สุทธิคุณ กองทอง หนุ่ม

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

"หมาขี้เรื้อน" (เรื่องดีมากๆ ที่อยากแบ่งปัน)


"หมาขี้เรื้อน" (เรื่องดีมากๆ ที่อยากแบ่งปัน)





ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคน หนึ่ง เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสีย ก่อน
เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ ได้


เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว

ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่ง ที่วัดป่าแถวภาคอีสาน

พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย

เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน

แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลาย รูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน

ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มี นิสัยชอบจับผิด

และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ

วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้ รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง



เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสีย เป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย

ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า


ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่ง จนขาเป็นเหน็บชา

ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไป ทีล้างไปบ่นไป

ประ เภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้

โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี !

ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น

ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด

มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่า ทุกประตู

นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ


อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้า อาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้ โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง


วันๆไม่เห็นท่านทอะไรเอาแต่กวาดใบไม้เก็บขยะ

ซักผ้าเอง
(เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน
การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคน

จัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา

เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย

รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง เพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก


อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอ ให้

หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้

!
สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น
และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเอง เป็นต้นด้วยตนเอง

ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ

หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย

ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่ม สามเณรน้อย

ทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน

อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา

แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง

ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่ง จากใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ


เธอ ทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน

คันไป ทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน

เดี๋ยว ก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้

อยู่ ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม

เจ้า หมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก! ็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ

หาว่า แต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน

สถาน ที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี


คิด อย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน

แต่ หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที

เลย ต้องวิ่ งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า

เจ้า สาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่

แต่ สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก

พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า

ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว

ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น

ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย

นึกอย่างไร
ก็ มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อน ที่หลวงพ่อชี้ให้ดู
ยิ่ง นั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะ เยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง


นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคน ละคน

จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน

จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง
เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจ จากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก


"
อาตมา เป็นหมาขี้เรื้อน
ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่ง พรรษา"

โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย

แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า

หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ


ถ้า เรายังเป็นโรคอยู่ในใจ ไม่พอใจอะไรซักอย่าง เงินเดือนน้อย หน้าที่การงานไม่พัฒนา ตำแหน่งไม่ไปไหน

ไม่ ว่าเราย้ายงานไปที่ไหน เราก็ไม่พอใจ สถานที่เหล่านั้นไม่ดี คนไม่ได้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยได้ดูตัวเองเลยว่า

เรา พัฒนาการทำงานของเรามั้ย ขวนขวายหาความรู้หรือเปล่า ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อนตัวนั้นเลย

!

************ ********* ********* ********* ********* ********* **

ขอบุญจากธรรมทานนี้จงถึงแก่นายเวรและผู้ปกปักรักษาดูแลช่วยเหลือ ข้าพเจ้าและครอบครัว

ที่มาถึงตัวทุกภพภูมิ

ขอบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบัน

หากไม่ถึงเพียงใดให้ขอให้คำว่าไม่มี ไม่รู้ในสิ่งที่ดี

จงอย่าได้ปรากฏแก่ข้าพเจ้า

ขอให้เกิด! ในภพภูมิ เขต ประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอย่างมั่นคง

และได้ศึกษาพระธรรมได้อย่างเข้าใจถ่องแท้ ลึกซึ้ง ตลอดจนกว่าจะเข้าพระนิพพานด้วยเทอญ.



วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ สาวไทย ที่ใคร ๆ ก็อยากรู้จัก‏


