เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง
ภาพ นพพล ภาคสุทธิผล,พัฒนฉัตร มุลวงศ์ศรี
แม่ผู้สูญเสีย”หมอแจ๊ค”
แม่อ้อย-ทิพสุดา สุขารมณ์
เป็ดย่างอาหารมื้อสุดท้าย & ลูกชายยังอยู่ในใจเสมอ
(โปรย) การจากไปอย่างกระทันหันของ แจ๊ค สุขารมณ์ เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของ คุณแม่อ้อย-ทิพสุดา สุขารมณ์ ที่ไม่มีใครมาแทนได้ วันนี้จึงคิดเสมอว่า ลูกชายยังไม่ได้จากไปไหน
อดีตนักร้องชื่อดัง นพ.พรเดชา สุขารมณ์ หรือ แจ๊ค สุขารมณ์ อายุ 37 ปี เจ้าของอัลบั้ม "Soul Searching" และเป็นลูกชายของ นพ.เดชา สุขารมณ์ เจ้าของโรงพยาบาลเดชา พลัดตกจากสะพานลอยบริเวณข้างศูนย์ทันตกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ ถนนเพชรบุรี แล้วไปเสียชีวิตที่ศิริราช เนื่องในวันแม่แห่งชาติ คุณแม่อ้อย-ทิพสุดา สุขารมณ์ ยอมเปิดใจให้สัมภาษณ์กับ WhO? ในการพูดถึงความรู้สึกหัวอกของแม่ผู้สูญเสีย สถานที่ถ่ายทอดความรู้สึกครั้งนี้นัดหมายกันที่ ร.ร.เจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ ระหว่างเล่าถึงความประทับใจลูกชายน้ำตาของผู้เป็นแม่ก็พรั่งพรูออกมาอย่างน่าสงสาร และอนาคตเตรียมตั้งมูลนิธิหมอแจ๊ค เพื่อสร้างหมออาชีพให้เป็นอนุสรณ์กับบุตรชาย…
//เลี้ยงง่าย,เรียนเก่ง,ขี้งอน,อารมณ์ศิลปิน
หมอแจ๊ค มีพี่ต่างมารดาสองคน วสิฐ สุขารมณ์ วิสุทธา สุขารมณ์ (จักรพันธ์) และพี่น้องที่เกิดจากคุณแม่ทิพสุดามี 3 คน คือ พรเดช สุขารมณ์ เป็นพี่ชาย หมอแจ๊คเป็นลูกคนที่สอง ส่วนน้องสาวชื่อ วรสุดา สุขารมณ์ และหมอแจ๊คยังมีบุตรสองคน คือ เด็กหญิงทาช่า- วีรัลพัชร สุขารมณ์ ที่เกิดจากภรรยาคนแรก เชอรี่-วีรินท์ อนันตพัฒนาวงศ์ และเด็กชายมาท่า-พลเดชา สุขารมณ์ ที่เกิดจากภรรยาคนปัจจุบัน อุ๊-รสริน จันทร์เลขา
“ลูกสาวคนโตของหมอแจ๊คจะอยู่กับเชอรี่ ตอนทำบุญครบ 50 วัน ทาช่าก็บ่นคิดถึงคุณพ่อนะ แม่ก็บอกหลานไปว่าคุณพ่อไปสวรรค์แล้ว พอเขากลับบ้านเขาก็โทรศัพท์มาคิดถึงคุณย่าค่ะ ส่วนลูกชายคนเล็กพูดไม่ได้ เพราะเพิ่งเกิดมาได้ 3 เดือน ลูกหมอแจ๊คทั้งสองคนน่ารักมาก รู้สึกว่าฉลาดเหมือนพ่อเขา คนโตพอเจอผู้ใหญ่ก็จะยกมือไหว้ แล้วยังชอบสวดมนต์ไหว้พระ แถมขี้อ้อนเหมือนคุณพ่อเขาเลย ส่วนคนเล็กไม่เคยงอแงเลย เหมือนจะรู้ว่าตัวเองกำพร้าพ่อแล้ว”
ย้อนไปสมัยหมอแจ๊คยังเล็กก็เป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย เรียกว่าช่วงนั้นครอบครัวสุขารมณ์ยังไม่มีโรงพยาบาลเดชา มีเพียงคลีนิครักษาโรคทั่วไปเท่านั้น แล้วทาง นพ.เดชายังไม่ได้เล่นการเมือง จึงไม่มีภาระทางสังคมอะไรมากนัก เลยมีเวลาส่งหมอแจ๊คไปเรียนว่ายน้ำ เรียนเทควันโด เรียกว่าลูกๆ ทุกคนต่างได้รับความอบอุ่นจากผู้เป็นพ่ออย่างสมบูรณ์
