อยไปทางเดียวกัน บอกซ้ายก็ไม่ไป บอกขวาก็ไม่ไป ซึ่งเราก็รู้ว่าเขาต้องการอะไร จริงๆ การเมืองไม่มีอะไรลงตัว เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน มันลงตัวได้เพราะมีผลประโยชน์ทำให้ลงตัว”
ข่าวว่าพล.อ.สนธิไม่ค่อยปฏิเสธคำขอ
“ผมเป็นคนที่ไม่ปฏิเสธการให้(เสียงเข้ม) แต่ก็มีกุศโลบายในการให้(หัวเราะ) ต้องหาทางออกไม่ให้ความสัมพันธ์เสียหายได้”
วิธีการรักษาความสัมพันธ์ ของเขามีหลัก 2 ประการคือ หนึ่งการมีศัตรูสักคนก็มากแล้ว สองคนที่ผ่านเราไปเขารักเรา “ผมคิดว่าอย่างที่คุณมาสัมภาษณ์ ก็ต้องรักผม(หัวเราะ)”
สำหรับหัวหน้าพรรคการเมืองคนใหม่ “แม้ว่างานการเมืองจะหนักแค่ไหน ผมก็ต้องทำให้มันผ่านไปให้ได้” นโยบายของเขาคือ การแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ ด้วยการเสนอตั้งทบวงการบริหารกิจการชายแดนภาคใต้ โดยมีรัฐมนตรีทบวงนั้นเป็นผู้ดูแล
“นโยบายของพรรคเรา คือหยิบเงื่อนไขของประเทศในเวลานี้ มากำหนดตัวนโยบาย เช่น ตอนนี้ประเทศไทยมีความขัดแย้งทางสังคม หลักที่ 1 เราต้องสร้างความรักและความผูกพัน ความสมานฉันท์ ความปรองดองในชาติ ปัญหาที่เป็นวิกฤติในขณะนี้คือ ประชานิยม เรื่องความเหลื่อมล้ำทางสังคม นโยบายของเราก็คือ ถ้าเราต้องการที่จะพัฒนาประเทศให้เป็นประชาธิปไตย อย่างแรกเราต้องทำให้สังคมมีความเสมอภาคกัน จะทำยังไงให้คนจนคนรวยลงมาหากันได้ง่ายขึ้น
ผมยืนยัน เรื่องพวกนี้ถ้าเราทำให้ประชาชนได้มีความเข้าใจ มันก็จะทำได้เร็ว ผมขอยกตัวอย่าง ประเทศไทยเราประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ถ้าเกษตรกรมีนา 1 ไร่ สมมุติว่าผลิตข้าวได้ 50 ถัง ทำนามาเป็น 20 ปีก็ยังได้แค่ 50 ถัง เราจะทำอย่างไรให้เขามีความรู้มากขึ้น ลงทุนน้อยลง แต่ได้ข้าว 80 ถัง นโยบายของเราทำยังไงให้มีคนรวยมากขึ้น ทำอย่างไรให้คนมีการศึกษาเพิ่มขึ้น เมื่อคนมีความรู้มากขึ้น ความฉลาดของคนก็จะเพิ่มสูงขึ้น จะได้นำความรู้ไปพัฒนาอาชีพของเขาได้มากขึ้น”
พรรคการเมืองมักจะมาควบคู่กับเงินที่ต้องใช้ ต้องทุ่ม เขาคิดอย่างไร
“ผมขอเรียกเงินตรงนี้ว่างบประมาณ ซึ่งในระเบียบของ กกต. คนๆหนึ่งก็ใช้เงินได้ไม่มาก แต่มันมีวิธี การที่เรามีเงินน้อย กับที่เราทำให้คนมาเลือกเรามากๆได้นั้น มันมีหลายวิธี เราต้องอธิบายให้กับคนที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ให้มองให้เห็นว่าคนที่มีเงินมากนั้น มีผลดีผลเสียอย่างไร แต่เรามีแต่อุดมการณ์ มีความคิดที่จะแก้ปัญหาชาติ ต้นทุนก็จะลดลง และความรัก ความสงสารกับเราก็จะมีมากขึ้น” เขาว่าไม่เกี่ยงกับการทำงานข้ามกลุ่ม ข้ามสี หากเป็นการทำงานเพื่อประเทศชาติ
//บทบาทใหม่ “นักเขียน”
โลดแล่นอยู่ในกองทัพมาตลอดชีวิต ทั้งสุขและทุกข์ ชนิดที่เจ้าตัวยังไม่วายออกปากว่า...เหนื่อยมาก เป็นตัวละครให้ผู้อื่นกล่าวถึงก็ไม่น้อย เมื่อถึงวันที่ถอดเครื่องแบบ พล.อ.สนธิจึงเตรียมเล่นเอง กำกับเองบ้างสักหน
“ผมกำลังเขียนหนังสือทั้งหมด 5 เล่ม ผมจะเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ต่างๆ จากที่ผ่านมาในชีวิตของผม ทุกเรื่องที่เขียน จะเป็นตัวตนของผมจริงๆ ทั้งเรื่องการศึกษาและกีฬาผมต้องการให้เป็นวิทยาทานกับคนอ่าน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งจะไม่เกี่ยวอะไรกับหนังสือ...(เอ่ยชื่อหนังสือเล่มหนึ่ง) ผมไม่ได้ยุ่งกับเขา งานเขียนของผมคงไม่ใช่แนวนั้น แต่งานเขียนของผมจะเป็นแนวสร้างสรรค์ จะไม่ได้เขียนเลอะเทอะทำลายสังคม โกหกบ้างอะไรบ้าง ผมทำไม่ได้กับสิ่งเหล่านั้น” กล่าวเสียงเรียบ แต่ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม
บนเส้นทางการเมือง หัวหน้าพรรคการเมืองทุกคน ย่อมมีปลายทางที่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี สำหรับพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งผ่านและฉิวเฉียดมาแทบทุกเก้าอี้ที่เป็น...ที่สุดของพลเมืองประเทศนี้ คงต้องรอติดตามกันต่อไปว่า ‘รัก’ที่จะได้มานั้น จะส่งเขาไปถึงจุดหมายหรือไม่
///
ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ WhO? Magazine ฮู แมกกาซีน
http://www.whoweeklymagazine.com/
สอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายสมาชิกสัมพันธ์
โทร.086-389-5835
โทรสาร 02-654-7577
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น