เพราะจดหมายของเธอที่ส่งถึงช่องข่าว CNN ได้รับการกล่าวขานไม่แพ้วาทกรรมของ คุณอ๊อฟ - พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ทำให้ชื่อของ นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ สาวไทยใจกล้า เป็นอีกหนึ่งคนที่ใคร ๆ ก็อยากรู้จักเธอมากที่สุดในตอนนี้ นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ ส่งจดหมายถึงช่องข่าว CNN มีใจความสำคัญระบุถึงการเสนอข่าวที่ไม่เป็นกลาง และเอนเอียงไปฝ่ายเดียว ทำเอาช่องข่าว CNN ถึงกับงานเข้าเลยทีเดียว
โดยมีเนื้อหาในจดหมายดังนี้
Dear Sirs/Madams, Recently, CNN Thailand Correspondents Dan Rivers and Sarah Snider have made me seriously reconsider your agency as a source for reliable and accurate unbiased news. As of this writing, over thousands of CNN’s viewers have already begun to question the accuracy and dependability of its reporting as regards events in Afghanistan, Haiti, Iraq, Iran, etc., in addition to Bangkok.
เร็ว ๆ นี้ ผู้สื่อข่าว CNN ประจำประเทศไทย ทั้ง แดน ริเวอร์ และ ซาร่าห์ ซไนเดอร์ ทำให้ดิฉันต้องกลับมาพิจารณาอย่างจริงจังว่าข่าวของสำนักข่าวของคุณเป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ มีความถูกต้อง และไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่ ในขณะที่ดิฉันกำลังเขียนจดหมายฉบับนี้ มีผู้เสพข่าวของ CNN กำลังตั้งคำถามถึงความแม่นยำและแหล่งข่าวในการนำเสนอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน อาฟกานิสสถาน ไฮติ อิรัก อิหร่าน เป็นต้น .. เพิ่มเติมจากการเสนอข่าวในกรุงเทพมหานคร
As a first-rate global news agency, CNN has an inherent professional duty to deliver all sides of the truth to the global public who have faithfully and sincerely placed their trust and reliance in you. Your news network, by its longtime transnational presence and extensive reach, has been put in a position of trust and care; CNN’s journalists, reporters, and researchers have a collective responsibility to follow the journalist's code and ethics to deliver and present facts from all facets of the story, not merely one-sided, shallow and sensational half-truths. The magnitude of harm or potential extent of damage that erroneous and fallacious news reporting can cause to (and exacerbate), not only a country’s internal state of affairs, economic well-being, and general international perception, but also the real lives and livelihood of the innocent and voiceless people of that nation, is enormous. CNN should not negligently discard its duty of care to the international populace by reporting single-sided or unverified facts and distorted truths drawn from superficial research, or display/distribute biased images which capture only one side of the actual event.
ในฐานะที่เป็นสำนักข่าวชั้นนำของโลก CNN มีหน้าที่ในการเสนอข่าวอย่างรอบด้าน บนพื้นฐานของความจริงต่อประชาชนทั่วโลกที่ให้ความไว้วางใจอย่างสุจริตต่อการเสนอข่าวของสำนักข่าวของท่าน เครือข่ายข่าวนานาชาติของท่านยังดำรงอยู่และเข้าถึงอย่างกว้างขวางโดยพื้นฐานของการนำเสนออย่างระมัดระวังและไว้ใจได้มาอย่างยาวนาน ; นักข่าว ผู้สื่อข่าว และผู้ที่ทำการวิจัยข้อมูลของ CNN ต้องมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติตนตามมาตรฐานการปฏิบัติและจริยธรรมของผู้สื่อข่าว ในอันที่จะนำเสนอเรื่องราวและข้อเท็จจริงรอบด้าน ไม่ใช่การนำเสนอข่าวด้านเดียว ที่ตื้นเขิน และความจริงเพียงครึ่งเดียว ความเสียหายและโอกาสที่จะเกิดความเสียหายที่ร้ายแรงจากความเข้าใจผิดหรือการรับรู้ที่ไม่ถูกต้องอาจจะเกิดขึ้นได้ (และถูกทำให้แย่ลง) ไม่เพียงแค่ในส่วนที่เกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศ ภาวะเศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ต่อประชาคมโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตความเป็นอยู่จริงๆของผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และไม่มีปากเสียงของประเทศนั้น ๆ ด้วย นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่โต CNN ไม่ควรจะเพิกเฉยและละเลยหน้าที่ที่ต้องใช้ความระมัดระวังในในการนำเสนอข่าวเพียงด้านเดียวในประชาคมโลก หรือการที่ไม่ตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของข่าว และแม้แต่การบิดเบือนข้อเท็จจริงที่นำมาจากการการวิจัยอย่างคร่าว ๆ ผิวๆ เผิน ๆ หรือการนำเสนอ / แจกจ่ายรูปภาพที่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งของความจริงทั้งหมดในภาพรวม
Mr. Rivers and Ms. Snider have NOT done their best under these life-threatening circumstances because many other foreign correspondents have done better. All of Mr. Rivers and Ms. Sniders' quotes and statements seem to have been solely taken from the anti-government protest leaders or their followers/sympathizers. Yet, all details about the government’s position have come from secondary resources. No direct interviews with government officials have been shown; no interviews or witness statements from ordinary Bangkok residents or civilians unaffiliated with the protesters, particularly those who have been harassed by or suffered at the hands of the protesters, have been circulated.
คุณริเวอร์ และคุณซไนเดอร์ ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดภายใต้ภาวะที่อาจจะเกิดการคุกคามชีวิต เพราะผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวอื่น ๆ ทำหน้าที่ได้ดีกว่านี้ ทุกสิ่งที่คุณริเวอร์ และคุณซไนเดอร์กล่าวถึงและเขียนถึง ล้วนแต่เป็นเรื่องที่นำมาจากแกนนำของกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้าน หรือผู้ชุมนุมที่ฟูมฟายเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ ดังนั้น รายละเอียดทั้งหมดที่เกี่ยวกับทางฝ่ายรัฐบาลล้วนได้มาจากแหล่งข่าวรอง ๆ ทั้งสิ้น ยังไม่ปรากฏว่ามีการเข้าไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐโดยตรง หรือการเข้าไปรับทราบการรายงานจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องการการชุมนุมประท้วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ซึ่งถูกคุกคามและต้องทนทุกข์จากการกระทำของกลุ่มผู้ประท้วง แล้วนำมารายงานข่าว
Why the discrepancy in source of information? Why the failure to report all of the government’s previous numerous attempts to negotiate or invitations for protesters to go home? Why no broadcasts shown of the myriad ways the red protesters have terrorized and harmed innocent civilians by burning their shops, enclosing burning tyres around apartment buildings, shooting glass marbles at civilians from high altitudes, attacking civilians in their cars, and worst of all, obstructing paramedics and ambulances carrying civilians injured by M79 grenade blasts during the Silom incident of April 24, 2010, thereby resulting in the sole civilian casualty? The entire timeline of events that have forced the government to take this difficult stance has been hugely and callously ignored in deference to the red ‘underdogs’.
ทำไมจึงมีความแตกต่างในการนำเสนอข่าว (สองมาตรฐาน – ผู้แปล) ทำไมจึงไม่มีการรายงานข่าวความพยายามหลาย ๆ ครั้งของทางฝ่ายรัฐบาลที่จะเจรจาหรือเชิญผู้ชุมชุมให้กลับบ้าน ทำไมจึงไม่มีการรายงานวิธีการมากมายหลายอย่างที่เลวร้ายน่ากลัวที่กลุ่มผู้ประท้วงได้กระทำและเป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยการเผาทำลายร้านค้า การเผายางรถยนต์รอบๆตึกอพาร์ทเมนท์ ยิงลูกแก้วเข้าสู่ประชาชนจากที่สูง ทำร้ายประชาชนในรถยนต์ และที่เลวร้ายที่สุดก็คือกีดขวางเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และรถพยาบาลที่กำลังลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บจากกรณีการยิงระเบิด เอ็ม 79 ในพื้นที่การปะทะที่ถนนสีลม เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2010 ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลำดับได้บีบบังคับให้ทางฝ่ายรัฐบาลต้องอยู่ในฐานะที่ยากลำบากที่จะต้องเมินต่อกลุ่มคนเสื้อแดง
Mr. Rivers and Ms. Snider’s choice of sensational vocabulary and terminology in every newscast or news report, and choice of images to broadcast, has resulted in law-abiding soldiers and the heavily-pressured Thai government being painted in a negative, harsh, and oppressive light, whereas the genuinely violent and law-breaking arm of the anti-government protesters - who are directly responsible for overt acts of aggression not only against armed soldiers but also against helpless, unarmed civilians and law-abiding apolitical residents of this once blooming metropolis (and whose actions under American law would by now be classified as terrorist activities) – are portrayed as righteous freedom fighters deserving of worldwide sympathy and support. This has mislead the various international Human Rights watchdogs to believe the Thai government are sending trigger-happy soldiers out to ruthlessly murder unarmed civilians without just cause.
สิ่งที่คุณริเวอร์และคุณซไนเดอร์เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นภาษา คำศัพท์ หรือภาพที่กินใจในการนำเสนอข่าว ล้วนเป็นเรื่องของทหารที่ปฏิบัติตนตามกฎหมายและอยู่ภายใต้ภาวะกดดันอย่างสูง ฝ่ายรัฐบาลได้รับการป้ายสี วาดภาพในด้านลบ หยาบกระด้าง และปกครองอย่างกดขี่ ในขณะที่พวกที่มีความรุนแรงที่แท้จริงและละเมิดกฎหมายของกลุ่มคนที่ประท้วงรัฐบาล ผู้ซึ่งจะต้องรับผิดชอบอย่างแท้จริงต่อการกระทำที่เกินเลยและก้าวร้าว ไม่เพียงกระทำต่อทหารที่มีอาวุธเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชาชนที่สิ้นหวัง ปราศจากอาวุธ ผู้ที่ปฏิบัติตนภายใต้กฎหมาย และประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตที่ครั้งหนึ่งเป็นเขตที่รุ่งเรืองของมหานครแห่งนี้ (ซึ่งการปฏิบัติตนเช่นที่กล่าวมานี้ หากเป็นกฎหมายของอเมริกา จะถูกจัดเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายทันที) – แต่คนกลุ่มนั้นกลับปฏิบัติตนเสมือนว่ามีอิสระที่จะต่อสู่ และได้รับความเห็นใจและการสนับสนุนจากประชาคมโลก นี่เป็นการทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิด ๆ ในกลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งเข้าใจว่ารัฐบาลไทยกำลังส่งทหารที่มีอาวุธเข้าไปเข่นฆ่าประชาชนโดยไม่มีเหตุอันควร
As a current resident of "war zone" Bangkok who has experienced the effect of the Red protests first hand and is living in a state of constant terror and anxiety as to whether her family, friends, and home would get bombed or attacked by the hardcore anti-government vigilantes/paramilitary forces - I appeal to CNN's professional integrity to critically investigate and scrutinize the misinformed news reporting of your above-named correspondents. If they are incapable of obtaining genuine, authentic facts from any other source except the Red Protest leaders and red-sympathizing Thai translators or acquaintances, or from fellow non-Thai-speaking journalists who are similarly ignorant of Thai language, culture, history, and society, then perhaps CNN should consider reassigning field correspondents to Thailand.
ในฐานะที่เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ใน "เขตสงคราม" ของกรุงเทพ และมีประสบการณ์ตรงที่ได้รับผลกระทบจากกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดงที่มีการข่มขู่อย่างต่อเนื่อง เรามีความกังวลว่าครอบครัวของเรา เพื่อนฝูง และบ้านเรือนของเราจะถูกระเบิดหรือถูกโจมตีจากกลุ่มหัวรุนแรงของกลุ่มคนที่ต่อต้านรัฐบาล กองกำลังต่าง ๆ ดิฉันอยากจะขอร้องให้ CNN ใช้จริยธรรมของวิชาชีพในการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน และพินิจพิเคราะห์ข่าวที่บิดเบือนจกการนำเสนอโดยผู้สื่อข่าวที่ได้พูดถึงข้างต้น หากพวกเขาไม่มีความสามารถในการหาข่าวที่เป็นจริงจากแหล่งข่าวอื่น ๆ นอกเหนือไปจากแกนนำคนเสื้อแดง และคนแปลที่เห็นอกเห็นใจฝ่ายเสื้อแดง หรือจากนักข่าวที่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ ไม่รู้เรื่องวัฒนธรรม เมินเฉยต่อประวัติศาสตร์ และสภาวะทางสังคม และหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
CNN น่าจะหาผู้สื่อข่าวคนอื่นเข้ามาทำข่าวในประเทศไทย I implore and urge you to please take serious action to correct or reverse the grave injustice that has been done to the Thai nation, her government, and the majority of law-abiding Thai citizens and expatriate residents by having endorsed and widely circulated poorly researched and misrepresented news coverage of the current ongoing political unrest and escalating violence in Thailand. ดิฉันขออ้อนวอนและขอให้สำนักข่าวของท่านลงมือทำอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย กับรัฐบาลไทย และประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้ที่เคารพกฎหมาย รวมถึงชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่นี่ โดยการรายงานข่าวและงานวิจัยแย่ ๆ ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริงของสถานการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้น รวมถึงการรายงานความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนเกินเลยเกินความเป็นจริง Copies of this open letter have also been distributed to other local as well as international news media and social networks for public information. Please feel free to contact me further should you require any additional concrete and reputable evidence in substantiation and corroboration of my complaints and claims stated hereinabove.
สำเนาของจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้จะมีการแจกจ่ายในประเทศไทย และในประชาคมโลก รวมถึงในเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อเป็นข้อมูลให้กับคนทั่วไป กรุณาติดต่อดิฉันได้ทุกเมื่อหากท่านต้องการข้อมูลเฉพาะเพิ่มเติม หรือหลักฐานที่เชื่อถือได้ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อความที่ดิฉันเขียนมาทั้งหมดข้างต้น
Thank you. Yours faithfully, Napas Na Pombejra, B.A., LL.B. (Lond.) Bangkok, Thailand May 17, 2010
สำหรับ นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ จบการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับ 1 เมื่อปี 2005 และไปศึกษาต่อด้านกฎหมายที่ประเทศอังกฤษ ได้รับเกียรตินิยม เมื่อปี 2008