ภายหลังสร้างโรงพยาบาลเดชาจนเป็นที่รู้จัก นพ.เดชา เข้าสู่วงการเมืองโดยการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดกาญจนบุรี ในปี 2535 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมาย้ายมาสังกัดพรรคชาติไทย และในปี 2544 ได้ย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย เคยดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง อาทิ รมว.ทบวงมหาวิทยาลัย และ รมช.สาธารณสุข
ครั้งแรกที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่หมอแจ๊คถูกส่งไปเรียนไฮสคูล ที่รัฐแอริโซนา กับพี่ชาย(โจ้-พรเดช สุขารมณ์) “หมอแจ๊คเรียนเก่งมาก ไม่เคยเหลวไหลเลย” พอเรียนจบหมอแจ๊คก็สอบได้ท็อปเทน สามารถเข้าเรียนที่ไหนในอเมริกาก็ได้ เขาจึงเลือกเรียนปริญญาตรี Biomedicai Engineeering ก็สอบได้คะแนนสูง จนได้รับการติดต่อ จากองค์การนาซ่า ให้ไปทำงานด้วยระยะหนึ่ง และหมอแจ๊คก็เรียนจบปริญาโท Biomedicai Engineeering University Of Southern California พร้อมต่อปริญญาโท MBA University Of Los Angelis
“จริงๆ หมอแจ๊คเป็นคนเซนซิทีฟ พูดง่ายๆว่าเขาเป็นคนอารมณ์ศิลปิน อ่อนไหวใจดี มีเพื่อนรักมาก ยิ่งไปอยู่เมืองนอกก็มีเพื่อนเยอะ เขาก็เล่นดนตรี แล้วก็แต่งเพลงส่งมาให้กับบริษัทกันตนา แล้วก็มีแต่งเพลงให้กับละครหลายเรื่อง เรียกว่าแต่งเพลงร้องเอง หมอแจ๊คจะชอบโทรศัพท์มาบอกว่า คุณแม่อย่าลืมดูละครซีรีย์ บางรักซอย 9 ผมเป็นคนร้องเพลงประกอบนะ” ระหว่างเล่าถึงหมอแจ๊คผู้เป็นแม่ยิ้มอย่างภูมิใจ
//หมอแจ๊ค…คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของครอบครัวสุขารมณ์
อาจเรียกได้ว่าหมอแจ๊คเป็นคนที่ทำอะไรให้กับครอบครัวมาตลอด จนทำให้ทุกคนประทับใจ โดยนิสัยส่วนตัวเขาเป็นคนอ่อนโยน ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยสร้างความเดือดร้อนใดๆเลย “หมอแจ๊คเขาเป็นคนที่ทำอะไรให้กับครอบครัวได้ก็จะทำ ขนาด นพ.เดชาหวังที่จะให้มาช่วยดูแลกิจการโรงพยาบาลเดชา จึงขอร้องให้ลูกกลับมาสอนให้ความรู้ที่โรงเรียนแพทย์(ศิริราชพยาบาล) พร้อมเรียนแพทย์ศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เพิ่มเติมอีก 2 ปี แล้วลูกก็ได้เป็นหมอตามความตั้งใจของคุณพ่อ”
อีกมุมหนึ่งของครอบครัวสุขารมณ์ เป็นบ้านเป็นประชาธิปไตย เนื่องจากไม่ว่าจะไปไหนก็ต้องมีการโหวตแทบทุกครั้ง เรียกว่าครอบครัวเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ลูกยังเล็ก เมื่อตกลงกันว่าเดินทางไปไหน เช่นไปต่างประเทศก็ต้องเดินทางไปด้วยกันทั้งหมด ถือว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่น แล้วความภูมิใจที่สุดของผู้เป็นแม่ เมื่อลูกทุกคนเป็นคนดีต่อสังคม
