สุทธิคุณ กองทอง หนุ่ม

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สตีเฟน ยัง ลูกชายทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย วิพากษ์การเมืองไทย

นายสตีเฟน ยัง นักศึกษาฮาร์วาร์ด ในฐานะที่เป็นลูกชายทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย และเป็นผู้เติบโตและศึกษาเล่าเรียนอยู่ในเมืองไทย จึงได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการปกครอง ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมมาจนถึงการเข้ามาของระบอบคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์การเปิดสกู๊ปสัมภาษณ์ นายสตีเฟน ยัง โดย นายสิทธิชัย หยุ่น เป็นผู้ซักถาม ในรายการชีพจรโลก ซึ่งเนื้อหาใจความของคำสัมภาษณ์ มีดังนี้ นายสตีเฟน กล่าวว่า บิดาของตนใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และใกล้ชิดกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ปี 2504 จึงได้เห็นช่องว่างระหว่างคนชนชั้นสูงกับคนจนในชนบทอย่างชัดเจน จนมาถึงปัจจุบัน ปี 2552 ตนได้ยินกลุ่มคนเสื้อแดงพูดว่า ไทยมีช่องว่างระหว่างคนรวยในกรุงเทพฯ กับคนจนในชนบท ทำให้ตนคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะทุกวันนี้ช่องว่างมีเพียงแค่นี้ เทียบกับที่ประเทศสหรัฐฯ ก็มีช่องว่างเช่นกัน


นายสตีเฟนกล่าวต่อว่า ตนเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2504 ซึ่งเป็นเวลากว่า 48 ปีมาแล้ว โดยตนมาอยู่ตั้งแต่ประเทศไทยยังไม่มีไฟฟ้า และน้ำประปาใช้ รวมทั้งถนนยังเป็นดินลูกรัง แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ประเทศไทยมักเจอเรื่องราวแปลกประหลาดเสมอ ทำนองว่าประเทศนี้ยังไม่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยปัญญาชนบางคนที่ต้องการปฏิวัติอำนาจ เขามองว่าเรื่องนี้ไร้สาระ และทำให้สิ่งเหล่านี้ทำให้ตนมองเห็นความทะเยอทะยานของผู้ชายชื่อ" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจในเครือชินคอร์เปอเรชั่นฯ และสัมปทานโทรศัพท์ของรัฐบาลด้วยระบบผูกขาด นายสตีเฟน ย้ำว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำเงินได้เยอะ และกลายเป็นคนรวย เพราะรัฐบาลได้มอบฐานะบุคคลอภิสิทธิ์ให้เขา พร้อมทั้งให้สิทธิพิเศษในการผูกขาดด้านต่างๆ จึงทำให้การปกครองของคนชั้นสูงหรือกลุ่มคนร่ำรวย มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น “ นี่ไม่ใช่เรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่เริ่มจากความยากจนแล้วไต่เต้าขึ้นมารวย เขามีสายสัมพันธ์พิเศษ และผมเห็นเขาใช้สายสัมพันธ์พิเศษเหล่านั้น” นายสตีเฟน กล่าว

นายสตีเฟนกล่าวอีกว่า สำหรับตนแล้วมุมมองความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นแบบจักรพรรดิจีน นั่นคือ ในสมัย“ ฉิน จื่อ หวาง” ได้มีการแบ่งชนชั้น เสมือนเบื้องบนเป็นสวรรค์ ถัดลงมาเป็นคนคนนึง ส่วนเบื้องล่างคือคนที่เหลือ แล้วเข้าควบคุมรัฐบาล ตำรวจ ผู้พิพากษา นักธุรกิจ โทรทัศน์ และนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เขา ซึ่งไม่เคยมีผู้นำไทยคนไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่พยายามทำเช่นนี้ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชอบทำให้คนไทยตัวเล็กๆ แหงนมองว่าเขาสำคัญ เพราะพวกเขามีความรู้สึกของระบบอุปถัมภ์อยู่ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้าไปตัดลำดับขั้นต่างๆ เพื่อเข้าไปปกครองโดยตรง ทำให้ทุกคนที่ทำงานอยู่ต้องตกภายใต้ตัวผู้นำ ไม่ใช่ความร่วมมือแบบเก่าๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่ทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อว่าเงินของอดีตนายกรัฐมนตรี จะช่วยดูแลพวกเขาได้ แต่ถ้าถามว่าลักษณะเช่นนี้เรียกว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ตนต้องขอตอบว่า คำว่าประชาธิปไตยที่ปราศจากศีลธรรมที่ว่าย่ำแย่ที่สุดแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับความยุติธรรมที่เป็นสิ่งจำเป็นกว่านั้น


“ ย้อนกลับไปที่อริสโตเติล หากคุณเป็นประชาธิปไตย แต่คุณฉ้อโกง ทำร้ายผู้อื่น เราเรียกว่าทรราช คุณไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม นั่นเป็นระบบที่เลวร้าย อริสโตเติล กล่าวไว้ว่าทุกๆระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบอบกษัตริย์ ขุนนาง หรือประชาธิปไตย ต้องมีกฎหมาย มีศีลธรรม และเป็นธรรม ที่จะควบคุมอำนาจในทางมิชอบ” นายสตีเฟนกล่าว