พ็อคเก็ตบุ๊คส์ ศรัทธา...ปาฏิหาริย์ คนดัง















































































ติดตาม พ็อคเก็ตบุ๊ค เล่มล่าสุด ศรัทธา ...ปาฏิหาริย์ จาก 30 คนดัง

วางแผง ซีเอ็ด,เซเว่นฯ โทร.089-895-8292 ครับ





ลัลตรา วรสุมาวงษ์ PR Freelance Mobile 081-988-6062

เมเจอร์ ฯ จำหน่าย สายรัดข้อมมือสีขาว โครงการ “คนไทยหัวใจสีขาว”













เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เปิดจำหน่ายสายรัดข้อมือสีขาว White Wristband ของโครงการ “คนไทยหัวใจสีขาว” ในโรงภาพยนตร์เครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ทั้ง 4 แบรนด์ คือ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, อีจีวี, พารากอน ซีนีเพล็กซ์ และ เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ จำนวน 27 สาขาในกรุงเทพมหานคร ราคาเพียงเส้นละ 99 บาท ณ จุดจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 กรกฎาคม 2553 ทั้งนี้เพื่อแสดงพลังร่วมกันสรรค์สร้างสังคมสีขาวที่สันติ สงบเย็น และเป็นสุข ซึ่งรายได้จากการจำหน่ายจะนำไปจัดสร้างบ้านสีขาวสำหรับเยาวชนที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยบุคคลในครอบครัว การดูแลฟื้นฟูเด็กและเยาวชนในสถานพินิจ ได้แก่ บ้านเมตตา บ้านกรุณา บ้านมุทิตา บ้านอุเบกขา และบ้านปราณี การมอบทุนการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนกำพร้าในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการสร้างบ้านพักพิงโรนัลด์ เฮาส์ สำหรับครอบครัวผู้ป่วยเด็กในโรงพยาบาลของรัฐบาล







สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : คุณภัสสรภพ ชินตระกูล, คุณดวงใจ ยงยิ่งเชาว์
โทร. 02-511-5427-36 ต่อ 532, 533, 534
โทรสาร 02-511-5821



Best Regard

Duangjai Yongyingchao
Public Relation
Major Cineplex Group PLC.
Moblie : 081-850-7729
Tel. 0-2511-5427-36 Ext .533
Email : duangjai_pr@majorcineplex.com

ผู้บริหารจีเอ็ม ประเทศไทย ร่วมปลูกต้นไม้ในวันสิ่งแวดล้อมโลก







ผู้บริหารจีเอ็ม ประเทศไทย ร่วมปลูกต้นไม้ในวันสิ่งแวดล้อมโลก



กรุงเทพฯ – มร.คาเฮอร์ คาเซม รองประธานฝ่ายปฏิบัติการการผลิต และควบคุมคุณภาพ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (ซ้ายสุด) นำทีมผู้บริหาร และพนักงานของจีเอ็ม และเชฟโรเลต ประเทศไทย ร่วมปลูกต้นไม้ใหญ่เนื่องในโอกาสวันสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งทางจีเอ็ม ได้จัดงานวันสิ่งแวดล้อมโลกขึ้น ณ ศูนย์การผลิตยานยนต์จีเอ็ม จังหวัดระยอง มีเป้าหมายเพื่อให้พนักงานของจีเอ็มได้ตระหนักและช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีกิจกรรมสนุกสนานแบบรักษ์โลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ภายในศูนย์การผลิตยานยนต์จีเอ็ม ระยอง การประกาศผลตัดสินการประกวดสิ่งประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้ และภายในงานได้มีการประกาศผลการประกวดทูตรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อม หรือ Mr and Miss Environment 2010