“สิ่งที่แม่ภูมิใจที่สุดที่หมอแจ๊คเรียนจบทางด้านเทคนิคการแพทย์ การสร้างเครื่องมือแพทย์ เพราะน้อยคนนักที่จะทำตรงนี้มาได้ เขาเรียนแพทย์ให้กับเรา เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ตั้งใจอยากให้ลูกเรียนหมอ แล้วหมอแจ๊คก็เรียนได้ ไม่เคยเกี่ยงงอน กลายเป็นเรื่องที่ประทับใจให้กับทุกคนในครอบครัว
การสูญเสียหมอแจ๊คครั้งนี้ไปทำให้ครอบครัวเหมือนสูญเสียสิ่งที่ยิ่งใหญไปแม่รู้สึกว่าการเสียหมอแจ๊คครั้งนี้ไปเหมือนแม่เสียของรักที่ยิ่งใหญ่ไปจริงๆ วันที่หมอแจ๊คเสียชีวิตไปก็ไม่มีลางบอกเหตุ หรือมีลางสังหรณ์อะไรเลย จริงๆหมอแจ๊คจะเป็นคนรักตัวเองมากๆ ขนาดทำงานได้เงินเดือนหลายๆแสน เขาก็บอกว่าผมจะแบ่งให้แม่ใช้เดือนละสองสามแสนนะ คุณแม่จะได้ไม่ต้องทำงาน เพราะตอนนี้ก็ทำงานร่วมทุนกับมาเลเซียที่จะสร้างโรงแรมและคอนโดในเมืองไทย” ระหว่างที่เล่าถึงหมอแจ๊คถึงตอนนี้แม่ทิพสุดากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ทำเอาทีมงานเกือบน้ำตาร่วงตามไปด้วย
//เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ”หมอแจ๊ค”ยังอยู่ในใจแม่เสมอ
คำว่า สูญเสีย คนทั่วไปอาจต้องการเวลาสักช่วงหนึ่งที่จะอยู่กับความเศร้าโศก เพื่อระลึกถึงความทรงจำบางสิ่งบางอย่าง อาลัยอาวรณ์ แต่คุณแม่ทิพสุดาพยายามทำใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฟ้าลิขิต ซึ่งเชื่อว่าวันนี้ลูกชายได้ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว “แม่รู้สึกว่าหมอแจ๊คไปสบายแล้ว อยากจะบอกเขาว่าเขาเกิดมาไม่เสียชาติเกิดจริงๆ เพราะหมอแจ๊คได้ทำดีที่สุดให้กับครอบครัวเรา ยิ่งพอเขาเสียไปเราเพิ่งรู้ว่าเพื่อนฝูงเขามาร่วมงานศพเยอะมาก เพื่อนๆหลายคนก็โทรเข้ามาหา คุณแม่ก็ร้องไห้กันใหญ่ แต่วันนี้เราทำใจได้เพราะรู้ว่าเขาไปสบายแล้ว
ตั้งแต่หมอแจ๊คเสียชีวิตไปไม่เคยมาเข้าฝันเหมือนหลายคนที่เคยฝันเห็นกัน ทุกวันนี้สิ่งที่คุณแม่ทิพสุดาทำให้หมอแจ๊คคือการสวดมนต์นั่งสมาธิ แล้วยังเปิดเทปธรรมะให้ฟังประมาณ 1 ชั่วโมง “ถ้าแม่ไม่ทำให้เขาก็ไม่รู้ใครจะทำให้เขาหรือเปล่า ถึงจะมีญาติพี่น้อง มีภรรยา ก็ทำได้ไม่เท่าหัวอกแม่ แม่ทำก็เพื่อให้เขาได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดี แม่คิดว่าเขาต้องไปอยู่ในภพภูมิที่ดี ตอนมีชีวิตอยู่เขาทำบุญเอาไว้เยอะ เช่น ช่วยชีวิตคนไข้ ช่วยเหลือเพื่อนๆในยามเดือดร้อนมาเป็นอันดับแรก จนเพื่อนเขาที่มาร่วมงานต่างบอกเหมือนกันว่าแม่มีอะไรให้พวกผมช่วยให้โทรหาผมได้ตลอด แม่ก็เหมือนเป็นแม่ผมอีกคนหนึ่ง แม่ได้ยินแบบนั้นก็เหมือนเป็นกำลังใจให้กับเรา แล้วแม่ก็ดีใจในความดีของหมอแจ๊คที่มีต่อเพื่อนๆ
