นิตยสาร WhO?
เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ
: ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์ แต่งหน้า : บัณฑิต บุญมี
พระสหายร่วมชั้นพระองค์ภาฯ
ดร.วิชญะ เครืองาม
มือกฎหมายรุ่น
‘ยังก์เติร์ก’
ด้วยความใกล้ชิดคุณพ่อ
ดร.วิษณุ เครืองาม ส่งผลให้ชายหนุ่มมาดสุขุม ชอบความเป็น นักกฎหมายขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว ไม่เพียงเรียนจบด็อกเตอร์ด้านกฎหมาย
เขายังเป็นพระสหาย ร่วมชั้นพระองค์ภาฯ ดร.โอม-วิชญะ ถ่ายทอดพระปรีชาสามารถและพระเมตตาของเจ้าฟ้า
นักกฎหมาย
ด้วยสายเลือดนักกฎหมายที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
นักกฎหมาย-อาจารย์ชื่อดัง ดร.โอม-วิชญะ เครืองาม ทายาทเพียงคนเดียวของ ศ.(กิตติคุณ) ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันรั้งตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญฝ่ายงานรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เผยวิธีคิดและชีวิตการทำงานที่มีพ่อเป็นต้นแบบที่ดี
คุณโอมเล่าเส้นทางชีวิตหลังจากสำเร็จปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับ 2)
จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหลักสูตรเนติบัณฑิตไทย ก่อนลัดฟ้าไปประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาต่อปริญญาโท ด้านกฎหมาย
LL.M. (Law) และคว้าปริญญาเอก ด้านกฎหมาย
J.S.D. (Law) University of California, Berkeley มาให้คุณพ่อคุณแม่ได้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจ
“ผมเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยเดียวกับคุณพ่อ ส่วนหนึ่งก็เพราะมีคุณพ่อเป็น
แรงบันดาลใจ ครั้งหนึ่งสมัยเด็กได้ไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ที่อเมริกา คุณพ่อเคยชี้ให้ดูมหาวิทยาลัย ที่ท่านเคยเรียนจบกฎหมาย แต่สมัยผมไปเรียนต่อกฎหมาย ก็ไม่ได้สอบชิงทุนอะไร
แต่ใช้ทุนของคุณพ่อ ท่านก็เลยบอกให้รีบจบกลับมาเพื่อทำงาน (หัวเราะ)
ที่ผ่านมาคุณพ่อก็ให้มุมมองต่างๆ ทั้งแง่บวก
แง่ลบ ดังนั้นไม่ว่าผมเดินไปทางไหน
ก็จะมีความคิดเห็นมาจากคุณพ่อเสมอๆ ดูแบบนี้แล้วเหมือนผมเชื่อคุณพ่อทุกอย่างนะ
(ยิ้ม) แต่ก็ไม่มีเจตนาที่จะเดินตามรอยเท้าคุณพ่อ เพียงแต่อยากจะสร้างรอยเท้าของตัวเอง ในทางที่อาจจะเป็นเส้นขนานกับคุณพ่อน่าจะดีกว่า
พอมาทำงานด้านกฎหมายก็ได้คำแนะนำ จากคุณพ่อมามากมายจริงๆ” นักกฎหมายหนุ่มวัย 30
ปี เล่าถึงการเดินตามรอยผู้เป็นพ่อโดย
ไม่ได้ตั้งใจ
/// สองบทบาท นักกฎหมาย-ทนายความ
ด็อกเตอร์หนุ่มไฟแรงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย
ตามเสียงเรียกร้องของครอบครัว ทั้งที่เตรียมตัวจะไปทำงานที่สำนักกฎหมายชื่อดังที่ซานฟรานซิสโก