โรงงานจีเอ็ม ประเทศไทย สามารถปลอดการฝังกลบของเสียเพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม










































































โรงงานจีเอ็ม ประเทศไทย สามารถปลอดการฝังกลบของเสียเพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
โรงงานจีเอ็ม ประเทศไทย ได้รับการรับรองล่าสุดเป็นหนึ่งในโรงงานจีเอ็ม 69 แห่งทั่วโลกที่ ปลอดการฝังกลบของเสีย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
48 เปอร์เซ็นต์ของฐานการผลิตรถยนต์ทั่วโลกปลอดการฝังกลบขยะและวัสดุเหลือใช้
จีเอ็มเร่งรีไซเคิลขยะอุตสาหกรรมกว่า 2 ล้านตัน ภายในปีนี้
กรุงเทพฯ – บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เผยโรงงานจีเอ็ม ประเทศไทย ที่จังหวัดระยอง ได้รับการรับรองเป็นโรงงานล่าสุดจากโรงงานจีเอ็ม 69 แห่งทั่วโลก หรือคิดเป็น 48 เปอร์เซ็นต์ของโรงงานจีเอ็มทั่วโลก ที่สามารถลดปริมาณของเสียและขยะอุตสาหกรรมที่จะถูกฝังกลบจนเป็นศูนย์ได้แล้ว สถิติที่น่ายินดีดังกล่าวเป็นไปตามแผนงานที่จีเอ็มประกาศในปี 2551 ว่าจะผลักดันให้โรงงานกว่าครึ่งหนึ่งทั่วโลกให้กลายเป็นโรงงานปลอดการกำจัดขยะและวัสดุเหลือใช้ด้วยการฝังกลบให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งล่าสุด คิดเป็น 96 เปอร์เซ็นต์ ที่จีเอ็มได้บรรลุตามเป้าหมาย
“จีเอ็มได้ใช้ความพยายามเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วในการที่จะกำจัดขยะอุตสาหกรรมอย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการนำขยะและวัสดุเหลือใช้กลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ขณะนี้โรงงานของจีเอ็มทั้ง 69 แห่งได้สร้างมาตรฐานใหม่ขึ้น โดยได้ลดปริมาณของเสียที่จะถูกฝังกลบจนเป็นศูนย์ และจะเป็นต้นแบบการปฏิบัติของโรงงานของเราทั่วโลก” มร. ไมค์ โรบินสัน รองประธานบริหารด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน และนโยบายความปลอดภัย กล่าว
โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 97 เปอร์เซ็นต์ของขยะและเศษวัสดุเหลือใช้จะถูกนำมารีไชเคิล และส่วนที่เหลืออีก 3 เปอร์เซ็นต์ถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานหมุนเวียนเพื่อทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงกลุ่มปิโตรเลียม โรงงานที่สามารถเลื่อนสถานะขึ้นมาเป็นสถานประกอบการปลอดการฝังกลบประกอบด้วยโรงงาน 28 แห่งในภูมิภาคอเมริกาเหนือ 27 แห่งในเอเชียแปซิฟิกและ อเมริกาใต้ รวมทั้งโรงงานอีก 14 แห่งในทวีปยุโรป
“การปลอดการฝังกลบขยะและวัสดุเหลือใช้จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นการนำเอาอุตสาหกรรมรถยนต์ออกจากสมการผลกระทบสิ่งแวดล้อมอันเป็นที่ถกเถียงกันในปัจจุบัน จีเอ็มได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการผลิตรถยนต์ที่ประหยัดพลังงาน และปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ในระดับต่ำ เราใช้ความพยายามอย่างมากไม่เพียงแต่ในการผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพ อีกทั้งยังมุ่งพัฒนาฐานการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ” มร. ไมค์ กล่าว
ในปีนี้จีเอ็มตั้งเป้าว่าจะทำการรีไซเคิลขยะและวัสดุเหลือใช้กว่า 2 ล้านตันจากโรงงานทั่วโลก อีกทั้งยังจะนำเอาขยะจำนวนกว่า 45,000 ตันมาใช้ผลิตพลังงานทดแทน ถึงแม้ว่าโรงงานของจีเอ็มทั้งหมดยังไม่ไช่โรงงานปลอดการฝังกลบของเสีย แต่ปัจจุบันนี้โรงงานส่วนใหญ่มีการทำการรีไซเคิลของเสียในอัตราที่สูงกว่า 92 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณของเสียทั้งหมด โดยโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมที่จีเอ็มได้ทุ่มเทมาตลอดจะสามารถทำให้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศไปได้แล้ว มากกว่า 3 ล้านตัน










จีเอ็มคาดการณ์ว่าในปีนี้บริษัทจะสามารถรีไซเคิลวัสดุเหลือใช้ส่วนที่เป็นเศษเหล็กกว่า 650,000 ตัน เศษไม้กว่า 16,600 ตัน รวมถึงลังกระดาษกว่า 21,600 ตันและพลาสติกกว่า 3,600 ตัน โดยสิ่งที่ท้าทายที่สุดในการปลอดการฝังกลบ คือการหาวิธีการนำกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์กับวัสดุทุกชิ้น ไม่เว้นแม้แต่วัสดุชิ้นส่วนเล็กๆ ตัวอย่างเช่น
- ขยะที่เป็นเศษอลูมิเนียม เหล็ก และอัลลอยด์จะถูกส่งไปเตาหลอมเพื่อขึ้นรูปใหม่เป็นชิ้นส่วนเครื่องยนต์
- น้ำมันที่ใช้แล้วจะถูกปรับสภาพเพื่อนำกลับมาใช้อีกครั้งในโรงงานของจีเอ็มเอง
- พาเลทไม้และกระดาษกล่องจะถูกนำกลับมาใช้อีกเรื่อยๆและเมื่อหมดสภาพจะถูกส่งไปในขั้นตอนการผลิตพลังงานทดแทนทันที่
จีเอ็มยังส่งเสริมให้บรรดาซัพพลายเออร์ของบริษัททำการรีไซเคิลขยะและวัสดุเหลือใช้ที่เหลือจากการผลิต โดยเน้นการนำวัสดุกลับมาใช้ประโยชน์สูงสุดทั้งนี้เพื่อให้เกิดการรีไซเคิลขึ้นได้อย่างครบวงจร โดยจีเอ็มเป็นหนึ่งในองค์กรแรกๆที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม และเป็นบริษัทรถยนต์เพียงรายเดียวที่ได้รับการยกย่องในหอเกียรติยศของ the U.S. EPA WasteWise ซึ่งได้เล็งเห็นถึงผลงานที่โดดเด่นของจีเอ็มในการรณรงค์เพื่อที่จะลดและรีไซเคิลขยะและวัสดุเหลือใช้
นายสุภัคพงศ์ เจริญพรพาณิชย์ ผู้จัดการอาวุโส แผนกสิ่งแวดล้อมและสาธารณูปโภค บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับโรงงานจีเอ็ม ในประเทศไทยนั้น เป็นโรงงานล่าสุดจากโรงงานจีเอ็ม 69 แห่งทั่วโลก ที่สามารถปลอดการฝังกลบของเสีย เพราะเราสามารถยืนยันได้ว่า ไม่มีของเสียหรือขยะใด ๆ ที่เกิดจากกระบวนการผลิตรถยนต์ ณ ศูนย์การผลิตรถยนต์ของจีเอ็ม ที่จังหวัดระยอง ที่มีการฝังกลบอย่างแน่นอน”