“เสียหมอแจ๊คไปถือเป็นการเสียของรักที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตไป ไม่มีอะไรชดเชยได้(ทันใดนั้นน้ำตาของแม่ทิพสุดาน้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาอีกรอบ) แม่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหมอแจ๊คจะอายุสั้น เพราะอนาคตของเขาน่าจะยังไปได้อีกไกล สิ่งสำคัญเขามีความตั้งใจสูงกับการทำงานอย่างมาก แม่ไม่เคยคิดว่ามันจะไวขนาดนี้ ถ้าใครเคยสูญเสียแบบแม่ก็คงจะเข้าใจในหัวอกของแม่คนหนึ่งว่าหัวใจปวดร้าวเพียงใด เชื่อไหมว่าตั้งแต่เขานำร่างของหมอแจ๊คมาส่งที่โรงพยาบาลเดชา แล้วก็ได้ส่งให้ไปสแกนสมองที่ศิริราชจนเขาจากไป” แม่อ้อยเฝ้าดูอาการหมอแจ๊คทั้งวันทั้งคืนจนนาทีสุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้ร่ำลากันเลย
//เป็ดย่าง…อาหารมื้อสุดท้ายที่ต้องรอเก้อ
ก่อนเสียชีวิตเพียง 1 วัน ประมาณเที่ยงคืนหมอแจ๊คได้โทรมาคุยกับแม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงหากเปิดร้านใหม่เมื่อไหร่แม่ก็จะสบายขึ้น หลังจากนั้นก็ได้ปลอบใจแม่อ้อยในหลายๆเรื่อง “พอวันรุ่งขึ้นหมอแจ๊คโทรมาหาภรรยาเขาว่าจะกลับมาทานข้าวเย็นด้วย แม่ก็เลยเตรียมอาหารเอาไว้เรียบร้อย โดยเฉพาะเป็ดย่าง ที่เป็นอาหารโปรดของเขา พอสี่ทุ่มกว่าๆก็ได้ข่าวว่าหมอแจ๊คเกิดอุบัติเหตุแม่ก็ช็อคทำอะไรไม่ถูก ในที่สุดหมอแจ๊คก็จากแม่ไปอย่างไม่วันกลับ”
จังหวะนั้นคุณแม่อ้อยได้หยิบสมบัติส่วนตัวของหมอแจ๊คขึ้นมาให้ดูว่า ไม่ว่าจะเป็นปากกาป้ากเกอร์ที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ,ล็อคเก็ต เสด็จพ่อ ร.5,หยกลิง จากเมืองจีน ,หมีหยก และแหวน ที่ยังคงเป็นสิ่งที่แทนตัวหมอแจ๊ค ส่วนเสื้อผ้า หรือของใช้อื่นๆ ก็ได้ให้คนอื่นไปหมดแล้ว “แม่นึกถึงหมอแจ๊คทีไรก็นึกว่าเขายังมีชีวิตอยู่เสมอ แล้วแม่ก็ไม่เคยลืมสิ่งที่หมอแจ๊คทำให้กับแม่ตลอด คือเขาไม่เคยลืมวันเกิดแม่ทุกวันที่ 21 เมษายน ทุกปีเขาก็จะพาเพื่อนๆมาจัดงานวันเกิดให้กับแม่ พาไปทำบุญให้กับเด็กกำพร้าบ้านราชวิถี และทำบุญให้กับคนตาบอดที่โรงเรียนสอนคนตาบอด อยู่ตรงสี่แยกราชวิถี มันเลยเป็นความรู้สึกว่าหมอแจ๊คยังไม่ได้ไปไหน