ประจวบกับอายุเข้าเบญจเพส จึงบวชทดแทนพระคุณของบุพการีก่อนเริ่มต้นชีวิตทำงานในสำนักงานกฎหมาย
วาย แอนด์ เคส ประเทศไทย จำกัด ในเวลาต่อมา
“สำหรับผมการทำงานกับสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงจะต้องทำงานหนักต้องรู้ลึก
รู้จริง ผมคิดว่าหลังจากที่เราเรียนรู้ทฤษฎีมามากมายแล้ว
ควรมาเริ่มปฏิบัติด้วยการเอาความรู้ที่มี มาเป็นที่ปรึกษากฎหมาย หรือทนายความ การทำงานที่ผ่านมาก็ได้เรียนรู้หลายเรื่อง
ทั้งด้านการเงินการธนาคาร ด้านการควบรวมกิจการ” ด็อกเตอร์โอมเล่าพลางยิ้มภาคภูมิใจ
ระยะเวลา
3 ปีระหว่างทำงานที่สำนักงานกฎหมายนั้น ความที่เป็นทนายความมือใหม่ จึงทำให้มีโอกาสเข้าไปตรวจร่างสัญญาต่างๆ ของลูกค้าที่ทำธุรกิจในกลุ่มการสื่อสารโทรคมนาคม และเล็งเห็นว่า บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้น ที่หันเหชีวิตเข้าสู่ธุรกิจโทรคมนาคมแบบเต็มตัว โดยมีงานหลักที่ต้องรับผิดชอบ อาทิ การประมูลคลื่น 3G
บรอดแบนด์แห่งชาติ และโครงการ Free wi-fi หรือ smart wi-fi รวมถึงการตรวจสอบกฎระเบียบของกิจการโทรคมนาคมด้วย
“ผมมีโอกาสได้ไปพบผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งแนะนำว่า
ทางบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทไทยที่มีความพร้อมในการแข่งขันที่มีงานท้าทายพอสมควร และต้องการรับ คนรุ่นใหม่ไปร่วมทีม ก็เลยเป็นเหตุให้มาได้ทำงานด้วยกัน
แต่ก่อนจะมาทำงานที่ทรูฯ ผมไปเป็น อาจารย์ประจำช่วงเวลาสั้นๆ ที่มหาวิทยาลัยด้วย” โดยเป็นอาจารย์พิเศษสอนกฎหมายให้กับ หลายสถาบัน
ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ ม.อัสสัมชัญ ม.ราชภัฎสุราษฎร์ธานี ม.ขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย และม.กรุงเทพ เป็นต้น
/// ถวายงาน...พระองค์ภาฯ
นอกเหนือจากงานประจำในบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของเมืองไทยแล้ว
เขายังมีโอกาสได้เข้าไปเรียนที่สถาบันพระปกเกล้าในหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) ของศาลยุติธรรม รุ่นที่ 16 ประจำปี 25554-2555 จึงทำให้มีโอกาสได้ตามเสด็จฯ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เนื่องจากพระองค์ทรงเรียนอยู่ในรุ่นเดียวกัน
ทายาทนักการเมืองคนดังกล่าวถึงหลักสูตร
บยส. ซึ่งเป็นการอบรมให้กับผู้บริหารชั้นสูง จากภาครัฐและเอกชนว่า “เพื่อนร่วมรุ่นส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารระดับสูงและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตั้งแต่อดีตรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง ที่สำคัญยังเป็นพระกรุณาธิคุณที่พระองค์ภาฯ เสด็จมาเรียน ในรุ่นนี้ด้วย แล้วด้วยวัยที่ใกล้เคียงกัน เมื่อมีการจัดกลุ่มย่อยผมก็ได้มาอยู่กับกลุ่มของ