เกี่ยวกับ เจนเนอรัล มอเตอร์ส
เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอมพานี หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2451 มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองดีทรอยท์ จีเอ็ม มีพนักงาน 217,000 คน ใน 140 ประเทศ ในทุกภูมิภาคทั่วโลก จีเอ็ม มีฐานการผลิตรถยนต์ และรถปิกอัพอยู่ใน 34 ประเทศ และจำหน่ายรถแบรนด์ที่มีชื่อเสียง อย่าง บูอิค คาดิลแลค เชฟโรเลต เอฟเอดับเบิลยู จีเอ็มซี จีเอ็มแดวู โฮลเด้น โอเปิล วอกซ์ฮอลล์ และวูหลิง ตลาดที่ใหญ่ที่สุดของจีเอ็ม อยู่ในสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยจีน บราซิล เยอรมนี สหราชอาณาจักร แคนาดา และอิตาลี แผนกออนสตาร์ของจีเอ็ม นั่นถือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมความปลอดภัย และการให้บริการข้อมูลในรถยนต์ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ดำเนินงานแทนเจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2552 ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับจีเอ็ม ใหม่ คลิกเข้าชมได้ที่ www.gm.com
# # #
16 มิถุนายน 2553

สำหรับข้อมูลหรือรูปภาพเพิ่มเติม กรุณาติดต่อปภาดา ตวงหิรัญวิมล หรือสถาปนา กาญจนประกร
เวเบอร์ แชนวิค
บริษัท แมคแคน เวิลด์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด
โทร. 02 343 6057, 081 621 2404
อีเมล์: Paphada@webershandwick.com, Satapana@webershandwick.com

หรือ
ศศินันท์ ออลแมนด์
ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ประจำประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
โทร. 0-2791-3400 โทรสาร 0-2937-0171
อีเมล์: sasinan.allmand@gm.com

อาดิดาส เชิญชวนแฟนบอลร่วมกิจกรรมการกุศล

อาดิดาส เชิญชวนแฟนบอลร่วมกิจกรรมการกุศล
เพื่อระดมทุนให้กับ มูลนิธิ 46664 ของอดีตประธานาธิบดี เนลสัน แมนเดลา

· ประมูลภาพวาดพิเศษสำหรับเทศกาลฟุตบอลโลก
· สวม “อูมู่” เพื่อร่วมเฉลิมฉลอง การรวมใจเป็นหนึ่งในแอฟริกาใต้


กรุงเทพฯ 17 มิถุนายน 2553 – อาดิดาส เชิญชวนแฟนบอลทั่วโลก ชูน้ำใจสู่สังคม ร่วมสร้างกุศลให้กับประเทศแอฟริกาใต้ ด้วยกิจกรรมจัดหาทุนสองรายการใหญ่ เพื่อมอบให้กับ มูลนิธิ 46664 ของอดีตประธานาธิบดี เนลสัน แมนเดลา ในการสร้างแรงบันดาลให้กับผู้คนได้กระทำความดีให้กับผู้อื่น เพื่อโลกใหม่ที่ดีกว่าเดิมสำหรับทุกคน

อาดิดาส 46664 อ๊อคชั่น

ในโอกาสที่ได้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2010 ณ ประเทศแอฟริกาใต้ และเป็นครั้งแรกของทวีป อาดิดาสได้จัดการประมูลภาพวาดพิเศษและของสะสมมากคุณค่า ที่มีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ผ่านการประมูล “อาดิดาส 46664 อ๊อคชั่น” ที่แฟนๆสามารถร่วมทำการประมูลสินค้ารายการพิเศษผ่านทางอีเบย์ โดยหนึ่งในไฮไลท์คือภาพวาดขนาดใหญ่ชื่อ เดอะ เควส (The Quest) ที่รวมเอานักเตะดาวดัง 32 คน จาก 32 ทีมชาติ ที่เข้าฟาดแข้งในศึกฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2010 เข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนั้น ยังประกอบด้วย เสื้อแข่งรอบแรกของ สตีเวน พีนาร์ กองกลางจอมทัพทีมแอฟริกาใต้ พร้อมลายเซ็นต์ ภาพวาดเดี่ยวของนักเตะทั้ง 32 คน ภาพวาด เดอะ ไลฟ์ เควส (The Live Quest) อันเป็นภาพที่วาดขึ้นจากห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของศึกฟุตบอลโลก ผ่านสายตาและจิตวิญญาณของศิลปินชาวแอฟริกาใต้ และที่ขาดไม่ได้คือ ลูกฟุตบอล “โจ’ บูลานี่” ของจริง ที่ใช้เตะในรอบตัดเชือกของคู่ชิงชนะเลิศ

ชิ้นงานภาพวาดทั้งหมดเป็นผลงานการตะหวัดฝีแปรงของทีมศิลปิน “อาดิดาส ฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2010” ได้แก่ พอล จูเนียร์ คาเซมวานา และ เอสปอยร์ เคนเนดี้ โดยทั้งสองศิลปินชาวแอฟริกาใต้ที่กำลังมาแรงคู่นี้ จะพำนักอยู่ที่ “โจ’ บูลานี่ เซ็นทรัล” อันเป็นสำนักประชาสัมพันธ์ของอาดิดาสระหว่างศึกฟุตบอลโลก และยังเป็นที่ให้บริการสื่อมวลชนจากทั่วโลกได้เข้ามาใช้บริการอีกด้วย ศิลปินทั้งคู่จะวาดภาพอยู่ที่นี่ทุกวัน เพื่อจับเอาห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์บนสนามแข่งขันมาไว้บนเฟรมภาพ ไม่ว่าจะเป็น จังหวะทำประตูของนักฟุตบอล การได้รับโทษทัณฑ์และต้องออกจากเกมการแข่งขัน วินาทีแห่งความประทับใจและเต็มตื้น โมงยามแห่งความเจ็บปวดอันเป็นเบื้องหลังจากความพ่ายแพ้ หรือชัยชนะอันแสนวิเศษของนักเตะแต่ละคนหรือจากความพยายามของทั้งทีม เหล่านี้จะเป็นห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ที่จะก่อรูปร่างของภาพวาด เดอะ ไลฟ์ เควส (The Live Quest) ให้เปี่ยมคุณค่า โดยแต่ละชิ้นจะมีขนาดกว้าง 270 ซ.ม. ยาว 210 ซ.ม.