นายสตีเฟนกล่าวต่อว่า สิ่งที่ประเทศไทยเดินผิดทาง คือ การปกครองลักษณะเดียวกับประเทศอาร์เจนตินา ที่อยู่ภายใต้การนำของ“ ฮวน เปรอง” ที่ไปบอกหากเลือกเขาเป็นผู้นำ จะเอาเงินจากคนรวยมาช่วยคนจน ทั้งที่เมื่อปี 1930 ก่อนยุค ฮวน เปรอง อาร์เจนตินาได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวย แต่เมื่อเจอผู้นำเผด็จการทำลายเศรษฐกิจและสร้างพรรคเผด็จการ 70 ปีต่อมา อาร์เจนตินากลับต้องเป็นประเทศที่เผชิญกับความยากจนและแตกแยก หากประเทศไทยยังปล่อยไว้เช่นนี้ ก็จะประสบชะตากรรมเดียวกันกับอาร์เจนตินา


นายสตีเฟนย้ำอีกว่า ระบบที่ดีอยู่ที่ใครจะสร้างความยุติธรรมในสังคมได้ หรือใครจะปกครองสังคมอย่างมีศีลธรรม ซึ่งต้องมีการตรวจสอบและควบคุมกันและกันได้ เหมือนเช่นรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่นับว่าดี แต่มีบางคนที่มีเงินแล้วเข้ามาทำตัวเหมือนหนูที่จะเอาเนยแข็งไปทั้งก้อน ทำให้คุณความดีของรัฐธรรมนูญสูญหายไป เกิดเหตุผู้คนไม่พอใจ ทำการประท้วง หรือปฏิเสธการประนีประนอม โดยที่ผ่านมาตนได้ยิน พ.ต.ท.ทักษิณ พูดมาตลอดว่า เหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน ปี 2549 ที่ล้มล้างอำนาจเขา นับเป็นการข่มเหงเขามาตลอด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยพูดว่า ตนเองฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและทำลายกฎหมายอย่างไร ยังไม่นับกับสร้างความชอบธรรมและอะลุ้มอล่วยทางกฎหมาย คือ หากจะพูดให้ชัดเจน พ.ต.ท.ทักษิณ เองที่เป็นฝ่ายทำให้กระบวนการล่มสลาย และการรัฐประหารเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการล่มสลายเท่านั้น “ ตอนนั้นผมรู้สึกเศร้าใจ อะไรคือทางออกของไทย ถ้าเดินหน้าต่อไป พ.ต.ท.ทักษิณ อาจดำเนินเหตุการณ์ไปจบลงด้วยเผด็จการแบบจีน ซึ่งไม่ดีต่อประเทศไทยแน่ๆ แต่ถ้าเลือกรัฐประหารมันก็ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งประเทศไทยไม่ควรตกอยู่ในจุดนั้น ไม่ใช่เพราะกองทัพ ไม่ใช่เพราะคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่เพราะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่เป็นเพราะคนๆนึงกับทีมของเขาเอง” นายสตีเฟน กล่าว


สำหรับกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ โทษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่าอยู่เบื้องหลังความเดือดร้อนของประเทศ นายสตีเฟน กล่าวประเด็นนี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนฉลาดในการพูด ดังนั้น เขารู้จักหัวใจคนไทยดี รู้ว่าควรจะพูดอะไรให้คนไทยคิดเหมือนเขา ซึ่งในตะวันตกเรียกว่าเป็นผู้ปลุกปั่น โดยเขาจะศึกษาตัวตนของคนฟังว่ามีอารมณ์อย่างไร แล้วก็พูดในสิ่งที่คนอยากได้ยิน ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกชอบหรือห่วงใย แต่เป็นเพราะต้องการอะไรบางอย่าง นั่นคือ เสียงโหวตและความภักดี


ท้ายสุด นายสตีเฟนกล่าวว่า ตนยังหวังว่าความแตกแยกทางการเมืองในประเทศไทยจะสามารถแก้ไขได้ ถ้าหากทุกฝ่ายนั่งลงแล้วคุยกันถึงวิธีแก้ปัญหาแล้วทำงานร่วมกัน โดยทุกคนควรมีจิตสำนึกในสิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จริยธรรม และความภาคภูมิใจที่เป็นคนไทย พร้อมทั้งไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือต้องฟังใคร รวมทั้ง ที่สำคัญกว่านั้น หากความทะเยอทะยานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกนำออกไปจากบริบทปัญหานี้ก็น่าจะมีทางออกสักทาง


“ ยารสหวานๆ แบบฉบับไทยๆ กินทุกๆ วันเป็นเดือนหรือ 3 เดือนแล้วคุณจะดีขึ้นเอง ดีกว่ายาที่กินวันเดียว แต่คนอาจไม่ชอบ ยานี้คืออะไร ผมว่ามันต้องมาจากผู้นำรัฐบาล ผู้นำพรรคการเมือง พวกเขาอาจต้องกลืนยาขม จะต้องไม่มีใครรับสินบน ใช้เวลา 3 ปี ตำรวจและทุกๆ คนต้องทำหน้าที่ของตัวเอง นี่คือยาขมทำให้คนไทยได้เห็นว่านี่คือกฎเกณฑ์ใหม่” นายสตีเฟน กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น