พระองค์ภาฯ ถามว่าเกร็งไหม
(ยิ้ม) คงต้องบอกว่า
ต้องระมัดระวังตัวมากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นคำพูด ที่ต้องใช้คำราชาศัพท์ตามความเหมาะสม บางครั้งผมพูดผิดบ้าง ถูกบ้าง(ยิ้ม) แต่การวางตัว กับเจ้านาย เราก็ต้องวางตัว
ให้เหมาะสมและถวายพระเกียรติพระองค์ท่านอย่างเต็มที่”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส
และด้วยความที่ต้องเดินทางไปทัศนะศึกษาดูงานในหลายประเทศ
อาทิ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ฯลฯ กับทาง บยส. เช่นนั้นเขาและเพื่อนๆ
ในกลุ่มเพื่อน จึงมีโอกาสได้ถวายงานเจ้าฟ้า นักกฎหมายอยู่เป็นระยะ
“ในกลุ่มไม่ใช่ผมคนเดียวที่เป็นยังเติร์ก
แต่ยังมีเพื่อนอีก 6-7 ท่าน ที่ช่วยกันถวายงาน
ให้พระองค์ท่าน ส่วนมากจะเกี่ยวกับการดูแลความเรียบร้อยและความปลอดภัยในบางส่วน ที่ราชองครักษ์ไม่ได้เข้ามาด้านในของการประชุมทางวิชาการของ บยส. ผมก็ได้ใช้โอกาสนี้ ถวายความจงรักภักดี” เขาเล่าน้ำเสียงปลื้มปิติ
พร้อมถ่ายทอดความประทับใจในฐานะพระสหาย ร่วมชั้นต่อว่า
“พระองค์ภาฯ ทรงเป็นนักกฎหมายที่มีความรู้สูง อีกทั้งทรงเป็นทั้ง นักการทูต อัยการ นักกฎหมาย อาจารย์ ทหาร ด้วยความรู้ของพระองค์ท่านที่มีในศาสตร์หลายๆ
อย่าง ทรงมีพระปรีชามากที่จะอธิบายให้ความรู้แนวทางแก้ไข ผมได้เรียนรู้หลายๆ อย่างจากท่าน ถ้าอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ พระองค์ก็ทรงมีพระเมตตา อีกทั้งยังทรงเป็นกันเองกับทุกคน
ซึ่งทำให้พระองค์ทรงเป็นที่รักของทุกคนที่ได้ใกล้ชิด ขณะนี้พระองค์ภาฯ เสด็จฯ ไปประทับ ที่เวียนนาในฐานะที่ทรงเป็นสมาชิกของยูเอ็น เป็นเวลา 1 ปี พอผมไปเรียนที่ บยส. มีเพื่อนๆ ในกลุ่มก็บ่นคิดถึงพระองค์ภา(ยิ้ม)” ในเร็ววันนี้กลุ่มสหายของพระองค์ภาฯ เตรียมหา โอกาสไปดูงานที่เวียนนาเพื่อไปเข้าเฝ้าด้วย
//สถานีถัดไป...อาชีพการเมือง
ที่ผ่านมาประสบการณ์การเมืองของ ศ.(กิตติคุณ) ดร.วิษณุ มีผลงานทางกฎหมาย มากมาย ทั้งทางวิชาการและในทางปฏิบัติ โดยเป็นหนึ่งในผู้นำการร่างรัฐธรรมนูญหลัง
การปฏิวัติหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา จนได้รับการสมญานามว่า เนติบริกร กระทั่งก้าวสู่ตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลทักษิณ
ชินวัตร ซึ่งทำให้ ดร.โอม มีความคุ้นเคยกับการเมือง มาตั้งแต่เป็นเด็ก จึงไม่แปลกใจเลยที่ภายในใจอยากก้าวสู่สนามการเมืองเช่นเดียวกับคุณพ่อ
“ผมติดตามการเมืองมาตั้งแต่เป็นเด็ก ผมชอบเรียนวิชาสังคมที่ต้องเกี่ยวกับ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ถามว่าผมสนใจการเมืองไหม ผมสนใจครับ(ยิ้มมุมปากพร้อมกับ พยักหน้าตอบ) แต่ถ้าถามว่าตอนนี้อยากจะเล่นการเมืองในลักษณะใด ผมคงขอเป็น ผู้สังเกตการณ์การเมืองไปก่อน แล้วผมเป็นคนที่ชอบแสดงความคิดเห็นทางการเมืองต่างๆ ผมก็มักจะถกกับเพื่อนๆเสมอ”