ทั้งภาพวาด เดอะ ไลฟ์ เควส (The Live Quest) ภาพวาดเดี่ยวของนักเตะ 32 คน และของสะสมอื่นๆ จากคอลเลคชั่น อาดิดาส ฟีฟ่า เวิลด์คัพ ที่มีเพียงไม่กี่ชิ้นนี้ จะเป็นของที่ใช้ในการประมูลเพื่อการกุศลผ่านเว็บไซต์อีเบย์ www.ebay.co.uk/adidas46664auction ตลอดช่วงของการแข่งขันฟุตบอลโลก เริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 พร้อมๆกับลูกฟุตบอล “โจ’ บูลานี่” ที่จะใช้ชิงความเป็นหนึ่งของศึกฟุตบอลโลก ปี 2010 รายได้ทั้งหมดของการประมูลจะมอบให้กับมูลนิธิ 46664 ของอดีตประธานาธิบดี เนลสัน แมนเดลา

“อาดิดาส อูมู่” ร่วมฉลองการรวมใจเป็นหนึ่งในแอฟริกาใต้

อีกกิจกรรมหนึ่ง ที่อาดิดาสได้ดำเนินมาก่อนหน้านี้แล้ว คือ แคมเปญ “อาดิดาส อูมู่” อันเป็นโครงการที่มุ่งก้าวตามรอยเท้าของอดีตผู้นำแอฟริกาใต้ เนลสัน แมนเดลา เพื่อเชิญชวนชาวแอฟริกันได้ร่วมเฉลิมฉลองการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก และแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ผ่านการสวมใส่เสื้อผ้าหรือเครื่องประดับสีเหลือง อันเป็นสีประจำเสื้อแข่งทีมเหย้าชุดใหม่ของแอฟริกาใต้ ชื่อ “บาฟาน่า บาฟาน่า”

คำว่า อูมู่ หรือ UMU มาจากคำว่า Unite Mzansi Unite (ซึ่ง Mzansi เป็นคำในภาษา งูนิ บานตู หมายถึง ประเทศแอฟริกาใต้)

สำหรับ แคมเปญ “อาดิดาส อูมู่” นี้ อาดิดาสได้ผลิตเสื้อแข่ง “บาฟาน่า บาฟาน่า” ขนาดยักษ์ แล้วนำตระเวนไปทั่วประเทศแอฟริกาใต้ ด้วยรถบรรทุกที่มีสีสันลวดลายสะดุดตาไม่แพ้กัน เพื่อให้ผู้คนในที่ต่างๆ ได้ร่วมลงชื่อบนเสื้อแข่งขนาดยักษ์ พร้อมกันนี้ อาดิดาสได้จัดทำปลอกผ้าสีเหลืองชื่อ “อูมู่” มอบให้กับทุกคนที่ร่วมลงชื่อด้วย สามารถนำมาสวมศรีษะ คอ แขน หรือใช้ประดับได้ตามใจชอบ ให้ทุกคนได้ร่วมกันสวมใส่สีเหลือง แสดงพลังความเป็นหนึ่งของดินแดนแอฟริกาใต้ ให้สมกับเจตนารมณ์ของวีรบุรุษของชาติ

ทั้ง อดีตประธานาธิบดี เนลสัน แมนเดลา ได้กล่าวว่า “กีฬา มีพลังที่จะเปลี่ยนโลกทั้งใบได้ และนั่นคือพลังที่จะสร้างแรงบันดาลใจ คือพลังที่จะรวมผู้คนให้เป็นหนึ่ง ซึ่งไม่มีสิ่งใดกระทำได้เสมอเหมือน”

สตีเวน พีนาร์ นักเตะดาวดัง ของแอฟริกาใต้ กล่าวว่า “แคมเปญ “อาดิดาส อูมู่” ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผมเป็นอย่างมาก ผมรู้สึกภาคภูมิใจในประเทศชาติของตัวเอง และขอร่วมสนับสนุนชาวแอฟริกัน ได้ร่วมแสดงความเป็นหนึ่งในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่จะได้ลงแข่งต่อหน้าทุกคนในชาติ ที่จะร่วมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวและสวมใส่สีเหลืองแสดงพลังด้วยกัน”

แคมเปญ “อาดิดาส อูมู่” เริ่มออกสตาร์ทตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2552 ผ่านจุดพักเพื่อทำกิจกรรมกับชุมชนมากกว่า 300 แห่ง ตลอดระยะเวลากว่า 7 เดือน และสิ้นสุดการเดินทางที่กรุงโจฮันเนสเบิร์ก เพียงก่อนที่การแข่งขัน ฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2010 จะเริ่มขึ้น แต่ละที่ที่รถบรรทุกของอาดิดาสเดินทางไปถึง ได้สร้างความสนุกสนานและมีกิจกรรมร่วมกับชาวแอฟริกันมากมาย เช่น การแข่งขันฟุตบอลนัดเล็กๆ และการทดสอบความเร็วในการยิงทำประตู

สำหรับแฟนบอลชาวไทย ยังสามารถร่วมสร้างกุศลกับแคมเปญ “อาดิดาส อูมู่” นี้ได้ง่ายๆ เพียงแวะไปที่ร้านอาดิดาส สปอร์ต เพอร์ฟอร์มานส์ คอนเซ็พท์ สโตร์ หรือที่ร้านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการทุกสาขาทั่วประเทศ แล้วเลือกซื้อปลอกผ้า “อูมู่” ในราคาเพียง 200 บาท ก็สามารถร่วมสนับสนุนความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ หรือสามารถเลือกซื้อผ่านทางเว็บไซต์ www.adidas.com/unite ได้เช่นกัน กำไรทั้งหมดจะมอบให้กับ มูลนิธิ 46664 ของอดีตประธานาธิบดี เนลสัน แมนเดลา




เดอะ เควส (The Quest)
เดอะ เควส (The Quest) เป็นภาพวาดขนาดใหญ่ ที่รวมเอานักเตะดาวดัง 32 คน จาก 32 ทีมชาติ ที่ร่วมชิงชัยในศึกฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2010 ครั้งนี้ เข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่ นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า ลิโอเนล เมสซิ (อาร์เจนติน่า), สตีเวน พีนาร์ (แอฟริกาใต้), โจซี่ อัลติดอร์ (สหรัฐอเมริกา), ชุนซูเกะ มากามูระ (ญี่ปุ่น), ซาโลมอน คาลู (ไอโวรี่ โคสต์), เอลเจโร เอเลีย (เนเธอร์แลนด์), บาสเตียน ชไวสไตเกอร์ (เยอรมนี), ดาวิด บีย่า (สเปน), โยอัน กูร์คุฟฟ์ (ฝรั่งเศส), สตีเวน เจอร์ราร์ด (อังกฤษ), ดิเอโก ฟอร์ลัน (อุรุกวัย), อันเดรส กวาร์ดาโด้ (เม็กซิโก), โอบาเฟมี มาร์ตินส์ (ไนจีเรีย), ชู ยัง ปาร์ก (เกาหลีใต้), ธีโอฟานิส เกคัส (กรีซ), คาริม แม็ตมัวร์ (อัลจีเรีย), ซลัตโก้ เดดิช (สโลเวเนีย), จอห์น เพนซิล (กาน่า), นิโกล่า ซิกิช (เซอร์เบีย), ทิม คาฮิลล์ (ออสเตรเลีย), ออเรลิยง เชดฌู (คาเมรูน), เดเนียล เจนเซ่น (เดนมาร์ก), ดานิเอเล เด รอสซี (อิตาลี), แอนดรูว์ โบเยนส์ (นิวซีแลนด์), เนลสัน วัลเดซ (ปารากวัย), สตานิสลาฟ เซสตัค (สโลวาเกีย), อัน ยง ฮัก (เกาหลีเหนือ), ทรานควิลโล่ บาร์เน็ตต้า (สวิทเซอร์แลนด์), ซิเมา ซาโบรซ่า (โปรตุเกส), ริคาโด้ กาก้า (บราซิล), มาร์ค กอนซาเลซ (ชิลี) และ เมย์นอร์ ฟิเกอรัว (ฮอนดูรัส)