หมอเดชากับแม่ก็เป็นผู้สูญเสียด้วยกันทั้งคู่ คงไม่มีอะไรที่จะมาแทนความรักตรงนี้ได้ แต่เราก็คิดกันว่า เรายังมีลูก ยังมีหลานที่จะต้องเลี้ยงดูพวกเขา จะมาฟูมฟายไม่ได้ มันก็ต้องทำหน้าที่เดินหน้าต่อไป ทำเพื่อหลาน และเพื่อลูกคนอื่นๆด้วย ทุกวันนี้เจอลูกๆก็ยังพูดเล่นๆว่า หมอแจ๊คเขาไปเที่ยวต่างประเทศนะ มันก็เหมือนเป็นการปลอบใจกัน หมอเดชาก็จะพูดก็ให้คิดว่าตอนนี้หมอแจ๊คไปเรียนต่างประเทศก็แล้วกัน อย่าคิดว่าเขาจากเราไป แต่จริงๆ เราก็รู้ว่าหมอแจ๊คจากเราไปแล้ว” แม้ย้ำว่าทำใจกับการสูญเสียได้แต่ไม่วายเห็นน้ำตาของผู้เป็นแม่ไหลซึมผ่านตาเป็นระยะๆ
//ตั้งมูลนิธิหมอแจ๊ค…เพื่อผลิตนักเรียนแพทย์
การสูญเสียหมอแจ๊คไปในครั้งนี้ไม่มีอะไรมาทดแทนให้กับครอบครัวนี้ได้ คุณแม่ทิพสุดาเลยตั้งใจอยากก่อตั้งมูลนิธิให้หมอแจ๊คเพื่อชดเชยในบางสิ่งที่เคยขาดหายไปในช่วงวัยเด็ก
“ตั้งใจเอาไว้ว่าชีวิตที่เหลือจะต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด เรายังมีลูกที่ต้องการกำลังใจจากแม่ เราก็ต้องอยู่เป็นกำลังใจให้ลูกๆทั้งสี่คน หลานอีกหลายคน รวมทั้งญาติพี่น้อง แล้วสิ่งที่แม่ต้องการทำมากที่สุด ถ้ามีโอกาสได้ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็อยากตั้งมูลนิธิให้หมอแจ๊ค เพื่อส่งแพทย์เรียน นี่เป็นความตั้งใจอยากที่จะให้ลูก ถ้างานแม่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งก่อนหน้านี้ได้คุยกับเพื่อนหมอแจ๊คว่า 1 ปีเราอาจจะจัดอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วได้เงินมาก็จะนำมาสมทบทุนตั้งมูลนิธิ จัดตั้งเป็นกองทุนขึ้นมาเพื่อช่วยนักเรียนแพทย์ที่ยากจนแล้วขาดทุนทรัพย์ เพราะการเรียนหมอจะต้องใช้ทุนเยอะมาก
แม่คิดว่าอย่างน้อยก็เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับหมอแจ๊ค แล้วยังเป็นบุญกุศลที่แม่จะทำให้กับลูกเราได้ ปีหนึ่งได้ส่งให้เรียนสองสามทุนก็ยังดีเพื่อจะได้เป็นกำลังใจให้พวกเขา โครงการนี้คงได้พูดคุยกันอีกครั้งในวันครบ 100 วัน ตอนนี้เลยไม่เดินทางไปต่างประเทศ แต่จะปฏิบัติธรรมแล้วอยู่กับเขาจนกว่าจะครบ 100 วัน (17 ส.ค.2553) ที่วัดเทพศิรินทร์ แม่ยังเสียใจที่สมัยก่อนไม่ได้ทำอะไรให้ลูกแจ๊คมากนัก วันนี้แม่เลยขอทำปัจจุบันให้กับเขา ซึ่งแม่เชื่อว่าเขาคงรับรู้กับสิ่งที่คุณแม่คุณพ่อ ญาติพี่น้องและเพื่อนๆ ได้ทำอะไรให้กับเขานั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว”
ชีวิตหมอแจ๊คผู้ล่วงลับ คงเป็นบทเรียนสอนใจให้กับใครหลายๆคนได้เห็นว่า ยังไม่สายเกินไปหากเราทุกคนจะเริ่มต้นทำอะไรให้กับคนที่เรารัก หรือคนที่รักเรา ดีกว่าไปทำให้เขาในวันที่จากเราไปอย่างไม่มีวันกลับ…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น