ถามถึงอนาคตจะลงเล่นการเมืองตามรอยเท้าคุณพ่อหรือไม่ ดร.โอม หยุดทำหน้าครุ่นคิด สักครู่ “ตรงนั้นคงขึ้นอยู่กับเวลาที่เหมาะสม แล้วเป็นสิ่งที่เหมาะกับเราจริงๆ ผมก็คิดว่ามีโอกาส แต่ไม่ใช่ความฝันสูงสุดว่าฉันอยากเป็นนักการเมือง ผมอยากจะช่วยประเทศชาติทางใดทางหนึ่ง ก็ได้ ทำประโยชน์เพื่อคนส่วนใหญ่ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมืองก็ได้ คุณพ่อจะชอบพาผมไป พบปะผู้ใหญ่ทางการเมือง
ทำให้ผมเข้าใจงานการเมืองมากขึ้น พอกลับบ้านผมก็จะนั่งรถ
มากับคุณพ่อ คุณพ่อก็จะเล่าเบื้องหลังของการคุยกับคนนั้นคนนี้เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่คุณพ่อ
เคยเขียนเอาไว้ในหนังสือของคุณพ่อด้วย” ในอนาคตอาจมีเขาคนนี้มีชื่อเป็นนักการเมืองน้ำดี
อยู่ในทำเนียบอีกคน
/// ปรัชญาบริหาร...คิดดี ทำดี ซื่อสัตย์
ด้วยหลักการทำงานที่เน้น
“คิดดี พูดดี ทำดี” บวกกับความรู้ ความสามารถที่มี จึงทำให้ผู้บริหาร หนุ่มมาดสุขุมคนนี้
ฉายความน่าสนใจไม่น้อย
“หลักการทำงานที่ผมทำมาตลอดคือ การคิดดี พูดดี ทำดี ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกัน และกัน นี่ก็เป็นหลักพระพุทธศาสนา เพราะถ้าเราคิดดี พูดดี ทำดี ผลรับออกมาก็จะดีไปด้วย เวลาที่ผมสวดมนต์ต่อหน้าพระ ผมก็ขอให้ท่านช่วยส่งแรงมายังผมให้คิดดี พูดดี ทำดี ให้เป็นแนวทางกับผม แต่ถ้าเป็นแนวทางการตัดสินใจงานบริหารผมก็จะยึดหลักที่เรียกกันว่า
WIN WIN มีผมมีคุณที่เป็นฝ่ายได้ ถ้าตัดสินใจอะไรเราจะได้ คุณก็ได้ สังคมและประเทศชาติ ก็ต้องได้ด้วย ผมจะมุ่งไปในแนวนั้น ถ้า WIN WIN ของผมได้เปรียบ ได้เยอะที่สุด แล้วคนอื่นไม่ได้ผม ก็จะไม่เลือกแนวทางนี้”
ทว่าหากอยู่ในสถานะนักกฎหมาย เขาว่าต้องเป็นคนดี ซื่อสัตย์ เพราะกฎหมายให้คุณ ให้โทษคนได้ จึงต้องอยู่บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์สุจริต
“หลายคนชมคุณพ่อผมว่าเป็นคนที่เก่งมาก มีความจำสามารถบรรยายเรื่องยาก ให้เป็นเรื่องง่ายได้ เป็นคนเก่งแล้วยังเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริตด้วย เป็นสิ่งที่ผมภูมิใจในตัวคุณพ่อ คนเราเก่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตด้วย ความดีตรงนี้ก็ตกลงมาถึงผม เลยได้ รับแรงบันดาลใจในเรื่องนี้จากพ่อด้วย”
เช่นนั้นหากลูกชายคนเก่งจะเดินตามรอยเท้าผู้เป็นพ่อ
ก็ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี ไม่น้อยกว่าการที่เขาสร้างรอยเท้าให้ตัวเอง…
Key to success
-ปรัชญาการบริหารงานต้อง คิดดี พูดดี ทำดี
-อาชีพกฎหมายต้องเป็นคนดี และซื่อสัตย์