(ล้อมกรอบ) มูลนิธิ 46664
มูลนิธิ 46664 ก่อตั้งโดยอดีตประธานาธิบดี เนลสัน แมนเดลา ได้รับแรงบันดาลใจจาก หมายเลขนักโทษเมื่อครั้งที่เขาต้องไปจำคุกอยู่บนเกาะร็อบบิ้น 46664 เป็นมูลนิธิการกุศลที่จัดตั้งเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนและกลุ่มบุคคล กระทำสิ่งที่ดีเพื่อมุ่งสู่ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าสำหรับทุกคน และเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2552 องค์การสหประชาชาติ ได้เชิญชวนให้ผู้คนบนโลกได้ร่วมฉลองวัน เนลสัน แมนเดลา อินเตอร์เนชั่นนัล เดย์ (วันที่ 18 กรกฎาคม ของทุกปี) ด้วยการสละเวลาเพียง 67 นาที กระทำสิ่งดีๆให้กับคนอื่น เพื่อเป็นเกียรติให้กับ เนลสัน แมนเดลา ที่ได้ใช้เวลาตลอด 67 ปี สร้างคุณความดีให้กับมนุษยชาติ

หมายเหตุ
1. สำหรับสื่อมวลชนที่ต้องการดาวน์โหลดภาพวาดเดี่ยวของนักเตะทั้ง 32 คน สามารถทำการดาวน์โหลดได้ที่ http://adidas.synapticdigital.com/IMAGE-BANK/artist-espoir-kennedy---adidas-player-portraits/s/ae73eb03-1874-4a96-9fc8-81144f290379
2. ท่านสามารถติดตามข่าวสารการแข่งขันฟุตบอลโลก รวมถึงกิจกรรมต่างๆของอาดิดาส ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายที่เว็บไซต์ www.adidasnewsstream.com
3. ทุกท่านยังสามารถร่วมสนุกพร้อมอัพเดทข้อมูลฟุตบอลโลกกับอาดิดาส ผ่านเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ได้ที่ www.facebook.com/adidasfootball, http://www.twitter.com/adidasfifawc


ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน กรุณาติดต่อ
อรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ และ ภาวัช อนุวงศ์
เวเบอร์ แชนด์วิค
โทรศัพท์ 0-2343-6000 ต่อ 059 หรือ 062
อีเมล์ onanong@webershandwick.com หรือ bhawat@webershandwick.com

ศิษย์เก่าดีเด่น พญ.เจรียง จันทรกมล















ศิษย์เก่าดีเด่น

ศ.นพ.สิน อนุราษฎร์ นายกสมาคมศิษย์เก่าแพทย์จุฬาลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมแสดงความยินดีกับ พญ.เจรียง จันทรกมล และ ศ.นพ.ธีระ รามสูต เนื่องในโอกาสได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น ในงาน “วันแพทย์จุฬาฯ” โดยมี ศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ และ นพ.ยาใจ ณ สงขลา ถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึก ณ โรงแรมมณเฑียรริเวอร์ไซด์ ถ.พระราม 3



*********
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ : ฝ่ายประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
รัตนา อัครมิ่งมงคล ศิรีวรรณ ธัญญาเจริญศักดิ์ (วรรณ) เศรษฐรัตน์ คุณากรเสถียร (หม่อน)
โทร. 0-2877-1111 ต่อ 1303, 1354, 1367 มือถือ 0-81710-2311 (คุณรัตนา)

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กระทรวงพลังงาน ร่วมกับ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ผลิตภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติฯในหลวง
































































































































กระทรวงพลังงาน ร่วมกับ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ผลิตภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติฯ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประกอบช่วงบทเพลงสรรเสริญพระบารมีใหม่ล่าสุด

ชุด “พลังความสุข จากพ่อของแผ่นดิน” ฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ เริ่ม 15 มิ.ย. นี้

เนื่องในวโรกาสครบรอบ 60 ปี แห่งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก กระทรวงพลังงาน ได้ร่วมกับ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) จัดทำภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประกอบช่วงบทเพลงสรรเสริญพระบารมีใหม่ล่าสุด ชุด “พลังความสุข จากพ่อของแผ่นดิน”โดยจะจัดฉายภายในโรงภาพยนตร์ เครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ทั้ง 4 แบรนด์ ทุกสาขาทั่วประเทศ คือ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, อีจีวี, พารากอนซีนีเพล็กซ์ และ เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ รวมทั้งสิ้น 49 สาขา 357 โรง ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายนนี้ เป็นต้นไป รวมระยะเวลา 1 ปีเต็ม นอกจากนี้ได้ 4 คนดัง ณเดช คูกิมิยะ, ฉัตร-ปริยะฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร, ไกรเสริม โตทับเที่ยง และ วริษา ภาสกรนที มาร่วมรณรงค์ให้คนไทยหันมาใช้พลังงานอย่างประหยัดและถูกวิธี พร้อม 2 นักร้องชื่อดัง อ๊อฟ-ปองศักดิ์ รัตนพงษ์ และ แก้ม เดอะสตาร์-วิชญาณี เปียกลิ่น มาร่วมขับขานเพลงสรรเสริญพระบารมีแบบสด ๆ ในโรงภาพยนตร์

การผลิตภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประกอบช่วงบทเพลงสรรเสริญพระบารมีใหม่ล่าสุด ชุด “พลังความสุข จากพ่อของแผ่นดิน” ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรวมพลังคนไทยแสดงความจงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจน ผลักดันและสร้างจิตสำนึกให้คนไทยหันมาอนุรักษ์พลังงานกันให้มากขึ้น เพื่อสืบสานตามแนวพระราชดำริของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจแบบพอเพียงเพื่อให้การจัดการพลังงานเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน

ส่วนเนื้อหาของเพลงสรรเสริญพระบารมีชุดนี้นั้น จะทำให้ประชาชนได้รับทราบด้านการจัดการพลังงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านโครงการตามแนวพระราชดำริต่าง ๆ พระราชกรณียกิจ และพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านในการทรงเป็นผู้ริเริ่มโครงการที่เกี่ยวกับพลังงาน และพลังงานทดแทน ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อน การผลิตน้ำมันไบโอดีเซล โครงการก๊าซธรรมชาติ และอื่น ๆ อีกมาก โดยเนื้อหาหลักจะประกอบด้วย ภาพพระราชกรณียกิจที่เห็นพระองค์ เสด็จไปในที่ต่าง ๆ เพื่อทรงงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตามมาด้วยความสุขและรอยยิ้มของปวงชนที่

-2-

ได้รับประโยชน์มากมายจากโครงการสร้างพลังงานที่พระองค์ทรงเป็นผู้ริเริ่มจากต่างจังหวัดสู่เมืองหลวง และปิดท้ายด้วยบรรยากาศยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยปวงชนทุกหมู่เหล่าที่มาร่วมใจกันถวายความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านในพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพร และร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ

นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ โดยเนื้อหาของนิทรรศการทั้งหมดจะสื่อให้เห็นถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านในเรื่องของการสร้างเขื่อน โรงไฟฟ้า การศึกษาค้นคว้าเรื่องเอทานอลและไบโอดีเซล ซึ่งพระองค์ท่านทรงเป็นองค์เริ่มต้นในการนำเอาพลังงานเหล่านี้มาใช้ในประเทศไทย ทรงทดลองและเผยแพร่ความรู้ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กระทั่งประเทศไทยสามารถนำพลังงานทดแทนมาใช้ประโยชน์ได้ทันต่อสถานการณ์วิกฤตด้านพลังงาน และในงานนิทรรศการดังกล่าวยังมีการนำเอาพระบรมฉายาลักษณ์ประวัติศาสตร์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเกื้อกูลกิจการพลังงานของประเทศไทยมาแสดงนิทรรศการพร้อมคำบรรยาย รวมทั้ง นำเสนอเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ ที่หลายคนยังไม่ทราบ เช่น เรื่องการทดลองใช้พลังงานทดแทนรูปแบบต่างๆ ในพระตำหนักสวนจิตรลดา

นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ ดังกล่าว จะมีการนำไปจัดแสดงด้วยวิธีการโรดโชว์ไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ชื่นชมพระบารมีและพระอัจฉริยภาพทางด้านการศึกษาและค้นคว้าพลังงานต่าง ๆ ณ โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป รวม 6 จุด ดังนี้

· เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ รัชดา ระหว่างวันที่ 18-24 มิถุนายน 2553

· เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ปิ่นเกล้า ระหว่างวันที่ 25 มิถุนายน-1 กรกฎาคม 2553

· เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ฟิวเจอร์ ปาร์ค รังสิต ระหว่างวันที่ 2-8 กรกฎาคม 2553

· เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ งามวงศ์วาน-แคราย ระหว่าวันที่ 9-15 กรกฎาคม 2553

· เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ซีคอนสแควร์ ระหว่างวันที่ 16-22 กรกฎาคม 2553

· พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม-1 สิงหาคม 2553

สำหรับบรรยากาศงานเปิดตัวภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประกอบช่วงบทเพลงสรรเสริญพระบารมีใหม่ล่าสุด ชุด “พลังความสุข จากพ่อของแผ่นดิน” ที่จัดขึ้น ณ อินฟินีซิตี้ ฮอลล์ ชั้น 5 พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่ปรึกษาประธานกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติแห่งการบรมราชาภิเษกปีที่ 60 และการเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นประธานในงาน พร้อมด้วย ฯพณฯ นายแพทย์ วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, วิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) และเมตตา บันเทิงสุข รองปลัดกระทรวงพลังงาน รวมทั้ง คึกคักไป

-3-

ด้วยแขกผู้มีเกียรติ อาทิ พลโทหญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ, อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน), บรรพต แสงเขียว รองผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิต กิจการสังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนมีการพูดคุยกับ 4 คนดัง ทั้งศิลปินดาราและเซเลบริตี้ ที่พร้อมใจมาร่วมรณรงค์และเชิญประชาชนให้หันมาอนุรักษ์พลังงาน อาทิ ณเดช คูกิมิยะ ที่มาเปิดเผยว่า อยากให้คนไทยหันมาอนุรักษ์น้ำกันให้มากขึ้น เพราะทรัพยากรน้ำซึ่งเป็นพลังงานหลักของชาติที่กำลังจะขาดแคลน บ้านผมอยู่อีสานทุกวันนี้ขนาดแห่นางแมวแล้วฝนก็ยังไม่ตก และน้ำยังเป็นทรัพยากรที่ช่วยในการผลิตไฟฟ้าและพลังงานอื่นอีกด้วย ด้าน ฉัตร-ปริยะฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร กล่าวว่า อยากให้คนไทยหันมาประหยัดไฟฟ้า ปิดไฟดวงที่เราไม่ได้ใช้จะช่วยประเทศชาติประหยัดพลังงาน นอกจากนี้อยากให้คนไทยหันมาช่วยกันประหยัดพลังงานอย่างเช่นน้ำมัน เพราะน้ำมันแพงขึ้นทุกวัน ถ้าต้องเดินทางไปในสถานที่เดียวกันอยากให้ขับรถแบบ Car Pool หรือเลือกเดินทางโดยรถเดินทางสาธารณะก็จะช่วยประหยัดพลังงานได้ ส่วน ไกรเสริม โตทับเที่ยง ผู้บริหารหนุ่มคนดังแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการประหยัดพลังงานว่า อยากให้ทุกคนรู้จักการประหยัดพลังงานในทุก ๆ ด้าน ไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น นำกระดาษในออฟฟิคกลับมารียูส ในโรงงานก็ใช้ระบบน้ำแบบรีไซเคิล ทานอาหารก็พยายามทานให้หมดอย่าให้เหลือ ที่สำคัญอยากให้ทุกคนปฎิบัติตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้พวกเราประหยัดพลังงาน จนทำให้พวกเรามีพลังงานใช้จนถึงทุกวันนี้ และ วริษา ภาสกรนที เจ้าของโครงการ ศอช. หรือ ศูนย์อำนวยการช้อปปิ้งฉุกเฉิน กล่าวว่า การใช้เสื้อผ้ามือสอง ก็เป็นการช่วยประหยัดพลังงานและประหยัดเงินได้ทางหนึ่ง เพราะทุกวันนี้ตนก็ซื้อเสื้อผ้ามือสองจาก โครงการ ศอช. ไว้ใส่เช่นกัน พิเศษในงานยังได้รับเกียรติจาก 2 นักร้องดังอ๊อฟ-ปองศักดิ์ รัตนพงษ์ และ แก้ม-วิชญาณี เปียกลิ่น มาร่วมขับขานบทเพลงความฝันอันสูงสุด

นอกจากนี้ในบ่ายวันที่ 17 มิถุนายน 2553 ฯพณฯ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่ปรึกษาประธานกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ พร้อมด้วย เชษฐ มังคโลดม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสื่อโฆษณา บริษัท เมเจอร์ ซีนีแอด จำกัด บริษัทในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป พร้อมด้วยผู้บริหารของกระทรวงพลังงาน ยังได้นำวีดีทัศน์ภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประกอบช่วงบทเพลงสรรเสริญพระบารมี ชุด “พลังความสุข จากพ่อของแผ่นดิน” ไปทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ ศาลาศิริราช 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช




สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : คุณภัสสรภพ ชินตระกูล, คุณดวงใจ ยงยิ่งเชาว์
โทร. 02-511-5427-36 ต่อ 532, 533
โทรสาร 02-511-5821